ตอนที่ 227

USB:บทที่ 227 ตัดสินใจ

ซูหยูโม่ระบายยิ้มบางเบาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าเล็กน้อย "แต่ฉันไม่รู้ว่าฮวงเฟิงจะคิดยังไง..."

“เหอะ อย่างเขาจะคิดอะไรได้อีกล่ะ? สาวสวยที่มีพร้อมอย่างพี่หยูโม่ แถมชอบเขาซะด้วย เขาได้ตื่นมาเจอความฝันอันแสนหวานเชียวนะ!" ถังมู่เสวี่ยว่า

"แต่ว่า พี่หยูโม่ สิ่งที่พี่ต้องคิดในตอนนี้ไม่ใช่ความคิดของฮวงเฟิง แต่เป็นพี่จะอธิบายกับคนในครอบครัวยังไงต่างหากล่ะ พี่ว่าครอบครัวพี่จะยอมให้พี่คบกับคนธรรมดาอย่างฮวงเฟิงไหม?” ถังมู่เสวี่ยถาม แน่นอนว่าคำถามนี้เป็นปัญหาหลักที่กวนใจผู้หญิงทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้

การที่เธอเกิดมาเหมือนพวกเขา การแต่งงานเกือบไม่ใช่หน้าที่ของเธอแล้ว เธอต้องปฏิบัติตามคำสั่งของครอบครัว และคนถูกที่เตรียมไว้สำหรับเธอส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าคุณชายในเมืองหลวง

ถังมู่เสวี่ยรู้ว่าคนพวกนั้นจะปฏิบัติกับเธอยังไงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอปล่อยตัวและทำตามใจตัวเองในตอนนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าการแต่งงานในอนาคตจะทำให้เธอไม่มีความสุข

สำหรับครอบครัวของซูหยูโม่แล้ว สถานการณ์ของอีกฝ่ายไม่ต่างกับเธอเท่าไหร่นัก มันถึงได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกกังวล

"จริงๆตอนที่ฉันกับเมิ่งเจียวเริ่มทำธุรกิจที่เมืองชิง พวกเราทั้งคู่เองมีความคิดแบบนี้เหมือนกันนะ" ซูหยูโม่ว่า

"ครอบครัวของเราแค่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา ตราบใดที่เมิ่งเจียวกับฉันสร้างบริษัทขึ้นมาได้ เราก็จะทำประโยชน์ให้ครอบครัวได้ไม่น้อย ถึงตอนนั้นฉันก็คงเจรจากับคนในครอบครัวได้"

พวกเธอต้องการขยายบริษัท ก่อนที่ครอบครัวจะตัดสินใจให้พวกเธอแต่งงาน

แต่ในเมื่อพวกเธอมีเงิน พวกเธอก็มีสิทธิ์ต่อรองกับครอบครัวได้ ถึงเธออาจจะทำไม่สำเร็จ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปได้สักหน่อย เรื่องนี้จึงเป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

"พี่คิดอย่างนั้นเหรอ?" ก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอรู้ว่าซูหยูโม่กับเซี่ยเมิ่งเจียวสร้างบริษัทที่เมืองชิง เธอคิดว่าสองคนนี้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ ถึงได้ออกมาเที่ยวเล่นตามประสาคนโสด เธอคิดว่าทั้งสองอยากหาอะไรทำฆ่าเวลาก่อนการแต่งงานจะมาถึงเสียอีก

นอกจากนี้ ถังมู่เสวี่ยต้องยอมรับว่านี่เป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว ตราบเท่าที่พวกเธอทั้งสองสามารถทำให้บริษัทก้าวหน้าและสร้างประโยชน์ให้กับตระกูลได้มากพอ คนพวกนั้นอาจไม่จะจับทั้งสองแต่งงานแล้วก็เป็นได้

ท้ายที่สุดแล้ว ในเวลานั้น พวกเธอเองก็สามารถช่วยเหลือตระกูลได้เป็นอย่างดี ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องมือสำหรับการแต่งงานอีกต่อไป

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ยากมาก พวกเธอไม่มีสิทธิ์ขอยืมเงินจากครอบครัวได้มากเท่าเดิม

นอกจากนี้ คนในครอบครัวที่สนับสนุนก็มีเพียงไม่กี่คน โดยรวมแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่คุ้มค่าเลยอ่ะ แถมยังมีอุปสรรค์มากกว่าคนธรรมดาตั้งเยอะ!

แต่ถึงมันจะยากขนาดไหน ก็นับว่าเป็นวิธีที่จะแยกตัวออกจากการควบคุมของตระกูลไม่ใช่รึไง?

ถังโม่เสวี่ยนึกถึงตอนที่เธอได้คบกับลูกหลานคนรวยที่เมืองหลวงในช่วงสองปีที่ผ่านมาหลังจากที่สำเร็จการศึกษา เธอกำลังนึกถึงช่วงเวลาดีๆก่อนแต่งงาน คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวสองคนนี้จะตั้งใจทำเพื่อตัวเองขนาดนี้

เรื่องนี้ทำให้ถังมู่เสวี่ยที่คิดว่าตัวเองทั้งเก่งทั้งฉลาดรู้สึกละอายใจขึ้นมา รู้สึกไม่ดีเลยแหะ

“ฉันตัดสินใจแล้ว!” จู่ๆถังมู่เสวี่ยก็ตะโกนขึ้นมา ทำให้เซี่ยเมิ่งเจียวที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าถึงกับสะดุ้งโหยง

"ฉันขอพูดอะไรหน่อยนะ ยัยถัง เธอจะตะโกนทำไมเนี่ย หรือว่าเธอจงใจทำฉันหัวใจวายตาย?" เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าวด้วยความขุ่นเคือง

แต่ถึงอย่างนั้น ในครั้งนี้ถังมู่เสวี่ยไม่ได้ชวนเซี่ยเมิ่งเจียวทะเลาะ เธอเอาแต่พูดว่า "ฉันตัดสินใจแล้ว! ฉันจะอยู่ที่เมืองชิง ฉันจะไม่กลับไปที่เมืองหลวง!"

