ตอนที่ 138

USB:บทที่ 138 ไม่ให้ความร่วมมือ

“มันเป็นใคร?!” มันเป็นใครกันแน่? ใครกันที่มีความสามารถซ่อนตัว ที่มักจะซ่อนหัวและแสดงหางของเขา เขาเป็นตัวประหลาดแบบไหนกัน!”

เสียงตะโกนที่รุนแรงด้วยความโกรธดังออกมาจากห้องของผู้คุ้มกันชิว โชคดีที่เขาอาศัยอยู่ในที่เปลี่ยวไม่เช่นนั้นแล้วเสียงที่ดังเช่นนั้นคงจะทำให้เพื่อนบ้านตื่นเป็นแน่

ผู้คุ้มกันชิวรู้สึกเหมือนเขากำลังจะเป็นบ้า เขาคิดที่จะหนีไปยังเมืองอื่น ซึ่งเขาจะสามารถหนีไปจากผู้ติดตามไล่ล่าเขาได้

ความจริงแล้ว เขาก็หลบหนีจากการไล่ล่าอของผู้คุ้มกันจากจวนของที่ปรึกษากระทรวงจางจริงๆ นั่นแหละ

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครตามเขามา

ประเด็นสำคัญก็คือเขาไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อน และทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกหนาวจับใจ

ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะเข้าโจมตีเขา ด้วยทักษะของคนเหล่านั้น เขาก็คงจะไม่มีโอกาสที่ต้านทานได้ และไม่แม้แต่ที่จะสังเกตเห็นพวกนั้น

ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัวเขา แต่ผู้คุ้มกันชิวยังคงเดินวนไปรอบๆ ห้องด้วยความโกรธเคืองและรำคาญ ราวกับว่าเขากำลังถูกจับตามองอยู่รอบๆ และเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

เหตุผลที่ว่าทำไมผู้คุ้มกันชิวถึงได้รู้สึกว่ามีคนตามเขามาและมีคนจับจ้องอยู่ ก็เพราะว่าตอนที่เขากลับจากบ้านหลังที่สามเขาก็คิดได้ว่าเขาลืมบางอย่างซึ่งนั่นก็คือกล่องเย็บปักถักร้อย

ในเวลานั้น เขามีความสุขมากขณะที่เปิดกล่องเย็บปักถักร้อยออกและเตรียมที่จะหยิบภาพวาดออกมาเชยชมอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าภาพวาดนั้นจะอยู่ๆ ก็หายไปและกลายเป็นภาพวาดกะโหลกกะลาวางไว้แทนที่

ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันชิวก็หวนคิดถึงพระหยกและไข่มุกราตรีที่เขาขโมยมาจากจวนที่ปรึกษากระทรวงจาง

และในตอนนี้ของสองสิ่งก็ได้ถูกขโมยไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นเมื่อเขาเอาทุกอย่างมาปะติดปะต่อกัน เขาก็คิดว่ามันต้องเป็นการกระทำของคนๆ เดียวกันอย่างแน่นอน

ดูเหมือนว่านิสัยพิเศษของอีกฝ่ายจะแสดงออกมาอีกครั้ง และนั่นก็คือเขาจะขโมยเพียงสิ่งเดียวทุกครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ขโมยไข่มุกราตรีในครั้งนี้ แม้ว่าจะขโมยเพียงอย่างเดียวทุกครั้ง แต่ถ้าเขาเพิ่มจำนวนครั้งเขาก็จะต้องสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน

ผู้คุ้มกันชิวมองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด้านนอก เขากลัวว่าอยู่ๆ เจ้าหน้าที่จากจวนจะโผล่เข้ามา

เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นสามารถที่จะขโมยของๆ เขาได้อย่างเงียบๆ มาตลอด

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกไล่ล่ามาตลอดทาง ดังนั้นการฆ่าเขาก็ไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขาและขณะเดียวกันถ้าพวกนั้นไปแจ้งเจ้าหน้าที่เขาก็คงจบเห่

โชคดีที่หลังจากที่สังเกตอยู่สักครู่ เขาก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ที่ด้านนอก

หลังจากนั้นผู้คุ้มกันชิวก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง เขาเริ่มคิดถึงตัวตนและวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย

มันค่อนข้างยากที่จะเดาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะว่าเขาได้มาขโมยสิ่งของของเขาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยแสดงตัวออกมาเลย

และเขาก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะทำให้ทราบว่าคนนั้นเป็นใคร

อย่างไรก็ตามแรงจูงใจของอีกฝ่ายสามารถคาดเดาได้ง่ายมา

อีกฝ่ายได้ปรากฎตัวขึ้นมาสามครั้งอย่างต่อเนื่องกัน และแต่ละครั้งก็ได้ขโมยของของเขาไปด้วย มันเห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อเงิน

ในขณะเดียวกัน คนๆ นั้นก็ไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่มาจับเขา

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอันตรายอะไรเขาเลย ในตอนที่เขามาขโมยไข่มุกราตรีไปนั้น เขากำลังหลับสนิทและไข่มุกราตรีก็ถูกขโมยไปเสียอย่างนั้น

ถ้าคนที่มาขโมยไข่มุกราตรีต้องการที่จะทำร้ายเขา เขาก็คงจะตายไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น ผู้คุ้มกันชิวก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าชีวิตของเขายังคงปลอดภัยอยู่ ถ้าอีกฝ่ายต้องการที่จะเอาชีวิตของเขา ก็คงจะไปแจ้งกับทางการตั้งนานแล้ว

ด้วยทั้งหมดที่กล่าวมาก็ทำให้ผู้คุ้มกันชิวปวดหัวแล้ว ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตั้งใจที่จะทำอันตรายเขา แต่เขาก็ยังไม่วางใจ

เพราะว่าเขาไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยขณะที่อีกฝ่ายได้เข้ามาฉกฉวยเอาข้าวของไป

แล้วเขาจะรวบรวมเงินได้อย่างไร เขาจะทำการก่อกบฎได้อย่างไร?

ดังนั้น ผู้คุ้มกันชิวจึงพูดลอยๆ กับอากาศรอบตัวว่า “ฉันสงสัยว่าถ้าผู้ที่ช่ำชองจะมาหาฉันและเราได้พูดคุยกัน และหากท่านประสงค์สิ่งใด ฉันก็เต็มใจที่จะจัดหาให้นะ”

ผู้คุ้มกันชิวกำลังตื่นตัว แต่เขาก็รอคอยอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะปรากฎตัวขึ้นมา

ในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับความจริงว่าอีกฝ่ายนั้นจากไปแล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตามตัดสินใจว่าคืนนี้เขาจะไม่นอน ถ้าอีกฝ่ายหวนกลับมาขโมยของของเขาอีกเขาก็จะลองคุยกับอีกฝ่ายดูเผื่อจะหาลู่ทางที่เหมาะสมของทั้งสองฝ่ายได้

ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับอีกฝ่ายเลย

อย่างไรก็ตาม การรอคอยของผู้คุ้มกันชิวนั้นไร้ผล เพราะเขาไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าหัวขโมยที่มาขโมยของของเขานั้นไม่ได้อยู่ในโลกนี้และก็ไม่อาจที่จะมาปรากฎตัวในตอนนี้ได้

และมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดคุยกับอีกฝ่ายได้

ในวันนั้นเอง ฮวงเฟิงไม่ได้ทำอะไรมากนักเขาแค่ทำความคุ้นเคยกับงานของแผนกรักษาความปลอดภัย

เพราะว่าก่อนหน้าที่ตอนที่อยู่ที่ออคิดบีนกรุ๊ปนั้น ภาระงานด้านความปลอดภัยของโรงงานต่างๆ ที่อยู่ในสังกัดนั้นยากมาก และเขาก็ต้องดูแลงานพวกนั้น

ไม่เช่นนั้นฮวงเฟิงก็คงจะไม่วางแผนที่จะไปที่โรงงานต่างๆ ด้วยตัวเองและพักอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่งเป็นแน่

แน่นอนว่า ฮวงเฟิงได้เตรียมที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยการใช้กำลังบังคับ การต่อกรกับอันธพาลพวกนี้มันเปล่าประโยชน์ที่จะเสียเวลาไปพูดด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ใช่เวลานี้ เมื่อเขาเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับแผนกรักษาความปลอดภัยแล้ว ฮวงเฟิงก็กลับไปยังออฟฟิศเก่าของเขา ที่ที่เป็นที่พวก รปภ. ธรรดาอยู่และส่ง รปภ.ไปยังโรงงานต่างๆ ด้านล่างเพิ่มอีกสองสามคน

เพราะว่าบริษัทก็ไม่ได้มีงานมากนัก แต่ รปภ. มีจำนวนมากและหลายคนก็ว่างมาก

มันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้นในบริเวณนี้

แต่เห็นได้ชัดว่าที่ด้านล่างนั้นสำคัญกว่า และพวกเขาต้องการความปลอดภัยมากกว่านี้

ดังนั้น ฮวงเฟิงจึงสามารถทำได้เพียงย้ายพวกเขาไปทำงานในเวลาที่ควรจะเป็นและนำพวกเขากลับมาหลังจากที่หลายอย่างในโรงงานลงตัวแล้ว

เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในแผนกรักษาความปลอดภัยจะไม่ให้ร่วมมือกับการปรับตัวง่ายๆ เช่นนี้

"ผู้จัดการฮวง ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ดังนั้นฉันอาจจะไม่สามารถไปที่โรงงานได้ ฉันกำลังจะขอลางานอยู่เหมือนกัน" ฮวงเฟิงจำได้ว่าเขาคนนั้นชื่อ หยางกวาง

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาดูแล้ว สหายคนนี้ได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง