ตอนที่ 279

USB:บทที่ 279 อยู่ต่อได้ไหม

“งั้นผมก็คิดว่าผมควรจะตกลง เพราะถ้าผมทำให้ผู้กำกับชิวไม่สบายใจ ไม่อย่างนั้นมณฑลชิงของเราก็คงจะไปต่อไม่ได้” ฮวงเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“คุณไม่ได้โทษที่ฉันปิดบังคุณใช่ไหม่?” ชิวหนิงช่วงถามอย่างระมัดระวัง

ในตอนนี้เธอนั้นรู้สึกแคร์มากว่าฮวงเฟิงจะคิดกับเธออย่างไร

“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกันล่ะ? ผมก็แค่ไม่คิดว่าคุณจะเป็นลูกสาวของผู้กำกับชิวแค่นั้นเอง” ฮวงเฟิงส่ายหัว

“งั้นก็ดีแล้ว” ชิวหนิงช่วงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกล่าวว่า “อ้อ ใช่ พ่อถามฉันว่าคุณช่วยฉันไว้ได้อย่างไร แต่ฉันไม่ได้บอกอะไรท่าน แต่ท่านต้องถามคุณทีหลังแน่ๆ”

นี่คือสิ่งที่ชิวหนิงช่วงกังวล ถึงแม้ว่าเธอเองก็อยากรู้เกี่ยวเรื่องที่ฮวงเฟิงได้ช่วยเธอเอาไว้เมื่อคืนนี้ แต่เธอก็รู้ว่าเธอต้องเก็บไว้เป็นความลับ

ดังนั้นไม่เพียงแต่เธอไม่ถามต่อแต่เธอก็ยังไม่บอกพ่อของเธออีกด้วย

ฮวงเฟิงเองก็ปวดหัวกับคำถามนี้ ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่เขาหยิบผลไม้สีแดงสดออกมา

ฮวงเฟิงก็ได้คิดถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว ท้ายที่สุดแล้วอาการบาดเจ็บของชิวหนิงช่วงที่ได้รับความทุกข์ทรมานในเวลานั้นยังคงรุนแรงมากโข

"ไม่ต้องกังวลไปหรอก เมื่อถึงเวลาตราบใดที่คุณไม่พูดอะไร ฉันเชื่อว่าพ่อก็จะไม่กดดันคุณ" ในเวลาเดียวกันเขาก็ตัดสินใจว่าเธอต้องรีบสกัดพ่อของเธอเสียก่อนที่จะสร้างปัญหาให้กับเขาในภายหลัง

"งั้นก็ขอบคุณนะ บอกตามตรงมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถพูดได้ในตอนนี้" ฮวงเฟิงกล่าวอย่างซาบซึ้ง

"ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว" ชิวหนิงช่วงกล่าวด้วยความเข้าใจ ใครจะไม่มี่ความลับบ้างล่ะ?

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ฮวงเฟิงให้เขากินเป็นความลับของเขาและมีสถานที่ไม่กี่แห่งที่ฮวงเฟิงเปิดเผยเป็นครั้งคราวซึ่งมีสิ่งลึกลับบางอย่างสำหรับพวกเขา

ชิวหนิงช่วงเองก็มีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าคนอื่น แต่เธอก็บังคับตัวเองไม่ให้ถามออกมา

ดังนั้นเมื่อมีโอกาสในอนาคตบางทีฮวงเฟิงก็คงจะบอกเธอเอง

"เอาล่ะ นี่ก็ดึกแล้ว คุณควรพักผ่อนเสียก่อน ผมขอตัวก่อน" ฮวงเฟิงมองดูเวลาและมันก็ดึกมากแล้ว

แม้ว่าชิวหนิงช่วงจะปลอดภัยดีแล้ว แต่เธอก็ยังต้องพักผ่อน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับเสียที

"อ้าว ไปเร็วจัง" ชิวหนิงช่วงอดไม่ได้ที่จะพูดแบบนี้ แม้ว่าฮวงเฟิงจะมาเยี่ยมเธอได้สักพักแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปไม่นานนัก เธอทนไม่ได้ที่จะเห็นฮวงเฟิงกลับไปเร็วแบบนี้

เมื่อเธอเห็นว่าฮวงเฟิงทำหน้าตาที่ยากจะอธิบาย ใบหน้าของชิวหนิงช่วงก็แดงระเรื่อขึ้นมาขณะที่เธอพูดว่า “ที่ฉันจะพูดก็คือ คุณอยากจะอยู่ต่ออีกสักพักไหม?”

“ไม่จำเป็น” ฮวงเฟิงส่ายหน้า “ผมจะมาเยี่ยมคุณตอนที่ผมมีเวลาก็แล้วกัน”

“ก็ได้ ตกลงตามนั้น ถ้าคุณไม่มา ฉันก็จะโทรไปกวนใจคุณเรื่อยๆ เลยนะ!” ชิวหนิงช่วงกล่าวขึ้นในทันที

ฮวงเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เขาเพียงแค่พูดไปตามมารยาท แต่เขาไม่คิดว่าชิวหนิงช่วงจะถือเป็นเรื่องจริงจัง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่พูดว่า “ตกลง แล้วผมจะมาอย่างแน่นอน”

นั่นเป็นการพูดแค่เพียงเพื่อให้ชิวหนิงช่วงสบายใจ

“เอาล่ะ งั้นคุณก็กลับไปก่อนเถอะนะ”

เมื่อฮวงเฟิงออกมาจากหอผู้ป่วย เขาก็บังเอิญพบเข้ากับแม่ของชิวหนิงช่วงอีกครั้ง

อาจจะกล่าวได้ว่าเขาไม่ได้พบกับเธอ เพราะตอนที่ฮวงเฟิงออกมานั้นแม่ของชิวหนิงช่วงนั่งอยู่ที่ระเบียงด้านนอกของหอผู้ป่วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว

“เฟิง จะกลับแล้วเหรอ?” เมื่อเห็นว่าฮวงเฟิงกำลังเดินออกมา แม่ของชิวหนิงช่วงก็เริ่มชวนคุย “อยากจะอยู่ต่ออีกสักพักไหมล่ะ?

