ตอนที่ 132

USB:บทที่ 132 คนของพี่เปียว

“นี่แกจะทำอะไร?” เหลาหยูตกใจ เขากำลังจะกระโดดหลบ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าขี้ข้าที่อยู่ข้างหลังเด็กหนุ่มคนนั้นก้าวออกมาและชกเข้าที่หน้าของเขา ทำให้เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“นี่พวกแกกำลังทำอะไร?” ถงเฉียนตะโกนออกมาจากทางด้านข้าง เขากำลังอารมณ์ไม่ดีแต่เมื่อเขาเห็นพวกเหล่าอันธพาลกำลังรุมคนเพียงคนเดียว อารมณ์ของเขาก็ยิ่้งไม่ดีมากขึ้น

“นี่แกเป็นพวกเดียวกับมัน ใช่ไหม? งั้นก็มาสู้กันเลย!” เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจำถงเฉียนไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะจำถงเฉียนไม่ได้

เด็กหนุ่มคนนี้จำได้ว่าเมื่อตอนที่ถงเฉียนเห็นเขาและพวก พวกเขาก็รีบผละไปอย่างรวดเร็ว คนที่ถูกเรียกว่าเป็นพวกคนรวยรุ่นที่สองพวกนี้โคตรจะหยิ่งยโส

เมื่อเห็นว่าเขามาพร้อมกับเหลาหยู จึงเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน เจ้าพวกคนรวยไร้ประโยชน์

“แกกล้างั้นหรือ!?” แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? ถ้าแกกล้าตีฉัน ฉันจะฆ่าแกทั้งโคตรเลยทีเดียว!” ถงเฉียนกล่าวด้วยความโมโห

เขาไม่เคยถูกใครทำร้ายมาก่อนในชีวิตนี้ แม้แต่พ่อของเขาเองก็ไม่เคยตีเขา แต่คนพวกนี้กลับต้องการที่จะทำร้ายเขามันช่างน่าประหลาดนัก

“จะฆ่าล้างโคตรฉันเหรอ ฉันกลัวจังเลย ฮ่าฮ่า” เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดัง และจากนั้น โดยที่ไม่รีรอให้ลูกน้องของเขาได้ทำอะไร เขาก็ยกขาขึ้นและถีบเข้าที่ท้องของถงเฉียน เป็นเหตุให้ถงเฉียนล้มลงกับพื้น และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจที่ถงเฉียนข่มขู่เอาไว้เลยแม้แต่น้อย

“แกรนหาที่ตายซะแล้ว!” แค่ก แค่ก!” ร่างกายของถงเฉียนนั้นอ่อนแอ หลังจากที่ถูกเตะแล้ว เขาก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นได้ เขาเอามือกุม้องและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงขู่เด็กหนุ่มอย่างไม่หยุดปาก

“แกตายแน่! แกตายแน่!” พวกอันธพาลเหล่านี้กล้าแม้แต่จะทำร้ายถงเฉียน ดังนั้นเขาคาดคะเนว่าพวกมันจะต้องตายอย่างแน่นอน

ด้วยภูมิหลังอขงถงเฉียนนั้นไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถงเฉียนนั้นเจ็บปวดเจียนตายดังนั้นเขาคงไม่มีทางที่ปล่อยคนพวกนี้ให้หนีรอดไปได้

อย่างไรก็ตามมันก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร แต่ในเมื่อพวกมันทำร้ายเขา ในตอนนี้เหลาหยูก็หวังว่าพวกมันจะต้องโดนแก้แค้น

“พวกเราต้องตายงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า พี่ชาย มันบอกว่าพวกเราจะต้องตายงั้นเหรอ?” เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยขณะที่เขาหัวเราะกับลูกน้องของเขา และจากนั้นก็พูดกับเหลาหยูและถงเฉียนว่า “ถ้าแกจะให้พวกเราตาย งั้นพวกเราจะฆ่าแกให้ตายเสียก่อน! พวกเราเอามันให้หนักเลย!”

เมื่อตอนที่พวกเขามาที่นี่ พี่เปียวได้สั่งว่าตราบใดที่ไม่มีใครตายก็คงไม่เป็นอะไร ดังนั้นหลังจากที่เด็กหนุ่มกล่าวเช่นนั้น ลูกน้องของเขาจึงเริ่มทั้งเตะและต่อยคนทั้งสองคน

ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดวงตา

ที่ท้องของเขาก็เต็มไปด้วยรอยเท้าสีดำหลายแห่งและตอนนี้เขาก็ขดตัวอยู่

ตอนนี้ปากของเขาก็ไม่ได้เก่งเหมือนในตอนแรก เขาเริ่มที่จะร้องของความเมตตา

สภาพของถงเฉียนในตอนนี้ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าเขาเลย เขาไม่เคยต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าเศร้าเช่นนี้มาก่อน

และเขาที่เคยอยู่แต่ในฐานะของสุดยอดตระกูลคนรวยรุ่นที่สอง เมื่อเขาต้องมาเจ็บปวดและถูกทำร้ายอย่างน่าเศร้าเช่นนี้

