USB:บทที่ 302 เปิดบูธ
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำฮวงเฟิงจึงกลับบ้านและพบม้วนคัมภีร์วิเศษภายในแหวนมิติ
การเรียนรู้ม้วนคัมภีร์นี้ยากกว่าเวทมนตร์พื้นฐานทั่วไปของเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก ซึ่งจะต้องเพ่งกระแสจิตหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเขาลงไปในม้วนคัมภีร์เพื่อทำความเข้าใจหลักการจนสามารถร่ายมนตร์ออกมาได้ จากนั้นจึงจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจเวทมนตร์นี้ได้
เขาคิดที่จะทดลองฝืนทำและคิดว่าตัวเองคงสามารถอดทนต่อความยากลำบากในการฝึกได้ แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถทำได้ในตอนนี้เพราะมันอาจส่งผลต่อระดับการในการฝึกของเขาจนทำให้ช้าลงในภายหลังได้ เช่นนั้นฮวงเฟิงจึงยังไม่ค่อยอยากเสี่ยงเท่าใดนัก เขาจึงวางม้วนคัมภีร์ลงและตัดสินใจจะทำเป็นไม่สนใจชั่วคราว
หลังจากที่เก็บม้วนคัมภีร์ไว้ในกล่องจักรวาล เขาก็แน่วแน่ที่จะเพิกเฉยต่อมันไว้ชั่วคราว
แน่นอนว่าฮวงเฟิงไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถอดทนรอจนกว่าเขาจะถึงระดับที่จะสามารถฝึกได้และการอก็เป็นวิธีที่จะทำให้เขาสำเร็จวิชาช้าแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็รอเพียงไม่กี่วันเอง
หลังจากที่ผลิตภัณฑ์ของเขาถูกขายไปแล้ว เขาจึงรอการตอบรับของตลาดเกี่ยวผลิตภัณฑ์ซึ่งฮวงเฟิงค่อนข้างมั่นใจแต่ในเรื่องของการอธิบายหลักการในการทำงานของเจ้าเครื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ยากเสียหน่อยและเขาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงต้องทำการโฆษณาและจ้างตัวแทนขายให้มาขายผลิตภัณฑ์แทน
ในช่วงเช้าของวันที่สองฮวงเฟิงที่ซักผ้าเสร็จพอดีก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“บอสคะ พี่เหลียงบอกว่าให้ฉันตามบอสไปวันนี้ด้วย เขาบอกว่าเขาจะไปบริษัทจัดหาคนเพื่อหารับสมัครคนมาเป็นพนักงานค่ะ” เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นนั้นมาจากกัวเมิ่งหานที่กัวเหลียงจัดให้มาช่วยฮวงเฟิง
"เอ่อ เดี๋ยวก่อน ผมเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จมาทานด้วยกันก่อนสิเสร็จแล้วค่อยไปก็ได้" ฮวงเฟิงกล่าว
"โอ้ใช่ ถ้าไม่ได้อยู่ที่โรงงาน เธอเรียกแค่ชื่อฉันหรือไม่ก็พี่เฟิงก็ได้” ฮวงเฟิงไม่ต้องการแบ่งแยกสถานะกับกัวเมิ่งหานในตอนที่ไม่ใช่เวลาทำงานเพราะอย่างไรพวกเขาไม่ได้เพิ่งมารู้จักกันเพียงวันสองวันแต่พวกเขาเป็นเพื่อนกัน
“ถ้าอย่างงั้นต่อจากนี้ฉันจะเรียกคุณว่าพี่เฟิงก็แล้วกันนะคะ ”กัวเมิ่งหานย่อมไม่ปฏิเสธคำแนะนำจากฮวงเฟิงเพราะความจริงเธอไม่ต้องการห่างเหินกับฮวงเฟิงอยู่มากไปกว่านี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่หรูหรานบอกกับเธอ
"คุณมีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?" เมื่อเห็นฮวงเฟิงเข้าไปในครัว กัวเมิ่งหานจึงนึกอยากจะช่วยเขา
"ไม่ต้อง ๆ แค่รออยู่ด้านนอกก็พอ คุณทำอาหารให้ผมมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ผมจะให้คุณได้ชิมฝีมือการทำอาหารของผมบ้าง" ฮวงเฟิงกล่าว
กัวเมิ่งหานไม่ปฏิเสธและนั่งลงอย่างเชื่อฟังในห้องนั่งเล่น เธอเองก็ค่อนข้างอยากรู้ทักษะการทำอาหารของฮวงเฟิงเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้ตั้งความหวังกับเขาไว้สูงนัก
แต่เมื่อเธอได้ลิ้มลองข้าวผัดไข่ที่แสนเรียบง่ายของฮวงเฟิงเข้าไปแล้วก็ถึงกับต้องเปลี่ยนความคิดก่อนหน้านี้ไปทันที เพราะจริง ๆ แล้วทักษะการทำอาหารของฮวงเฟิงนั้นถือว่าดีอยู่ไม่น้อยและยังดีกว่าของเธออีกด้วย
"เป็นไงบ้าง? ทักษะการทำอาหารของผมไม่เลวใช่ไหมล่ะ?" ฮวงเฟิงกล่าวอย่างพอใจเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ประหลาดใจของกัวเมิ่งหาน
"อื้ม มันดีกว่าของฉันมากเลยค่ะ" กัวเมิ่งหานพูดอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาทั้งสองก็ตรงไปที่แหล่งของคนที่ต้องการสมัครงานซึ่งพวกเขาต้องใช้เงินส่วนหนึ่งให้กับสำนักงานฝ่ายบริหารจัดการหาคนที่ตรงคุณสมบัติที่เขาต้องการ แม้ว่าผลที่ได้จะไม่ค่อยดีนักแต่ก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้เช่นกัน
หลังจากที่ฮวงเฟิงและกัวเมิ่งหานรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการรับสมัครเสร็จแล้วและตอนนี้เวลาก็ยังไม่เกินสามทุ่ม อย่างไรก็ตามในเวลานี้แหล่งรวมของผู้มีความสามารถยังคงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงของการจบการศึกษาจึงมีผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ไม่น้อยและแน่นอนว่าก็ยังมีคนที่มีประสบการณ์การทำงานรวมอยู่ด้วยไม่น้อยเช่นกัน
ในขณะที่ฮวงเฟิงและคนอื่น ๆ ตั้งบูธของพวกเขาเสร็จก็ได้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาดูแต่หลังจากที่พวกเขาได้เห็นการแนะนำโรงงานแล้วส่วนใหญ่ก็หันหลังกลับไปเนื่องด้วยโรงงานของฮวงเฟิงนั้นเล็กเกินไปและมีคนงานเพียงยี่สิบกว่าคน
ฮวงเฟิงไม่แปลกใจกับสถานการณ์เช่นนี้ เพราะตอนที่เขาเพิ่งจบการศึกษาใหม่ ๆ เขาเองก็มีความทะเยอทะยานเต็มเปี่ยมและเคยดูถูกธุรกิจขนาดเล็กมาก่อนเช่นกันและต้องการหาบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองและยังมีผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเอาหัวโขกกำแพงเพราะการที่จะเข้าบริษัทใหญ่นั้นก็ต้องพบกับการแข่งขันที่สูงด้วยเช่นกัน และเมื่อหมดหานทางเขาก็ต้องหันกลับไปมองบริษัทเล็ก ๆ ที่เคยดูถูกแต่นั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว
ฮวงเฟิงรู้ว่าบัณฑิตที่เพิ่งออกจากมหาวิทยาลัยเหลานี้ก็จะต้องช็อคกับความจริงในไม่ช้า ท้ายที่สุดล้วพวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ที่จะต้องยอมไปทำงานที่บริษัทเล็ก ๆ หรือโรงงานเล็ก ๆ ที่พวกเขาไม่ชอบเพราะเมื่อถึงเวลานั้นไม่ได้เป็นพวกเขาแล้วที่เลือกบริษัทแต่เป็นบริษัทเล็ก ๆ พวกนั้นต่างหากที่จะเป็นคนคัดเลือกแทน
พวกเขาหลายคนไม่อยากไปทำงานที่โรงงานของฮวงเฟิงจึงได้เลือกไปสมัครกับโรงงานอื่นหรือเลือกทางเลือกอื่นแทน แต่สุดท้ายพวกเขาอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้ยื่นเรซูเม่ไปบริษัทใดบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตามฮวงเฟิงก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หลังจากที่รวบรวมประวัติย่อมาทั้งหมดแล้ว เขาก็พบว่าโรงงานของเขาจะต้องขยายเวลาการรับสมัครพนักงานขายเพิ่มและเขาเองก็ต้องการคนที่มีความสามารถสำหรับตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากเร่ซูเม่เพื่อเลือกพนักงานในอนาคตได้
สำหรับคนที่นั่งลงเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมจากฮวงเฟิงและกัวเมิ่งหาน พวกเขาทั้งคู่คอยตอบข้อสงสัยจากคนเหล่านี้อย่างอดทนเนื่องจากโรงงานของพวกเขาในตอนนี้ยังเป็นเพียงโรงงานเล็ก ๆ จึงไม่มีสิทธิ์เพิกเฉยต่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้
ไม่กี่เดือนที่ผ่าน เขายังไม่มีกล่องจักรวาลและเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ในตอนนั้นเขาจึงเป็นกังลเรื่องงานตลอดทั้งวันเพราะยังไม่มีงานอะไรให้ทำ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาจะทำงานออกมาอย่างไรให้ดีจนสามารถทำให้บอสเอ่ยปากชมเขาได้และไม่กี่เดือนที่ผ่านนั้นเองเขาก็เคยเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการสมัครงานในงานครั้งนี้และแน่นอนว่าสถานะของเขาตอนนั้นไม่ใช่เจ้าของหรือผู้สัมภาษณ์จากโรงงานเหมือนในตอนนี้ แต่เขาเป็นเพียงคนหางานธรรมดา ๆ คนหนึ่งเช่นเดียวกับคนที่อยู่หน้าเขาตอนนี้
"ฮวงเฟิง ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?!"
ในขณะที่ฮวงเฟิงกำลังพิจารณาถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบจากข้อเท็จจริงอยู่ว่าเหตุใดคนที่เข้ามาสมัครถึงได้มีจำนวนน้อย ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยร้องทักขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
ฮวงเฟิงเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณเพื่อมองหาต้นเสียงของผู้พูด จากนั้นเขาก็ตกตะลึงแต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าตามที่เขารู้สึกชาไปทั้งหมด
"โอ้ หวังทงทง ช่างบังเอิญจริง ๆ เลย" ฮวงเฟิงกล่าวอย่างเป็นกันเองขณะที่เขายังคงจัดเรียงเรซูเม่ที่อยู่ในมือเขา
ถูกต้องแล้วคนที่ปรากฏตัวต่อหน้า ฮวงเฟิง ก็คือแฟนสาวที่เขาเคยพูดถึงตอนอยู่มหาวิทยาลัย
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved