ตอนที่ 299

USB:บทที่ 299 สถานการณ์บีบบังคับ

เงื่อนไขของอันจื้อชิงก็คือ หากมีโอกาสที่จะสามารถทำลายตระกูลโอวหยางได้เมื่อใดก็ขอให้ปล่อยเขาได้ใช้โอกาสนั้น ยิ่งเขามำลายตระกูลโอวหยางมากเพียงใดมันก็จะเป็นประโยชน์แกอันจื้อชิงมากขึ้นเท่านั้น

ซึ่งแม้ว่าซุ่นจื้อจะเคลือบแคลงใจอยู่ไม่น้อยเลยว่าถ้าเขาเป็นเพื่อนที่ดีจริงทำไมถึงได้ยื่นเงื่อนไขมาเช่นนี้ แต่ซุ่นจื้อก็ไม่สนใจเพราะสุดท้ายเขาก็เป็นเพียงแค่คนรับใช้ เขาจะสนใจเรื่องนายน้อยของเขาไปทำไมกัน?

แม้ว่าเขาจะยอมรับเงื่อนไขของอันจื้อชิงแต่ในใจลึก ๆ ของซุ่นจื้อกลับรู้สึกลังเลอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าโอกาสที่เขาพูดถึงนั้นมันเมื่อไหร่และเขาจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกัน สุดท้ายเขากลับคาดไม่ถึงว่าโอกาสที่ว่านั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ซึ่งก็คือเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาที่เกิดเรื่องเข้าใจผิดกันระหว่างสองฝ่ายที่ต่างโง่เขลาไม่ต่างกันและพวกเขาก็พยายามอย่างหนักที่จะไม่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ในนาทีนั้นอยู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของซุ่นจื้อจากนั้นเขาจึงได้พูดประโยคดังกล่าวไป นอกจากนั้นผลที่ได้รับคาดไม่ถึงว่าจะออกมาดีถึงเพียงนี้ถึงขนาดทำให้ในที่สุดทั้งสองฝ่ายต่างไม่สามารถควบคุมอารมณ์และตนเองได้อีกต่อไป

แม้ว่าคนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดจะเคยสู้กับคนของตระกูลโอวหยางมาก่อน แต่ตอนนี้เป็นเพียงความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งคนจากฝ่ายกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดได้สังหารคนของฝ่ายตระกูลโอวหยางก็เป็นเพียงคนรับใช้ธรรมดา ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บเรื่องนี้มาเป็นกังวล

แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไปเนื่องจากคนของทั้งสองฝ่ายที่มากันในครั้งนี้ต่างแข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่ หากพวกเขาต่อสู้กันต่างฝ่ายคงไม่ยอมให้กันเป็นแน่

แน่นอนว่าซุ่นจื้อรู้ว่าเขาอาจถูกลงโทษในสิ่งที่เขาได้ทำลงไปในครั้งนี้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสในช่วงชลมุนหนีไปเพราะตระกูลโอวหยางในตอนนั้นคงมุ่นอยู่กับอีกฝ่ายและที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขามีความคิดที่จะทำเช่นนี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้เข้าหาอันจื้อชิง

ในขณะที่ซุ่นจื้อกำลังฝันหวานถึงตัวเองในอนาคตโดยที่ลืมผู้ที่มาก่อนอย่างหวังเอ้อว่ายังอยู่ที่นี่ด้วย เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาคงจะไม่สวยงามอย่างที่ฝันไว้แต่จะโหดร้ายมากกว่าการตายเสียอีก

ความวุ่นวายในร้านอาหารยังคงดำเนินต่อไป มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมีการตายเกิดขึ้นและนั้นจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มโกรธยิ่งขึ้น

“นี่เจ้าจะวิ่งหนีไปไหน?!” ในบรรดาคนทั้งหมดในตอนนี้ คนที่เขาเกลียดมากที่สุดก็คือโอวหยางซิงเหวินเพราะซิงเหวินนำคนมาสังหารเพื่อนของเขาและเกือบจะฆ่าเขาตายด้วยเช่นกัน

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของโอวหยางซิงเหวินเขาก็ถึงกับสะดุ้งจนต้องหันกลับไปตามสัญชาตญาณและก็พบว่ามีชายร่างใหญ่ยืนอยู่ข้างหลังเขาและกำลังยกดาบลมปราณขึ้นมาพร้อมพุ่งไปที่เขา

หน้าของโอวหยางซิงเหวินเปลี่ยนไปในทันที ร่างของเขาล้มกลิ้งไปกับพื้นเพื่อหลบคมดาบลปราณที่พุ่งมาทางโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ เขาโดยสัญชาตญาณแต่ขาทั้งสองข้างของเขานั้นได้หักเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะฆ่าตน โอวหยางซิงเหวินจึงรีบตะโกนออกไปว่า"พ่อ ช่วยลูกด้วย!"

โอวหยางเทียนซึ่งอยู่ด้านหน้ากำลังสู้อยู่กับกัปตันปาร์คเกอร์ ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของกัปตันปาร์เกอร์จึงยังทำให้ถึงตอนนี้ยังคงสู้ไม่ถอยมิเช่นนั้นเขาคงไม่สามารถขึ้นมาเป็นกัปตันของกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดได้ ส่วนทางด้านของโอวหยางเทียนหลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนของลูกชายเขาก็หันไปมองตามเสียงโดยที่ไม่รู้ตัวและเมื่อพบว่าลูกชายตนกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจึงคิดที่จะไปช่วยลูกชายในทันที

สำหรับปาร์คเกอร์นั้น แม้เขาเป็นกัปตันของกองทหารรับจ้างและออกปฏิบัติภารกิจทุกรูปแบบมาเป็นเวลานาน แต่ใครจะไปรู้กันว่าเขาไปที่ป่าแห่งหมอกทุกปี

“โอกาสนี่ล่ะ!” แววตาของกัปตันปาร์คเกอร์ลุกโชน เขายกดาบยาวที่อยู่ในมือเล็งไปที่โอวหยางเทียนอย่างรวดเร็วซึ่งดาบลมปราณได้กวัดแกว่งผ่านอากาศและโจมตีไปที่โอวหยางเทียนจนไม่สามารถมองตามทัน

ช่วงสถานการณ์แบบนี้ถือได้ว่าโอวหยางเทียนทั้งได้เปรียบและเสียเปรียบในเวลาเดียวกัน เพราะเขาสามารถป้องกันตัวเองจากคมดาบของศัตรูได้แต่ก็ไม่สามารถตอบโต้กลับได้ดีเท่าที่ควร

ส่วนสถานการณ์อีกด้าน โอวหยางซิงเหวินก็กำลังตกเป็นเป้าของฮาโรลด์ หากไม่ใช่เพราะผู้คุ้มที่มาช่วยขวางไว้ โอวหยางซิงเหวินคงสิ้นชีพไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรตอนนี้โอวหยางซิงเหวินก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก

โอวหยางเทียนยังคงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเรื่องจากเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตน เขาคงรับมันไม่ได้แน่นอน แม้ว่าเด็กเหลือขอคนนี้มักจะก่อเรื่องมากมายให้กับเขาแต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นลูกชาย ดังนั้น เขาจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยหากเห็นลูกชายตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

โอวหยาวเทียนรู้สึกเสียใจที่นำโอวหยางซิงเหวินมาที่นี่ เขาไม่คิดว่าการมาเจรจาโดยสันติจะกลายเป็นเรื่องเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้แม้แต่จะหยิบของในกล่องด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับตัดสินไปแล้วและไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไรอีกฝ่ายก็ดูท่าจะไม่เชื่อเขาเลย

ในบรรดาของทั้งหมดในตอนนี้ ความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ของโอวหยางซิงเหวินถือว่าต่ำที่สุด แม้ว่าในตอนแรกเขาจะใช้โอกาสท่ามกลางความโกลาหลในการหลบหนีแต่มันกลับสายเกินไปเนื่องจากคนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดจับตาดูเขาไว้อยู่แล้ว จนตอนนี้ททุกคนจึงได้รู้ว่าโอวหยางซิงเหวินนั้นมีความสำคัญต่อโอวหยางเทียนมากเพียงใด

“อ๊า!” เสียงร้องอันน่าสมเพชดังขึ้น โอวหยางซิงเหวินที่กำลังหาโอกาสหนีสุดท้ายกลับโดนดาบฟันไปที่ไหล่จนเลือดไหลออกมาในทันทีซึ่งมันสร้างความเจ็บปวดจนเกือบทำให้เขาเป็นลม

"ไม่ดีแล้ว นี่เขากำลังจะใช้เวทย์!" แม้ว่าปาร์คเกอร์จะไม่ใช่นักเวทย์แต่ข้างกายเขาก็มีนักเวทย์สองสามคนที่สัมผัสได้ถึงอนุภาคของเวทมนตร์ในอากาศที่กำลังพุ่งออกมาจากร่างของโอวหยางเทียนอย่างบ้าคลั่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าเวทมนตร์ที่เขากำลังร่ายอยู่นั้นทรงอานุภาพมากเพียงใด พลังของเวทมนตร์ตอนนี้เริ่มพุ่งขึ้นสูงและเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ปาร์คเกอร์แอบตกใจอยู่ในใจเช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงพลังของเวทมนตร์นั้นว่าทรงอำนาจเพียงใดบวกกับพลังที่โอวหยางเทียนแสดงออกมาในตอนนี้นั้นไม่ใช่พลังที่นักเวทย์ระดับสูงควรมี แต่มันกลับเป็นพลังอันแข็งแกร่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น

“นี่เขาซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้หรือ” ปาร์คเกอร์คิดในใจ

จากการสำรวจของปาร์คเกอร์เขาพบว่าแม้ว่าโอวหยางเทียนจะเป็นนักเวทย์ชั้นสูง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดกลัวแต่ความคิดของเขาต้องเปลี่ยนไปเมื่อตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าพลังของโอวหยางเทียนดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจนเทียบได้กับนักเวทย์ชั้นเซียนแต่แข็งแกร่งกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าโอวหยางเทียนไม่ใช่นักเวทย์ชั้นสูงธรรมดา ๆ แน่