USB:บทที่ 612 กำแพงเมือง
ในเวลาเดียวกันซูเป่ยเองก็กำลังแต่งกายอย่างปราณีตอยู่ในที่พักของเขา หลังจากนั้นเขาก็ได้เตรียมที่จะนำไพร่พลสายตรงของเขาลงไปยังกำแพงเมือง
เขาเพิ่งจะได้รับข่าวมาว่ากองทัพตะวันตกที่อยู่ด้านนอกได้เตรียมพร้อมที่จะเข้าโจมตีแล้ว ถึงแม้ว่าซูเป่ยเองจะรู้สึกแปลกใจที่ถูกโจมตีรวดเร็วขนาดนี้แต่เขาเองก็เคยถูกจัดอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ของกองทัพตะวันตกอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจนัก ทันทีที่ข้าศึกเข้าโจมตี การสู้รบเริ่มต้นขึ้นดังนั้นเขาจึงถูกส่งไปยังกำแพงเมืองอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้นซูเป่ยจึงทำได้เพียงทำงานอย่างหนักต่อไปเพื่อผู้นำฉีอู่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาไปปรากฏตัวที่แนวหน้าในตอนนี้ก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งที่เขาจะลงมือต่อไปในภายภาคหน้า
“ท่านแม่ทัพ ทำไมท่านถึงไม่ไปล่ะ? ในเมื่อพวกเราก็ตัดสินใจที่จะลงมือเองแล้วท่านก็ควรจะอยู่ในเมืองนะไม่จำเป็นต้องไปที่กำแพงเมืองหรอก เพราะว่าที่นั่นมันอันตรายมาก” ทหารคู่กายคนหนึ่งของเขาแนะนำ
อย่างไรก็ตามซูเป่ยก็ยังคงส่ายศรีษะและกล่าวว่า “ข้ายังคงเป็นสมาชิกของกองทัพพันธมิตาและเป็นไพร่พลของผู้นำฉีอู่ ดังนั้นข้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา ยิ่งไปกว่านั้นตัวข้าเองกลัวอันตรายเมื่อไหร่กันเล่า?”
เมื่อตอนที่เขายังเด็กเขามียุทธศาสตร์ที่ดีแต่เขาก็ยังหวังว่าจะได้ใช้วิธีนี้เพื่อเสริมสร้างความกล้าหาญให้กับทุกคน นั่นเป็นเหตุให้กองทหารชั้นกลางและชั้นล่างเริ่มชื่นชมในตัวเขาจากก้นบึ้่งของหัวใจของพวกเขา
นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเข้าใจบุคลิกของแม่ทัพของพวกเขาดังนั้นทหารยามจึงไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ยื้อเขาเอาไว้แล้ว ทุกคนต่างก็พากันมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมือง
“นี่เจ้ามองเห็นได้ยังไงกัน? สายตาเจ้าดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ก่อนหน้านี้ฮวงเฟิงได้กล่าวว่าข้าศึกกองทัพตะวันตกกำลังเข้าจะโจมตี แต่กองทัพพันธมิตรก็ไม่เชื่อเขา เนื่องจากศัตรูที่อยู่ภายนอกเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ พวกเขาคงต้องพักเสียหน่อย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะโจมตีในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้
นอกจากนี้ ระยะห่างระหว่างพวกเขาในขณะนั้นก็ค่อนข้างไกล ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าฮวงเฟิงจะสามารถมองเห็นได้ไกลขนาดนั้น แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าฮวงเฟิงไม่ได้โกหก และพวกเขากำลังจะโจมตีอย่างแท้จริง
"อันที่จริงข้าก็แค่เดาเอา" ฮวงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ข้างๆ ไม่เชื่อ เขาต้องการที่จะถามอะไรบางอย่าง แต่เขาสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่บันได เขาจึงหันไปมองดูอย่างไม่รู้ตัวและอุทานออกมาว่า: “แม่ทัพซู?”
ฮวงเฟิงเองก็หันไปมองเช่นกันหลังจากที่ได้ยินเสียง เขาพบกับชายวัยกลางคนที่ดูสุขุม อยู่ภายใต้การคุ้มกันจากทหารยามสองสามคนกำลังเดินตรงเข้ามาหา ออร่าของชายคนนั้นช่างแตกต่างจากคนทั่วไปและเขาก็มีออร่าบางอย่างที่โดดเด่น
“เขาคือแม่ทัพซูงั้นเหรอ?” ฮวงเฟิงถาม
“ซูเป่ย ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพของพวกเรามาก่อน เคยนำพวกเราไปคว้าชัยชนะมาตั้งมากมาย อย่างไรก็ตาม ข้าไม่รู้ว่าผู้นำกำลังคิดอะไรอยู่เพื่อที่จะโค่นอำนาจของแม่ทัพซูเมื่อสองสามวันก่อน เขาไม่ใช่แม่ทัพอีกต่อไปแล้วล่ะ” คนที่อยู่ข้างๆ ฮวงเฟิงกล่าวด้วยความสงสาร
ในเวลานี้ชายคนนั้นที่กำลังถูกกล่าวถึง หัวหน้าใหญ่หลิวเองก็เดินเข้าไปหาแม่ทัพซูเช่นกัน สีหน้าของเขาแตกต่างจากคนที่อยู่รอบข้างอย่างชัดเจนและเมื่อคนที่อยู่รอบข้างเขาได้เห็นซูเป่ย
พวกเขาต่างก็มีสีหน้าตื่นเต้นและดีใจรวมไปถึงความชื่นชมยินดี อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขามองดูซูเป่ย พวกเขาส่วนใหญ่มองดูเขาอย่างดูถูก
“ซูเป่ย เจ้าไม่ได้เป็นแม่ทัพอีกต่อไปแล้วนะ เจ้าก็เป็แค่ทหารธรรมดา ข้าเป็นคนรับผิดชอบดูแลเมืองนี้เจ้าต้องฟังคำสั่งของข้า เข้าใจไหม?” หัวหน้าใหญ่หลิวกล่าวดูถูกซูเป่ยและกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
“เข้าใจแล้ว” เมื่อคนที่อยู่รอบข้างได้เห็นการแสดงออกของหลิวต้าโถวแล้วพวกเขาก็ต้องโมโห อย่างไรก็ตามซูเป่ยเองก็ยังคงนิ่งสงบเขาตอบเสียงเรียบๆ โดยไม่มีเค้าความโกรธบนใบหน้าของเขาเลย
“ก็ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจ ตอนนี้ไปที่นั่นได้แล้วรวมถึงคนที่เจ้าพามาด้วย จงไปที่นั่นได้แล้ว” หัวหน้าหลิวชี้นิ้วไปที่ฮวงเฟิงและพูดออกมา ขณะที่คนอื่นๆ ที่ซูเป่ยพามาด้วยได้ถูกจัดให้ไปอยู่อีกด้านหนึ่ง
เดิมทีแล้วซูเป่ยเองมีไพร่พลมากกว่าหนึ่งพันคนที่อยู่ภายใต้การบัญชาของเขา แต่ก่อนที่เขาจะมาที่นี่เขาได้มอบหมายให้คนอยู่ที่นี่หลายคนแล้ว ซึ่งตอนแรกคนเหล่านั้นก็เชื่อฟังคำสั่งของซูเป่ยแต่ในตอนนี้ซูเป่ยไม่ต้องการที่จะสร้างความวุ่นวายให้แก่ท่านผู้นำดังนั้นเขาจึงไม่คัดค้านการจัดการของท่านผู้นำ
เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าผู้คุ้มกันจำนวนสิบกว่าคนที่เขาพามาด้วยจะถูกแยกออกไปเช่นนี้ พวกเขาเหล่านั้นมองดูหัวหน้าหลิวด้วยความโกรธแค้นและมือของพวกเขาก็กุมดาบแน่น เมื่อใดก็ตามที่ซูเป่ยออกคำสั่งพวกเขาสามารถสับหัวหน้าหลิวให้แหลกได้ภายในเสี้ยววินาที
“นี่พวกเจ้าจะทำอะไร?” หัวหน้าหลิวเห็นได้ชัดถึงการแสดงออกของพวกเขา เขารู้สึกกลัวเป็นอย่างมากดังนั้นเขาจึงหันไปหาซูเป่ยและพูดออกมาเสียงดังว่า “ซูเป่ย หรือว่าเจ้าจะก่อกบฎงั้นหรือ?”
จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นกองทัพพันธมิตรและในตอนนี้พวกเขาก็กำลังก่อจลาจลเพื่อต่อต้านรัฐบาลของจักรวรรดิ แล้วในท้ายที่สุด หลิวต้าโถวก็พูดแบบนี้งั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าซูเป่ยไม่อยากที่จะต้องทนกับเรื่องพวกนี้เพราะว่าเขายังไม่อยากที่จะแยกตัวออกจากผู้นำของเขาในตอนนี้ และถึงแม้ว่าเขาจะทำก็ยังจะต้องมีอุปสรรคบางอย่างถ้าเขาต้องการที่จะนำทัพเหล่านี้หลังจากนี้ไป
“จงเชื่อฟังเขาและเร่งไปที่นั่น” ซูเป่ยกล่าวกับผู้คุ้มกันของเขา
“แต่ว่า ท่านแม่ทัพล่ะ?” เห็นได้ชัดว่าผู้คุ้มกันของเขายังคงไม่คลายใจในเรื่องความปลอดภัยของซูเป่ย เพราะว่าแม้ว่าเมื่อก่อนนี้ระหว่างที่ต่อสู้พวกเขาก็คอยอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ซูเป่ยมาตลอดไม่เคยห่างจากเขาเลยแม้แต่นิ้วเดียว
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร รีบไปเถอะ!” ซูเป่ยกล่าว
“ขอรับนายท่าน!” เมื่อซูเป่ยได้ลั่นวาจาออกมาแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ยินดีแต่พวกเขาก็ต้องไปยังสถานที่ที่หัวหน้าหลิวได้จัดแจงไว้
เมื่อเห็นว่าซูเป่ยไม่ได้คิดที่จะตอบโต้ หัวหน้าหลิวก็แอบถอนหายใจ จากนั้นก็กลับมาหยิ่งยะโสอีกครั้ง “เจ้า ซูเป่ย คนที่เคยเป็นแม่ทัพ สุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ? เจ้าไม่ยอมฟังข้างั้นเหรอ? ข้าอยากให้เจ้ามุ่งไปทางตะวันออก เจ้าจะได้ไม่กล้ามุ่งไปทางตะวันตก”
“นี่เจ้ามัวรีรออะไรอยู่อีกล่ะ? รีบไปได้แล้ว เขาไม่เห็นหรือว่ารัฐบาลจักรวรรดิมาถึงแล้ว?” หัวหน้าหลิวตะคอกใส่ซูเป่ย จนทำให้
สายตาของผู้คุ้มกันทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ซูเป่ยก็เต็มไปด้วยความโกรธ และแม้แต่ทหารที่อยู่รอบๆ ที่ด้านบนสุดของประตูเมืองก็ยังจ้องมองมาที่เขา
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าหลิวเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เกรงกลัว เห็นได้ชัดว่าซูเป่ยไม่กล้าทำอะไร และสำหรับคนอื่นๆ เขาก็ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย จะมีประโยชน์อะไรที่จะไปโกรธเขาล่ะ เขาก็เป็นแค่ผู้นำตัวเล็กๆ และพวกเขาก็เป็นแค่ทหารปืนใหญ่!
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved