ตอนที่ 133

USB:บทที่ 133 เดี่ยวโดนแน่

"ช่างน่าสมเพชเสียจริง!" ดีมาก ในเมื่อแกกล้าบอกฉันว่ามันเป็นใคร มันก็คงจะรอการแก้แค้นของฉันสินะ อ๊า เจ็บโว้ย! "เมื่อถงเฉียนรู้ว่าพี่เปียวเป็นใคร เขาก็โกรธมาก เขาจะไม่มีวันปล่อยให้คนที่กล้าทำร้ายเขาไป เขาทำได้แค่ขยับตัวและชี้ไปที่บาดแผลเท่านั้น

ถงเฉียนโกรธมาก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเหลาหยูแต่เป็นเพราะตัวเขาเอง เขาถึงได้ถูกพวกอันธพาลตัวน้อยพวกนั้นรุมทำร้าย

ลืมไปได้เลยเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บทั้งหมดบนร่างกายของเขาแม้ว่าเรื่องนี้จะแพร่สะพัดไปเขาก็คงจะรู้สึกอับอาย

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะสั่งสอนบทเรียนให้แก่พี่เปียว

นอกจากนี้ครั้งนี้เขาก็ไม่ได้แสดงใหญ่เกินเรื่อง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเจ็บตัวครั้งใหญ่เช่นนี้

เมื่อเหลาหยูเห็นถงเฉียนขบฟันก็เริ่มรู้สึกเห็นใจเขา

ด้วยพี่เปียวนั้นเพิ่งจะส่งคนมาทำร้ายเขาและก็ไม่อาจจะที่จะเอาชนะได้ แต่เขาก็ยังคงทำร้ายถงเฉียนอย่างมั่วซั่ว และพี่เปียวก็ทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ

แน่นอนว่าเมื่อเขามองดูบาดแผลบนร่างกายของเขาแล้ว ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่เขามีให้แก่พี่เปียวก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เขาถึงกับคิดว่ามันคงจะดีมากถ้าหากว่าถงเฉียนสามารถที่จะทำให้พี่เปียวตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชได้

“ใช่แล้ว มันไม่เป็นไรหรอกถ้าหากว่าฉันจะถูกทุบตี แต่พวกมันช่างกล้านักที่ทำร้ายได้แม้แต่นายน้อยถง พวกมันคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วสินะ”

เขารู้ดีว่าด้วยความสัมพันธ์ของเขานั้น ไม่อาจะที่จะแก้แค้นครั้งนี้ได้แต่ไม่ใช่สำหรับถงเฉียน

ถงเฉียนเห็นด้วยกับคำพูดของเหลาหยู ถ้าพวกมันกล้าที่จะทำร้ายได้แม้แต่เขา ก็คงจะไม่มีอะไรนอกเสียจากว่าพวกมันอยากตาย?

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูเหลาหยูที่อยู่ข้างๆ เขา เขาก็รู้สึกขุ่นเคืองในใจ การที่เขาถูกทำร้ายเช่นนี้มันเป็นเพราะเจ้าสหายคนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาโชคร้ายมาเจอคนแบบนี้ที่จะจัดการเรื่องนี้ได้ แต่เพราะเขาล้มเหลวในการจัดการเรื่องนี้และหนำซ้ำยังโดนสั่งสอน แล้วเขามาต้องมาถูกทำร้ายด้วยได้อย่างไรกัน?

“แกมันก็ไอ้ขยะเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าแกไม่ไปเจอไอ้พวกขยะพวกนั้น แล้วฉันจะถูกทำร้ายไหมล่ะ?” ถงเฉียนตะคอกใส่เหลาหยู

“นายน้อยถง เป็นความผิดของฉันเอง ฉันมีตาแต่หามีแววไม่ ฉันผิดไปแล้ว” เหลาหยูรีบพูด

หลังจากที่ถงเฉียนตะคอกใส่เหลาหยูแล้วสักพัก เขาก็เพิ่งจะนึกได้ว่าเขายังไม่ได้เรียกใครให้มารับเลย

เมื่อดูสภาพของเขาในตอนนี้แล้ว เขาคงต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างแน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงถงเฉียนเและเหลาหยูที่ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่การรวมตัวสังสรรค์ของฮวงเฟิงและคนอื่นๆ ก็สิ้นสุดลงเหมือนกัน

“วันนี้นายคงจะไม่ปฏิเสธที่จะไปส่งเมิ่งหานใช่ไหม?” ที่ทางเข้าของบาร์แห่งนั้น กัวเหลียงกล่าวกับฮวงเฟิงด้วยรอยยิ้ม

“ฉันเคยปฏิเสธตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ?” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าฮ่า งั้นพวกเราไปก่อนนะ ฉันฝากเมิ่งหานไว้กับนายด้วยนะ” กัวเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฮวงเฟิงโบกมืออย่างรวดเร็วและไอ้คนไร้มนุษยธรรมคนนั้นก็ดึงมือแฟนสาวของเขาเอาไว้และจากไปอย่างภาคภูมิใจ

“ไปกันเถอะ” ฮวงเฟิงกล่าวกับกัวเมิ่งหาน

“ค่ะ” ในเวลานี้ กัวเมิ่งหานไม่ได้ปฏิเสธ เพราะอย่าไงรก็ตามพวกเขาก็อาศัยอยู่เขตเดียวกันกับฮวงเฟิงอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทั้งสองคนจะกลับบ้านพร้อมกัน

ระหว่างทางทั้งสองคนคุยกันพอเป็นพิธี กัวเมิ่งหานนั้นช่างพูดมากกว่านี้เมื่อตอนที่อยู่ที่บาร์

แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนน้อย เพราะเธอเองไม่ได้เป็นคนที่พูดเก่งและถึงแม้ว่าเธอจะมีความประทับใจที่ดีต่อฮวงเฟิง

แต่พวกเขาสองคนก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกัน ดังนั้นหลังจากที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันสองสามครั้ง พวกเขาสองคนก็มีความคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจเหมือนในตอนต้น

เมื่อมาอยู่ในลิฟท์ตัวเดียวกันในเวลานี้ แต่ก็ไม่ได้มีเพียงพวกเขาเพียงสองคน

เพราะว่าที่พักอาศัยแห่งนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมดังนั้นจึงมีคนมาพักอาศัยเป็นจำนวนมาก

ซึ่งในเวลานี้คนหนุ่มสาวที่ออกไปเที่ยวกลางคืนก็ถึงเวลากลับมาแล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนในลิฟท์จำนวนมาก

เขาไปส่งที่ชั้นล่างก่อน แต่เธอก็ไม่ได้เชิญให้ฮวงเฟิงเข้าไปนั่งแต่อย่างใด

ตามการสนทนาของพวกเขาก่อนหน้านี้ ฮวงเฟิงรู้ว่าบ้านที่กัวเมิ่งหานอยู่นั้นมีสามห้องนอนและหนึ่งห้องน้ำ ซึ่งคงจะดูหรูหรามากหากว่าอยู่คนเดียว

แต่เธอได้แชร์ค่าเช่ากับคนอื่นและนอกจากเธอแล้วก็ยังมีผู้เช่าอีกสองคน ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทำงานด้วยกันและมีที่ทำงานอยู่ใกล้เคียงอีกคนหนึ่ง

โดยปกติแล้วฮวงเฟิงไม่ได้ตั้งใจที่จะติดตามเรื่องราวของพวกเขา เขาจึงตรงกลับไปที่ห้องของเขา

ขณะที่ฮวงเฟิงเปิดประตูเข้าไป เสี่ยวไป่ก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับสะอื้น ตอนนี้มันแข็งแรงมากกว่าแต่ก่อนมากและเมื่อมันวิ่งมันก็ไม่ล้มแล้ว

ฮวงเฟิงก้มตัวลงและจับเพื่อนตัวน้อยเอาไว้ในมือและลูบขนที่อ่อนนุ่มของมัน “เสี่ยวไป่ เบื่ออยู่ที่บ้านงั้นเหรอ?”

เสี่ยวไป๋เลียตรงกลางฝ่ามือของฮวงและพยักหน้าเหมือนมนุษย์ ฮวงเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่ามันจะฉลาดขนาดนี้และไม่คิดว่ามันจะสามารถเข้าใจคำพูดของเขาได้

แต่ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่ามันสามารถแสดงความคิดของตัวเองได้แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการกระทำธรรมดาๆ ก็ตาม แต่มันคงจะยังเป็นเด็กอยู่แน่ๆ

"เป็นไปตามที่คาดไว้ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แกนี่ฉลาดจริงๆ" ฮวงเฟิงคร่ำครวญ

ตอนที่เขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขามักจะเล่นเกมส์อยู่บ่อยๆ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความหมายอย่างไร

เขารู้ว่าพวกมันอยู่ในตำแหน่งใดในเกมส์ แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสี่ยวไป่นั้นจะฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้มาก

เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวน้อยหิวนิดหน่อย ฮวงเฟิงจึงหยิบนมที่ซื้อมาและป้อนให้มัน

เห็นได้ชัดว่าความอยากอาหารของเพื่อนตัวเล็กนั้นไม่เลวเลยแถมยังดื่มนมอีกด้วย

"นี่ แกลืมตาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" ฮวงเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ

มันดูไม่ต่างจากลูกสุนัขธรรมดา แต่อย่างไรก็ตามดวงตาของมันเต็มไปด้วยความผูกพันกับฮวงเฟิง เห็นได้ชัดว่ามันถือว่าฮวงเฟิงเป็นญาติสนิทของมันแล้ว?

“เอาล่ะฉันจะเป็นญาติให้แกเองตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าฉันมีโอกาสไปที่โลกของแก ฉันจะช่วยแกตามหาพ่อแม่นะ” ฮวงเฟิงกล่าว

ซึ่งเขาไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเพื่อนตัวน้อยได้ตายไปแล้ว

ขณะที่ฮวงเฟิงกำลังยุ่งกับเสี่ยวไป๋อยู่ที่นี่นั้น ในเกมโลกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้คนจากหุบเขาหลิงเซียวและแซมซารา

ก่อนหน้านี้เมื่อหมาป่าสีเงินพระจันทร์คำรามได้ทำลายตัวเอง ทุกคนรู้แค่ว่ามันได้ตายไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตายสนิทหรือไม่

ดูเหมือนจะไม่มีข่าวเกี่ยวกับคำสั่งการสร้างเมืองในเมือง ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าคำสั่งการสร้างเมืองยังคงอยู่ที่นั่น

และหลังจากที่ผู้คนทั้งสองฝ่ายฟื้นคืนชีพ พวกเขาก็รีบไปยังสถานที่ก่อนหน้าและในช่วงเวลานี้

เมื่อเวลาผ่านไปข่าวเกี่ยวกับคำสั่งการสร้างเมืองได้แพร่กระจายออกไป มีคนรู้เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และผู้คนที่สนใจต่างพากันรีบไปที่นั่นและมีคนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