ตอนที่ 389

USB:บทที่ 389 เคลื่อนไหว

"ทุกคน ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่" ผู้นำของพระกล่าวขณะที่เขามองไปที่ฝูงชนด้วยดวงตาที่ปรือจนเกือบจะปิด

“ปรมาจารย์กงหมิง ถ้าท่านมีอะไรจะพูด ก็เชิญพูดเถอะ”

“ถูกแล้ว พวกเราจะเชื่อฟังปรมาจารย์กงหมิง!”

คนที่อยู่ด้านล่างกล่าวสอดขึ้นมา

เมื่อผู้นำของพระสงฆ์ได้ยินคำพูดของฝูงชนด้านล่างปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มและใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจกับปฏิกิริยาของฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง

และพระผู้นี้กงหมิงก็คือเจ้าอาวาสอารามโพธิผู้นำในการรุกรานสำนักศิลปะการต่อสู้แห่งดินแดนสำเภาสวรรค์เช่นเดียวกับ "ปรมาจารย์หนุ่ม"!

ผู้คนหลายสิบคนที่นั่งอยู่ด้านล่างล้วนเป็นตัวแทนจากสำนักใหญ่ต่างๆ ของดินแดนวายุโชย แต่แน่นอนว่าคนที่มาในครั้งนี้ไม่ได้มาจากสำนักต่างๆ ซึ่งมีจำนวนมากมายหลายสิบสำนัก และสัดส่วนของผู้คนที่มาจากสำนักต่างๆ มากกว่าสิบสำนักนี้ก็ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงมีคุณสมบัติที่จะเข้ามานั่งในกระโจมนี้

"ทุกคน ข้าและนายพลฮัวเพิ่งคุยกันเรื่องการสำรวจในครั้งนี้ นายพลฮัวได้ให้อิสระและความคิดริเริ่มแก่เรามากพอสมควร ดังนั้นพวกเราจึงต้องร่วมมือกับเขา พวกเราสามารถเคลื่อนพลเองได้และไม่ต้องฟังคำสั่งของเขา" ปรมาจารย์กงหมิงมองไปที่ผู้คนด้านล่างและกล่าวว่า "อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนพลของเรา พวกเราทั้งคู่ต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าเพื่อที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนพลของพวกเขา"

พวกเขาค่อนข้างพอใจกับข้อตกลงนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนพลไปพร้อมกับกองกำลังของจักรวรรดิในครั้งนี้ แต่โดยปกติแล้วมีความขัดแย้งมากมายระหว่างกองกำลังของจักรวรรดิและนักต่อสู้เช่นพวกเขา ทั้งสองฝ่ายไม่ชอบซึ่งกันและกันดังนั้นแทนที่จะเคลื่อนพลไปพร้อมๆ กันและอาจสร้างปัญหาให้แก่กันและกันได้ พวกเขาก็อาจจะเคลื่อนพลไปเองได้เช่นกัน

จุดประสงค์ของการมาเยือนของพวกเขาในครั้งนี้คือเพื่อช่วยให้จักรวรรดิแห่งดินแดนวายุโชยเอาชนะจักรวรรดิแห่งดินแดนสำเภาสวรรค์ได้ และพวกเขามั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาจะสามารถจัดการกับกองกำลังของจักรวรรดิสำเภาสวรรค์ได้

"อีกหนึ่งสิ่ง" เมื่อกงหมิงเห็นว่าสิ้นเสียงการสนทนาของผู้คนทั้งหลายแล้ว เขาจึงพูดต่อว่า "ข้าได้รับข่าวที่เชื่อถือได้ว่านักต่อสู้ได้เริ่มมารวมตัวกันแล้วเพื่อขัดขวางการกระทำของเรา”

"ก็แค่พวกนั้น?" ไม่กลัวตายหรือยังไง? "

“ถูกต้องแล้ว พวกเขากล้าที่จะต่อต้านพวกเราด้วยความแข็งแกร่งที่มีเพียงน้อยนิดอย่างนั้นหรือ?”

คราวนี้พวกเขารวบรวมกองกำลังเกือบทั้งหมดในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ภายในดินแดนวายุโชย ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าของกว่านักสู้ของดินแดนสำเภาสวรรค์เป็นอย่างมาก และด้วยกงหมิงที่เป็นสุดยอดฝีมือระดับสูง พวกเขาจึงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

จริงๆ แล้ว เจ้าอาวาสกงหมิงเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะในเมื่อพวกเขาได้บุกมาถึงประตูบ้านของข้าศึกแล้ว พวกเขาก็จะต้องตอบโต้อย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเคลื่อนพล แต่อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของศิลปะการต่อสู้หลินในดินแดนสำเภาสวรรค์ก็มีมากโขอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล

อย่างไรก็ตามในฐานะผู้นำ ในครั้งนี้กงหมิงรู้สึกว่าจำเป็นที่เขาจะต้องเตือนทุกคน: "ทุกคนจงอย่าประมาทเกินไปแม้ว่าความแข็งแกร่งของดินแดนสำเภาสวรรค์จะด้อยกว่าพวกเรา แต่ตอนนี้พวกเขาก็ถูกพวกเราต้อนจนจนมุมแล้ว”

แม้ว่าทุกคนจะยังหวาดหวั่นอยู่ในใจ ในเมื่อปรมาจารย์กงหมิงได้กล่าวเช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจึงไม่ได้คัดค้านอย่างเปิดเผย ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าและยอมรับคำชี้แนะนี้ แต่จากสีหน้าของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเลย

ปรมาจารย์กงหมิงเข้าใจเรื่องนี้ดี เพียงแต่เขาไม่ได้ชี้แจงต่อไปอีก

“ตอนนี้ นักต่อสู้จากดินแดนสำเภาสวรรค์ได้เคลื่อนพลมารวมตัวกันที่ชายแดนของภูมิภาคแล้ว อย่างไรก็ตามพวกเขายังมาไม่ถึง ดังนั้น ข้าจึงวางแผนที่จะส่งคนไปบั่นทอนขวัญและกำลังใจของพวกมันสักหน่อย ข้าอยากรู้ว่ามีใครที่เต็มใจจะไปบ้าง?” ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่านักต่อสู้ของดินแดนสำเภาสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลแต่เพื่อความปลอดภัย เขาก็ยังต้องการที่จะส่งคนไปสืบดูเบื้องลึกของศัตรูและในเวลาเดียวกันก็บั่นทอนกำลังใจของศัตรูด้วย

“สำนักโลหิตเพลิงของข้าขออาสาไปเอง!” เพียงสิ้นเสียงของปรมาจารย์กงหมิง ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดัง

ภายในกระโจมนั้น สำนักของเขาจัดว่าอยู่ในระดับต่ำมาก ถึงแม้ว่าทุกคนจะเข้าร่วมการโจมตีดินแดนสำเภาสวรรค์ด้วยกัน แต่พวกเขาก็จะไม่ได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างยุติธรรมหลังการต่อสู้อย่างแน่นอน และผลประโยชน์เหล่านั้นสำนักใหญ่ๆ ก็มักจะได้รับมากกว่าอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าสำนักอย่างพวกเขาจะได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์ด้วยแต่ก็จะไม่ได้มากนัก

อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาได้แสดงฝีมือที่น่าประทับใจในการต่อสู้ สำนักใหญ่ๆ ก็คงจะไม่มองข้ามพวกเขาไปและเขาเองก็มั่นใจว่าจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นจากเรื่องนี้

ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากอยู่ที่เมืองหมังชาน แต่ความกดดันก็ไม่ได้มากนักและทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ได้แยกขบวนทัพออกจากกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเขาเอง ดังนั้นถึงแม้ว่าจะต้องมีการสู้รบเริ่มขึ้นที่นั่นเขาก็ยังคงมีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถถอยทัพได้อย่างปลอดภัย

หลังจากที่ชายวัยกลางคนสองสามคนลุกขึ้นยืนทีละคน ซึ่งคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของสำนักเล็กต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเจตนารมณ์เช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มการต่อสู้ พวกเขาจึงต้องสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักของตัวเองเสียก่อน

ปรมาจารย์กงหมิงรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ในที่สุดแล้วเขาก็ยังคนเลือกชายวัยกลางคนที่ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก หนึ่งในนั้นมีความปราถนาที่จะต่อสู้อย่างแรงกล้าและอีกสองคนนั้นเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมากและมักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นน้องเล็ก

โดยการตัดสินใจของปรมาจารย์กงหมิง คนอื่นจึงไม่ได้คัดค้านอีกต่อไปถึงแม้ว่าพวกเขาจะคิดอยู่ในใจ ขณะที่สีหน้าของชายวัยกลางคนนั้นเต็มไปด้วยความสุข เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับภาระกิจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาได้เห็นความสำเร็จในการสร้างชื่อเสียงให้แก่สำนักของเขาแล้ว

หลังจากที่การหารือจบลง ทุกคนก็ต่างพากันแยกย้ายและปรมาจารย์กงหมิงจึงได้อยู่ตามลำพังกับชายวัยกลางคนคนนั้น

“หยวนเหลียงในเรื่องนี้เจ้าจะประมาทไม่ได้เลยนะ เจ้าเป็นตัวแทนของนักต่อสู้จากดินแดนวายุโชยของเรา เจ้าจะประมาทและแพ้ไม่ได้เลยนะ” ปรมาจารย์กงหมิงเตือนเขา

“ปรมาจารย์ ได้โปรดวางใจเถิด ตัวข้าไม่ได้สนใจคนของดินแดนสำเภาสวรรค์เลย ถึงแม้ว่าพวกจะอยากจัดการข้าให้ได้แต่พวกเขาก็ต้องมีความสามารถเพียงพอเหมือนกัน!” ชายวัยกลางคนที่ชื่อหยวนเหลียงกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

“อืม” ปรมาจารย์กงหมิงพยักหน้าขณะที่เขาเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อและหยิบสิ่งของที่คล้ายลูกบอลสีดำออกมา และยื่นให้กับหยวนเหลียงพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าจงเก็บระเบิดเหม็นนี่ไว้กับตัวเมื่อเจ้าต้องเผชิญกับอันตรายเจ้าจะได้นำมันมาใช้”