ในเมื่อเซี่ยเมิ่งเจียวกับซูหยูโม่ทำแบบนี้ได้ ถังมู่เสวี่ยเองก็ไม่เชื่อว่าเธอจะทำไม่ได้ ในตอนนี้เธอไม่ได้เป็นเด็กที่เอาแต่เล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอมีเป้าหมายชัดเจน

แม้การจะทำให้เป้าหมายสำเร็จลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่ยาก แต่ถังมู่เสวี่ยกลับคิดว่าการมีเป้าหมายในชีวิตนั้นให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่

“ยัยลิงถัง! เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนพูดเองเหรอว่า หลังจบงานเลี้ยงคืนนี้ วันรุ่งขึ้น เธอจะกลับเมืองหลวง ไม่ใช่เหรอ? อะไรคือจะอยู่ที่นี่ ไม่อยากกลับแล้ว?" เซี่ยเมิ่งเจียวขยับเข้ามาใกล้ๆแล้วเอ่ยถาม

อีกด้านหนึ่ง ซูหยูโม่ก็กำลังจ้องมองถังมู่เสวี่ยด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม แน่นอนว่าเธอรู้ว่าทำไมถังมู่เสวี่ยถึงอยากอยู่ที่นี่และทำไมก่อนหน้านี้ เธอถึงพูดแบบนั้นออกมา

ในฐานะสหายคนหนึ่ง ซูหยูโม่เองก็ไม่อยากเห็นถังมู่เสวี่ยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแต่งงานเช่นกัน

ถังมู่เสวี่ยไม่ได้ตอบคำถามที่เซี่ยเมิ่งเจียวสงสัย พลางใช้มือหนึ่งโอบกอดเซี่ยเมิ่งเจียวส่วนอีกมือก็กอดซูหยูโม่แล้วกล่าวออกมาอย่างห้าวหาญแทน

"ก็ฉันอยากอยู่เมืองชิงอ่ะ พวกเราสามพี่น้องร่วมมือกันจัดการพวกคนน่ารังเกียจพรรค์นั้นกันเถอะ พวกเขาจะได้เคารพเรา!”

“พอได้แล้ว ยัยถัง เธอสติหลุดไปแล้วใช่ไหม?” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าวพลางวางมือบนหน้าผาก แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็เข้าใจความหมายของถังมู่เสวี่ย เห็นๆอยู่ว่าอีกฝ่ายต้องการอยู่ที่เมืองชิงและสร้างธุรกิจของตัวเอง

เรื่องนี้ทำให้ในใจเซี่ยเมิ่งเจียวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงทั้งสองคนจะทะเลาะกันบ่อยครั้ง แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่า เพื่อนต้องไม่ทิ้งเพื่อนอยู่แล้ว

“พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ!” จากนั้นซูหยูโม่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ซูหยูโม่เข้าใจดีว่า ถ้าถังมู่เสวี่ยตามหาหนทางของตัวเองพบแล้ว ความมุ่งมั่นของเธอก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเธอและเมิ่งเจียวเลย รวมถึงความสามารถที่นับว่าดีเยี่ยม ถังมู่เสวี่ยจะต้องประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน เพียงแต่เธอแค่ไม่รู้ว่าจะขั้นตอนต่อไปจะเป็นยังไงหรือจะได้รับความเห็นชอบจากครอบครัวหรือเปล่าก็ไม่รู้…

"โอ้ แขกเต็มไปหมดเลยแหะ" จากคำเชิญของผู้จัดการเหวิน ฮวงเฟิงเดินเข้ามาถึงบริเวณแผนกต้อนรับ เขาก็รู้ในทันทีว่าที่นี่มีคนธรรมดาอยู่ไม่มากนัก ดูจากการแต่งกายของพวกเขาแล้ว ฮวงเฟิงก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องใส่สูท

ในบางโอกาส เขาจำเป็นต้องสวมชุดทางการและทำตัวให้ต่างจากคนอื่น เพราะเขาไม่มีจุดเด่นพอ ขืนเป็นแบบนั้น มีหวังคนอื่นได้มองเขาเป็นตัวตลกแน่

วันก่อนฮวงเฟิงได้ไปซื้อสูทตัวนี้กับซูหยูโม่จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าคนที่ซื้อคือซูหยูโม่ เธอบอกว่าเธอจะซื้อไปให้เพื่อน แต่สุดท้าย มันกลับตกเป็นของฮวงเฟิง

ด้วยเหตุนี้ ชุดของฮวงเฟิงจึงไม่ได้ดูด้อยไปกว่าชุดของคนในงาน เขาเลยไม่ได้แสดงสีหน้าขมขื่นออกมาให้คนอื่นได้เห็น

"เฮ้ ไหงนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? นายมาได้ยังไงเหรอ?"

ในขณะที่ฮวงเฟิงกำลังมองไปที่เวทีอยู่ จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงที่น่าประหลาดใจและคุ้นเคย ฮวงเฟิงจึงหันไปมองตามต้นเสียง และได้พบกับ...ถังมู่เสวี่ย?

ในตอนที่ถังมู่เสวี่ยเห็นฮวงเฟิงจากทางด้านหลัง จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าแผ่นหลังของคนๆนี้ดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด นึกไม่ถึงเลยว่าฮวงเฟิงจะมาที่นี่จริงๆ

ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองตาฝาด แต่พอได้ลองเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วกลับพบว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