ตอนที่ 172

USB:บทที่ 172 การโจมตียามค่ำคืน

สำหรับกลุ่มที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้ พวกเขาได้รับมอบหมายงานให้อยู่ที่นี่เป็นเวลาสี่สิบแปดชั่วโมง เวลาผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบชั่วโมง แต่ยังไม่ถึงเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอดทนต่อไป

ฮวงเฟิงเข้าใจแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นมิติคู่ขนานกับบนโลก มีความคล้ายคลึงกันในหลายๆ ช่วงเวลา แต่ก็มีหลายสิ่งที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือศัตรูและเขายังคงเป็นสมาชิกของประเทศจีน

ฮวงเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างหลังจากมาถึงพื้นที่นี้

และดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรพิเศษที่เขาจะต้องทำ ก็เหมือนกับที่เขาเคยคิดมาก่อนการเดินทางผ่านห้วงเวลาและอวกาศ?

ฮวงเฟิงเองก็ไม่แน่ใจ แต่ในขณะที่เขาอยู่ในสนามรบ เขาไม่มีทางเลือกมากนัก

สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือจบการต่อสู้ครั้งนี้ซะและยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องเอาชีวิตให้รอด

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง มีความแตกต่างระหว่างสถานที่นี้กับโลก

บนโลกท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เขาทานอาหารเย็นมาก่อนแล้ว แต่ที่นี่ท้องฟ้าเพิ่งจะมืดลง

หลังจากนั้นก็มีคนมาเสิร์ฟอาหารเย็นให้พวกเขา อาหารเย็นเรียบง่ายมากเป็นเพียงแค่ซาลาเปาเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ซาลาเปาก็ยังไม่เพียงพอ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ผู้คนไม่สามารถขอจากคนอื่นได้มากนัก

แม้ว่าพวกเขาจะกินอาหารแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกจากที่ซ่อนนานเกินไปเพราะศัตรูสามารถเข้าโจมตีได้ตลอดเวลา

ไม่มีใครสงสัยในตัวตนของฮวงเฟิง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานการณ์ แต่ในกลุ่มนี้มีการรับสมัครทหารใหม่เข้ามาจำนวนมากและผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาใหม่ก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนักขณะที่พวกเขาเข้าสู่สนามรบกันอย่างเร่งรีบ

สำหรับกัปตันที่สามารถเปิดเผยตัวตนของฮวงเฟิงได้ ตอนนี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้น ฮวงเฟิงจึงสามารถอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว

"ระวังตัวด้วย ข้าศึกอาจจะขึ้นมาในตอนกลางคืน" รองกัปตันลู่ต้าเปียวกำลังเดินกลับไปกลับมาในคู เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของเหล่านักรบ

ในเวลาเดียวกันเขาก็เตือนซ้ำๆ ด้วยความเป็นห่วง ทั้งกัปตันยังได้รับบาดเจ็บเท่ากับว่าตอนนี้เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่นี่

ฮวงเฟิงไม่ได้กินซาลาเปาเนื้อแข็งนั่น แต่ไม่ใช่เพราะเขาดูถูกมัน แต่เป็นเพราะเขาเพิ่งกินอิ่มมาและยังไม่หิวเขาจึงให้ซาลาเปาแก่นักรบตัวน้อยข้างๆ เขา

ผมของเขายุ่งเหยิงเหมือนรังไก่ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะตอนที่เขาต่อสู้กับพวกนั้นเขาดุร้ายยิ่งกว่าคนที่อายุมากกว่าเขาเสียอีก

คนที่เรียกเขาก็คือเจิ้งหมิง และตามที่เขาพูดไว้ เขาได้รับการตั้งชื่อโดยนักปราชญ์ในหมู่บ้านของเขา

หลังจากที่ชาวหวอได้เข้ามาในหมู่บ้าน พ่อแม่ของเขาและนักปราชญ์วัยชราทั้งคู่ก็เสียชีวิต

และเขาก็สามารถหลบหนีมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขา ความเกลียดชังในใจของเขาของเขาที่มีต่อพวกชาวหวอไม่ได้ด้อยไปกว่าหนิววาจื่อเลย

“พี่ฮวง ไม่กินงั้นเหรอ?” เจิ้งหมิงมองไปที่ซาลาเปาที่ฮวงเฟิงส่งให้และลังเลเล็กน้อย

ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นและความอยากอาหารของเขาก็มีมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว

แม้ว่าเขาจะยังไม่อิ่มแต่เขาก็ไม่ได้ขออะไรเพิ่ม และตอนนี้ที่ฮวงเฟิงให้ซาลาเปาแก่เขาโดยสมัครใจแม้ว่าเขาจะหิว แต่เขาก็คิดว่าฮวงเฟิงนั้นยังไม่ได้กิน

หลังจากการสนทนาสั้นๆ ในตอนนี้เขารู้ว่าพี่ฮวงคนนี้เป็นคนที่มีความรู้เช่นเดียวกับนักปราชญ์ในหมู่บ้าน

ตั้งแต่ยังเด็กพ่อแม่ของเขาสอนให้เขาเคารพคนที่มีความรู้เหล่านี้และเขาเองก็ชื่นชมคนที่เคยเขียนอ่านมาก่อน

"ฉันไม่หิว นายกินเถอะ" ฮวงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ งั้นฉันจะกินอันนึง พี่ฮวงก็กินอันนึงเหมือนกันนะ” เจิ้งหมิงต้องการให้อีกอันหนึ่งแก่เขา แต่เขายืนยันว่าไม่ต้องการ ดังนั้นฮวงเฟิงจึงร่วมกินไปกับเขาด้วย