“ไม่ครับ คุณป้า ผมขอตัวกลับก่อนครับ” ฮวงเฟิงกล่าว

“อ้อ ใช่ เฟิง เธอเป็นคนที่ไหน?” แม่ของชิวหนิงช่วงดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยให้ฮวงเฟิงกลับไปง่ายๆ และเริ่มชวนเขาคุณเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของเขา

“ผมมาจากเมืองเหวยโจวครับ” ฮวงเฟิงกล่าว

“ที่บ้านเธอมีใครบ้างล่ะ?” แม่ของชิวหนิงช่วงยังคงถามต่อ

ถึงแม้ว่าฮวงเฟิงจะรู้สึกแปลกๆ ที่เขาถูกถาม แต่เขาก็ยังคงตอบเธอว่า “พ่อกับแม่ของผมยังอยู่ครับ และผมก็มีน้องสาวอีกหนึ่งคน”

พ่อแม่ของเขาเป็นคนงานธรรมดา ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้ทำงานในไร่ในสวนทุกวัน

แต่งานของพวกท่านก็ค่อนข้างลำบาก และเงินเดือนของเขาเองก็ไม่ได้สูงอะไรนัก

ตอนที่ฮวงเฟิงเข้าเรียนในวิทยาลัย ครอบครัวของเขาต้องไปขอหยิบยืมเงินมา

และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามทำงานหาเงินอย่างหนักมาตลอดเวลาสองสามปีที่ผ่านมา

แต่สถานการณ์ของครอบครัวของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก

และเป็นเพราะว่าน้องสาวของเขา ฮวงถิงถิง ตอนนี้เธอกำลังเรียนอยู่ในระดับมัธยมปลายปีที่สาม และกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีหน้า

ก่อนหน้านี้ฮวงเฟิงก็ทำงานอย่างหนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะพัฒนาตนเอง และส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาอยากจะมีส่วนช่วยน้องสาวของเขาได้บ้างตอนที่เธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าฮวงเฟิงจะทำงานหนักมาก่อน แต่เขาก็มีรายได้ไม่มากนัก

แต่ก็เพียงพอที่เขาจะใช้ชีวิตอยู่ในมณฑลเจียงนี้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะลำบากสำหรับที่จะจุนเจือครอบครัวก็ตาม

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเขาได้รับเงินจำนวนมากจากกล่องจักรวาล

ถึงแม้ว่าเงินเดือนที่เขาได้รับจากงานเดิมจะไม่สามารถเทียบได้กับที่ได้รับจากเฮฟเว่นส์ไพรด์กรุ๊ป

ตอนที่เขาเข้าทำงานกับเฮฟเว่นส์ไพรด์กรุ๊ปเป็นครั้งแรกเขาไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถอันลึกลับของกล่องจักรวาล

ดังนั้นเขาจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฮฟเว่นส์ไพรด์กรุ๊ป

นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขามีความรู้สึกพิเศษต่อเฮฟเว่นส์ไพรด์กรุ๊ป และนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ฮวงเฟิงยังไม่ลาออก

หลังจากที่ได้รับเงินเดือนจากบริษัท และได้รับเงินจากกล่องจักรวาลแล้ว

ฮวงเฟิงก็ส่งเงินจำนวนสองหมื่นหยวนให้แก่ครอบครัวของเขาทันที

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการที่จะส่งไปให้มากกว่านี้ เพียงแต่เขากลัวว่าพ่อแม่จะคิดมาก

เพราะฮวงเฟิงคิดว่าเขาจะต้องกลับบ้านเสียก่อน เมื่อถึงเวลาเหมาะสมเขาก็จะเล่าเรื่องกล่องจักรวาลให้พ่อกับแม่ฟังด้วยตัวเอง

แม่ของชิวหนิงช่วงดูเหมือนจะสนใจในตัวของฮวงเฟิงมากและยังคงถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับฮวงเฟิง

อย่างไรก็ตามท่าทีและน้ำเสียงของเธอดูดีมาก ฮวงเฟิงจึงไม่รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย

ชิวหนิงช่วงที่อยู่ในหอผู้ป่วย ดูเหมือนจะตระหนักว่าแม่ของเธอกำลังถามคำถามฮวงเฟิงอยู่ และเมื่อเธอเรียกให้แม่กลับมา เธอก็ไม่ค่อยเต็มใจที่จะปล่อยให้ฮวงเฟิงกลับไป

อย่างไรก็ตามเธอสั่งให้ฮวงเฟิงมาที่นี่และมาเยี่ยมชิวหนิงช่วงให้มากขึ้นเมื่อเขามีเวลา

หลังจากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง คำถามของแม่ของชิวหนิงช่วงทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น คุณมีแฟนไหม? ในอนาคตอยากทำอะไร?

ดังนั้นตอนนี้ฮวงเฟิงมีโอกาสแล้ว เขาจึงต้องรีบออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะไม่ถูกถามคำถามส่วนตัว

“แม่ทำอะไรอยู่ข้างนอกคะ?” ชิวหนิงช่วงถาม เห็นได้ชัดว่าเธอได้ยินบางสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก อย่างไรก็ตามเธอก็ได้ยินไม่ค่อยถนัด