ผลก็คือเขาไม่สามารถที่จะทนความเจ็บปวดได้อย่างเหลาหยูและไม่กล้าที่จะพูดขู่อะไรคนพวกนั้นอีก และยังต้องร้องขอให้พวกนั้นยกโทษให้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มและพวกของเขาดูเหมือนว่าจะยังไม่สะใจ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงร้องขอความเมตตาและจะหยุดก็เพียงเมื่อพวกเขาทั้งสองคนนอนครวญครางอยู่ที่พื้นและไม่อาจที่จะหลบซ่อนตัวได้อีกต่อไป

จากนั้นเขาก็เหยียบเข้าที่ใบหน้าของเหลาหยูและพูดว่า “อย่าคิดว่าแกมีเงินแล้วแกจะเป็นพระเจ้านะ ฉันจัดการไอ้พวกขยะอย่างพวกแกมาหลายคนแล้ว และฉันก็ไม่ต้องการพวกแกสักคนเดียว”

คนเหล่านี้ไม่ได้มีความสามารถหรือความกล้ามากมาย แต่ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด

เขาจึงอิจฉาคนพวกนั้นอยู่ในใจ เมื่อพี่เปียวสั่งให้มาสั่งสอนคนรวยรุ่นที่สอง เขาจึงเป็นฝ่ายรุกหนัก และแน่นอนว่าไม่ถึงกับตายอย่างแน่นอน

สิ่งที่น่าขันกว่านั้นก็คือคนที่พวกเขาไปทำร้ายนั้น ล้วนแล้วแต่มีเรื่องขัดแย้งกับเหลาหยู

เหลาหยูได้ไปบอกให้พี่เปียวส่งคนไปสั่งสอนฮวงเฟิงแต่ตอนนี้เขาเองกลับเป็นคนที่พี่เปียวสั่งพวกเขาให้มาสั่งสอนแทน

“ฉันตาบอดไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าฉันไปขัดขาใครเข้า ต่อไปฉันจะระวังให้มากกว่านี้” เหลาหยูกล่าวด้วยเสียงตะกุกตะกัก

“ฉันไม่รังเกียจที่จะบอกแกนะ” ในขั้นต้น เขาต้องการที่จะให้เหลาหยูรู้ว่าพวกเขาทรงพลังแค่ไหน ถ้าเหลาหยูถูกทำร้ายในท้ายที่สุดและใครจะไปรู้ว่าใครเป็นคนทำ หลังจากนั้นเหลาหยูก็จะไม่รู้ว่าพวกเขาทรงพลังแค่ไหน

“ฉันเป็นลูกน้องพี่เปียว” เด็กหนุ่มกล่าว “แกกล้าดียังไงถึงได้พูดโทรศัพท์กับพี่เปียวแบบนั้น พี่เปียวโกรธมากจึงสั่งให้พวกฉันมาสั่งสอนแก ฉันจะบอกแกให้นะว่าไม่มีใครที่จะขัดใจแกได้ อย่าได้คิดว่าการที่แกมีเงินมากแล้วจะมาดูถูกพวกฉันได้นะ”

“พี่เปียวงั้นเหรอ? เป็นมันนั่นเอง!” เหลาหยูด่าโคตรเง้าสิบแปดชั่วโคตรของพี่เปียวอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรออกมา เขากลัวว่าจะถูกทำร้ายอีกแต่แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป

จริงๆ แล้ว เหลาหยูเองก็ไม่คาดคิดว่าพี่เปียวจะส่งคนมาสั่งสอนเขา

เขาช่างกล้ามากและประเมินเขาต่ำเกินไปจริงๆ

ถ้าแกกล้าพูดเช่นนั้นกับพี่เปียวอีกครั้ง พวกเราจะมาฉีกแกออกเป็นชิ้นๆ ถ้าแกไม่มีแขนหรือขาสักข้าง แกก็คงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว “หลิงเฉิน”? เด็กหนุ่มกล่าว

“และแก ก็อย่าได้แส่หาเรื่องอีกนะ ไม่งั้นฉันอาจจะโกรธได้ง่ายๆ” เด็กหนุ่มกล่าวขณะที่เหยียบเข้าที่ใบหน้าของถงเฉียน

“พวกเราไปกันเถอะ!” เด็กหนุ่มกล่าวกับพี่น้องของเขาด้วยสปิริตอันแรงกล้า เขามีความสุขมากในวันนี้และเมื่อเขาเห็นเจ้าพวกคนรวยรุ่นที่สองทั้งสองคนเขาก็มีความมั่นใจมาและได้ปลดปล่อยความเคีัยดแค้นที่เขารู้สึกกับเทียนจุ้นและฮวงเฟิงเมื่อวานนี้ออกมา

“พี่เปียว!” เมื่อเห็นว่าคนพวกนั้นจากไปแล้ว เหลาหยูก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

ก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่จะเดินสวนเขาไปแต่ไม่มีใครที่จะกล้ามาขวางพวกเขาไว้

“เหลาหยู พี่เปียวมันเป็นใคร? ฉันจะเอามันให้ตาย!” ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากจะลุกขึ้น แต่ในตอนนี้ร่างทั้งร่างของเขานั้นเจ็บปวดและเขาก็แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นยืน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ลุกขึ้นนั่งช้าๆ บนพื้น

“พี่เปียวนั่นเป็นคนที่ฉันไปขอร้องให้ช่วยไปสั่งสอนเจ้า รปภ. คนนั้นไงล่ะ!” เหลาหยูกล่าวกับถงเฉียน และจากนั้นก็เล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวระหว่างเขาและพี่เปียว