“พี่ฮวง พี่เข้าสู่สนามรบได้อย่างไรกัน?” เจิ้งหมิงถามฮวงเฟิงขณะที่กินซาลาเปา

ในความคิดของเขานั้น นักปราชญ์แทบจะไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาอยู่ในแนวหน้าของสนามรบ

ตอนที่พ่อและแม่ของเขาอยู่นั้น พวกเขาบอกแล้วว่านักปราชญ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ ดังนั้นพวกเขาควรอยู่ในที่ที่พวกเขาต้องการมากที่สุดไม่ใช่สถานที่ที่มีอันตรายแฝงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้

"ฉันเหรอ? ฉันมาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไง" ฮวงเฟิงกล่าว

“แต่ที่นี่อันตรายมาก ฉันคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าให้พี่ฮวงไปอยู่ที่อื่น” เจิ้งหมิงกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง: "เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พี่ฮวงจงเข้าไปในที่กำลังให้ลึกกว่านี้หน่อย"

ฮวงเฟิงรู้สึกตลกเล็กน้อยและรู้สึกอยู่เหมือนกัน เขาเพิ่งจะมาที่นี่เพียงไม่นาน แต่เขาได้พบกับคนที่อายุน้อยกว่าเขาถึงสองระดับที่ต้องการที่จะปกป้องเขา

"ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่เป็นไรหรอก" ฮวงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นทุกคนก็พักผ่อน ในขณะที่คนอื่นๆ อยู่ยามเพราะพวกเขานอนไม่หลับ

ฮวงเฟิงก็ใช้แสงลางๆ ที่เกิดจากการเผาของสิ่งต่างๆ รอบตัวเพื่อสอนให้เจิ้งหมิงเขียนบนพื้นดิน

สิ่งนี้ทำให้เจิ้งหมิงมีความสุขมากเพราะการรู้วิธีเขียนเป็นสิ่งที่น่าประทับใจสำหรับ

"สองคำนี้เป็นชื่อของนาย "เจิ้งหมิง "” ฮวงเฟิงเขียนข้อความเหล่านี้ลงบนพื้น

หลังจากนั้นเจิ้งหมิงก็เริ่มเขียนคำที่เขาคัดลอกด้วยตัวเองอย่างตื่นเต้น เขาลากเส้นตามจังหวะและเลียนแบบงานเขียนของฮวงเฟิง

คำเหล่านั้นคดเคี้ยวและน่าเกลียดมาก แต่ความสนใจของเจิ้งหมิงไม่ได้มีผลกระทบเลยแม้แต่น้อย

"เฮ้ย?" ฮวงเฟิงมองไปที่การเขียนของเจิ้งหมิงในตอนแรกเมื่อจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากระยะไกลที่ขอบสนามรบ

“พี่ฮวง มีอะไรงั้นเหรอ?” เจิ้งหมิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฮวงเฟิง

"จุ๊ๆ ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง" ฮวงเฟิงกล่าวเบาๆ นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนกำลังภายใน

การได้ยินของเขาก็ดีขึ้น ตอนนี้การได้ยินของเขาไกลเกินกว่าคนธรรมดาและนั่นคือเหตุผลที่เขาได้ยินเสียงที่มาจากที่ไกลๆ

เจิ้งหมิงเองไม่ได้ยินอะไรเลย แต่เขาเชื่อในตัวของฮวงเฟิง

นับตั้งแต่ที่เขาพบว่าฮวงเฟิงเป็นนักปราชญ์ เขาก็ชื่นชมและเชื่อมั่นในคำพูดของฮวงเฟิง ดังนั้นเขาจึงกระชับปืนของเขาทันทีและยังคงเฝ้าระวัง

ฮวงเฟิงชี้ไปทางเจิ้งหมิง หลังจากนั้นทั้งสองคนก็กลับเข้าไปในที่ซ่อนอย่างเงียบๆ และโผล่ศรีษะขึ้นมาเพียงเล็กน้อย

จริงๆ แล้วมีคนยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ พวกเขาเช่นกันและมีอยู่ไม่กี่คน อย่างไรก็ตามคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามได้ระมัดระวังการเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นอย่างมาก โดยมีการเคลื่อนไหวน้อยมากประกอบกับที่ฮวงเฟิงและคนอื่นๆ เหนื่อยมาก พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะประมาท

ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าการได้ยินของฮวงเฟิงนั้นดีกว่าคนอื่นๆ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้ยินเสียงนั้น

ฮวงเฟิงและเจิ้งหมิงนอนอยู่บนพื้น แต่พวกเขาไม่เห็นอะไรเลย ข้างนอกนั้นมืดสนิท

"ไปดับไฟเร็วเข้า" ฮวงเฟิงกล่าวกับเจิ้งหมิง

แม้ว่าฮวงเฟิงจะไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเจิ้งหมิง แต่คำสั่งของ ฮวงเฟิง เจิ้งหมิงก็ยอมรับโดยไม่ลังเล

ในไม่ช้าฮวงเฟิงและคนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในความมืดซึ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างปลอดภัย

อย่างไรก็ตามหากพวกเขาอยากจะปลอดภัยจริงๆ พวกเขาก็ต้องหาคนเหล่านั้นที่มาช่วยและกำจัดพวกเขาซะ