ตอนที่ 243

USB:บทที่ 243 ความรู้สึกดีๆ

"ขอบคุณนะ!" กัวเมิ่งหานกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ เธอรู้สึกได้ว่าฮวงเฟิงต้องการช่วยเธอจริงๆ

แม้ว่าเธอจะไม่มีเพื่อนเยอะมาตั้งแต่ต้น แต่พอพบเจอกับสถานการณ์แบบนั้นในวันนี้ เธอจึงไม่สามารถไว้ใจใครได้เลยแม้แต่คนเดียว

ตอนแรก เธอยังมีโจวหรูหราน แต่เพราะโจวหรูหรานเพิ่งออกจากงาน ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

"อ่า..จริงๆเธอไม่ต้องสุภาพกับฉันมากก็ได้นะ พวกเรากลับกันเถอะ" ฮวงเฟิงกล่าว แม้ว่าตอนกลางคืนอากาศจะไม่เย็นมาก แต่ในซอยมืดๆแบบนี้มียุงเยอะน่ะสิ

"อืม" หลังจากที่เธอเล่าให้ฮวงเฟิงฟังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอบ้าง ฮวงเฟิงก็ได้แนะนำงานให้เธอ แม้ว่าความกังวลที่ยังอยู่ในใจยังไม่ได้จางหายไปทั้งหมด แต่เธอก็รู้สึกดีขึ้นมากกว่าเมื่อกี้

กัวเมิ่งหานเหลือบมองฮวงเฟิงที่อยู่ข้างกาย จู่ๆใบหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอรู้จักกับฮวงเฟิงได้ไม่นาน แต่ชายหนุ่มก็ได้ให้ความช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดี พอนึกถึงเรื่องที่โจวหรูหรานกับกัวเหลียงต้องการให้เธอกับฮวงเฟิงคบกันแล้ว กัวเมิ่งหานก็อดรู้สึกเขินอายขึ้นมาไม่ได้

ใช้เวลาไม่นาน กัวเมิ่งหานก็มาถึงห้องพัก

ฮวงเฟิงพูดขึ้นมาว่า "กลับไปอาบน้ำแล้วเข้านอนไว ๆ ล่ะ แล้วก็อย่าลืมทิ้งเรื่องไม่ดีพวกนั้นไปให้หมด"

"อื้อ ขอบใจนายมากนะ!" กัวเมิ่งหานตอบ ใช่แล้ว เมื่อพรุ่งนี้มาถึง เธอก็จะได้เป็นกัวเมิ่งหานคนใหม่

ฮวงเฟิงโบกมือ จากนั้นประตูลิฟต์ก็ค่อยๆปิดลงและทำให้คนทั้งสองมองไม่เห็นคนตรงหน้าในที่สุด

ฮวงเฟิงคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เขาซื้อโรงงานเป็นของตัวเอง เขาจะได้คนรู้จักมาร่วมงานด้วยถึงสามคน แต่ถึงอย่างไร ในสถานการณ์นี้ ฮวงเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม

เนื่องจากเขามีกล่องจักวาล เขาจะได้รับสิ่งของดีๆมากมายในอนาคต และงานของเขาเองก็จะมากขึ้น และแน่นอนว่าตัวเขาเองก็จะมีงานล้นมือ ตอนนี้ เขาต้องการคนช่วยแบ่งเบางาน และการให้คนรู้จักหรือเพื่อนสนิทมาเป็นผู้ช่วยนั้นต้องดีกว่าให้คนแปลกหน้าอย่างแน่นอน

"ถ้าเป็นหยูโม่ก็ดีสิ.." ฮวงเฟิงคิดขณะที่เปิดประตูห้อง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เข้าใจดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ โรงงานของเขามีพนักงานแค่ยี่สิบคนเท่านั้น เทียบกับหยูโม่แล้ว มันช่างห่างไกลและยังอ่อนประสบการณ์กว่ามาก

นอกจากนี้ เฮฟเว่นไพร์กรุ๊ปก่อตั้งขึ้นพร้อมกับหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียว เธอเป็นถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ส่วนเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนของเธอเท่านั้น

"ถ้ามันเป็นอย่างที่ถังมู่เสวี่ยพูดจริงๆละก็ จีบหยูโมแล้วขอเป็นแฟนก็ไม่เลวแหะ" ฮวงเฟิงคิด

ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก เขาก็รู้ดีว่าการจีบซูหยูโม่นั้นยากขนาดไหน เพราะเธอเป็นคนที่สวยและเก่งมาก คงจะมีผู้ชายมากหน้าหลายตามาตามจีบเธอไม่เว้นในแต่ละวัน และตอนนี้ เขาเองก็เทียบกับผู้ชายพวกนั้นแทบไม่ติด

ขณะที่ฮวงเฟิงเปิดประตู เสี่ยวไป่ก็วิ่งตรงมาแล้วกระโดดใส่อ้อมแขนของฮวงเฟิงทันที

เจ้าหมาน้อยของเขาโตเร็วมาก ตอนแรกมันมีขนาดตัวเท่าฝ่ามือของเขา แต่ตอนนี้มันสูงมากกว่าสามสิบเซนติเมตรแล้ว นอกจากนี้ มันยังฉลาดและเข้าใจที่เขาพูดด้วย

"เอาล่ะ ฉันรู้ว่านายหิว รีบลงไปได้แล้ว ฉันจะได้ไปหาอะไรมาให้กินไง" ฮวงเฟิงพูดพลางลูบขนนุ่มปุกปุยบนตัวเสี่ยวไป่อย่างอ่อนโยน

เสี่ยวไป่โค้งตัวเข้าหาอ้อมกอดของฮวงเฟิง จากนั้นก็หลับตาลงแล้วยอมกระโดดออกไปอย่างจำใจ

ฮวงเฟิงที่ไม่มีทางเลือกจึงไปเตรียมอาหารให้เจ้าหมาน้อย

หลังจากให้อาหารเสี่ยวไป๋ ฮวงเฟิงก็ทานอาหารในส่วนของตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนอน แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องรู้สึกเศร้าใจ เนื่องจากเขาไม่เห็นว่าในกล่องจักรวาลจะมีสิ่งของอยู่ข้างใน ทั้งๆที่ผ่านไปแล้วสองวัน แต่กลับไม่มีอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ฮวงเฟิงก็ไม่สามาถทำอะไรได้

ในขณะที่ฮวงเฟิงกำลังรู้สึกหดหู่ อย่างน้อยก็มีอีกคนที่รู้สึกไม่ดีกว่าเขา และคน ๆ ก็นั้นคือ โอวหยางซิงเหวินที่ต้องทนกับการฝึกฝนมาโดยตลอด

เพล้ง!

โอวหยางซิงเหวินขว้างแจกันที่อยู่ในห้องนอนไปด้านข้างด้วยความหงุดหงิด ของที่มีค่ามากชิ้นนี้ถูกเขาทำแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เกิดเศษแก้วชิ้นเล็กๆกระจายไปทั่วพื้น เขาไม่สามารถนับได้ว่าวันนี้ ตัวเองขว้างแจกันไปกี่ครั้งแล้ว

โอวหยางซิงเหวินเริ่มร้อนรนมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาใช้ยาเสริมความหลักแหลมมาสักพักแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง และไม่สามารถใช้พลังเวทในอากาศได้

ส่วนคัมภีร์การฝึกสมาธิที่ขาซื้อมาเล่มนั้นยังไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาไม่สามารถใช่พลังวิเศษได้ ถึงจะทำสมาธิไปก็ไม่มีประโยชน์

"หรือว่าข้าไม่มีความสามารถในการใช้พลังเวท ขนาดกินยาเสริมความหลักแหลมเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้" โอวหยางซิงเหวินนึกสงสัยอยู่กับตัวเอง

มันไม่เหมือนกับคนที่ไม่เคยกินยาเสริมความเสริมความหลักแหลมมาก่อน ถึงจะผ่านไปนานแล้ว แต่ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็นานพอที่จะทำให้เขารู้สึกถึงมันและใช้พลังเวทได้นานขึ้น

แน่นอนว่าเขารู้ข้อดีของการปลุกพลัง ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเมื่อเขากลายเป็นผู้ใช้พลัง ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะได้รับความเคารพ หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ง่ายไปซะทุกอย่าง อีกทั้งฐานะของเขาก็จะสูงส่งกว่าคนอื่นๆเช่นกัน

เช่นเดียวกับตอนเขาไม่สามารถเป็นผู้ใช้พลังในหมู่พวกเขาได้ แม้ว่าพ่อของเขาจะมีลูกชายเพียงคนเดียว แต่ลุงของเขาก็มีบุตรชายเช่นกัน หากเขาไม่สามารถปลุกพลังของตัวเองให้ตื่นขึ้นมาได้ ตำแหน่งผู้นำตระกูลจะต้องถูกผู้อื่นช่วงชิงไปอย่างแน่นอน

ปัง!

โดยปกติแล้วหากเขาอารมณ์ไม่ดี หวังเอ้อก็จะปรากฏตัวทันทีเพื่อทำให้เขารู้สึกดีขึ้นด้วยการกวาดขยะที่พื้น แต่ตอนนี้หวังเอ้อได้กลายเป็นคนพิการครึ่งร่างไปแล้ว

โอวหยางซิงเหวินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนใช้คนนี้จะดื้อด้านขนาดนี้ ตอนที่เขาถามมันเรื่องแหวนมิติที่หายไป มันกลับไม่ตอบคำถามของเขาเลยสักคำ ในทางกลับกัน คนรับใช้ต่ำช้าแบบมันกลับทำทุกวิถีทางเพื่อกลบเกลื่อนความผิด มันทำให้เขาสับสนและไม่ยอมสารภาพความจริงออกมา

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะข้ออ้างแบบนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดเดิมของโอวหยางซิงเหวินไปได้ ชายหนุ่มยังคงคิดว่าหวังเอ้อเป็นคนขโมยแหวนมิติของเขาไป และไม่ยอมสารภาพมันออกมา

โอวหยางซิงเหวินคิดว่าอาจเป็นเพราะมันคิดว่าแค่ทนถูกเขาทำโทษไม่นาน หลังจากที่ได้ครอบครองแหวนมิติของเขาแล้วนำขายแหวนมิติไปขาย คนรับช้ที่ต่ำต้อยอย่างมันก็จะรวยขึ้น