ตอนที่ 262

USB:บทที่ 262 แขก

และฮวงเฟิงที่เพิ่งกลับาถึงที่พักของเขาก็ได้ต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิด

"เป็นคุณนั่นเอง?" ฮวงเฟิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เขามองไปที่กัวเมิ่งหานที่ถือกล่องเก็บความร้อนออกไปข้างนอก

แม้ว่าทั้งสองคนจะอาศัยอยู่ชั้นบนและชั้นล่าง แต่ก็ไม่เคยไปเยี่ยมเยียนที่พักของกันและกันมาก่อน

“เอ่อ ขอบคุณค่ะ ไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี นี่คือเกี๊ยวที่ฉันทำเอง ลองชิมดูสิ” เมื่อเห็นฮวงเฟิงมองดูเธออยู่ ใบหน้าของกัวเมิ่งหานก็แดงระเรื่อขึ้น แต่เธอก็ยังคงเป็นกังวลอยู่เช่นกัน

หลังจากที่ยัดกล่องเก็บความร้อนไว้ในมือจองฮวงเฟิงโดยที่ไม่สนใจว่าฮวงเฟิงจะรู้สึกอย่างไร เธอก็รีบหันหลังกลับและวิ่งออกไป เธอไม่ได้ขึ้นลิฟต์ แต่เดินตรงไปที่บันได

"นี่?" ฮวงเฟิงมองดูกล่องเก็บความร้อนในมือของเขาโดยที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ด้วยว่านี่เป็นความตั้งใจของกัวเมิ่งหาน ซึ่งถ้าเขารับไว้มันก็คงจะดีกว่า แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับ แต่อีกฝ่ายก็ได้หนีไปแล้ว เขาจึงทำอะไรไม่ได้เลย

ฮวงเฟิงรู้ดีว่ากัวเมิ่งหานต้องการงาน และไม่ใช่เพราะว่าเงินเดือนนั้นน้อยเกินไป

เขาจึงได้โทรหากัวเหลียงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากัวเมิ่งหานไปทำงานที่โรงงานจริงๆ เงินเดือนก็จะดีเช่นกัน แต่ฮวงเฟิงนั้นไม่ได้สนใจเงินจำนวนเล็กน้อยนั้นเลย

เดิมทีเขาต้องการที่จะปฏิเสธ แต่กัวเหลียงไม่เห็นด้วย ในฐานะเพื่อนที่ดีเขาเข้าใจสถานการณ์ของกัวเมิ่งหานดี

และตอนนี้เธอก็ได้รับคำแนะนำจากฮวงเฟิงแล้ว เธอจึงมีความสุขไปตามท้องเรื่อง

ดังนั้น กัวเมิ่งหานจึงรู้สึกขอบคุณฮวงเฟิงเป็นอย่างมาก และต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงความขอบคุณ

อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดที่เรื่องนี้แล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงได้ห่อเกี๊ยวและและนำมามอบให้แก่ฮวงเฟิง

"อืม ฉันเองก็ไม่คิดว่าทักษะการทำอาหารของเธอจะดีขนาดนี้เลยนะ" แต่ฮวงเฟิงนั้นอิ่มแล้วและไม่รู้สึกหิว

แต่หลังจากได้กลิ่นหอมของเกี๊ยวแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะลองลิ้มรสสักชิ้นหนึ่ง

เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะอร่อยอย่างคาดไม่ถึง ถึงแม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับทักษะการทำอาหารของเขาหลังจากที่ใช้ "คัมภีร์อัมฤทธิ์" แต่มันก็ยังรสชาติดีกว่าของคนทั่วไปมาก

และยังเทียบได้กับทักษะการทำอาหารของเชฟในร้านอาหารเล็กๆ บางแห่งอีกด้วย

เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการลิ้มรสเกี๊ยวแสนอร่อยนี้ด้วย อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งที่กัวเมิ่งหานมอบให้กับเขา ดังนั้นหากเธอรู้ว่าฮวงเฟิงเอาเกี๊ยวนั้นไปให้ "สุนัข" กิน เธอก็คงจะไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ทำให้เสี่ยวไป่อิจฉา

ไม่มีอะไรใหม่ปรากฏในกล่องจักรวาล ดังนั้นฮวงเฟิงจึงไม่ได้สนใจ เขาไปอาบน้ำแล้วเข้านอน ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าที่เขาจะต้องทำในวันพรุ่งนี้

“ทำไมกลับดึกจัง?” เมื่อชิวหนิงช่วงกลับบ้าน เธอคิดว่าพ่อแม่ของเธอคงจะเข้านอนไปแล้ว แต่พ่อของเธอกลับกำลังรอเธออยู่ในห้องโถงใหญ่

"ไปปฏิบัติหน้าที่ค่ะ" ชิวหนิงช่วงกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงอารมณ์ดีเกี่ยวกับการที่พ่อของเธอย้ายเธอออกจากหน่วยงาน ขณะที่เธอพูด เธอก็เตรียมตัวกลับห้องของตัวเอง

ชิวหนิงช่วงเองก็ตกใจเช่นกัน เธอไม่คิดว่าพ่อของเธอจะถามสารทุกข์สุกดิบเธอเสียแล้ว

"ไปเยี่ยมเพื่อนมาค่ะ" ชิวหนิงช่วงกล่าว

"ฉันเคยขอให้เธอไปเที่ยวหาเพื่อนบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยไปเลย แล้วทำไมวันนี้อยู่ๆ ถึงได้คิดไปเยี่ยมเพื่อนล่ะ?" พ่อของชิวหนิงช่วงคิดสงสัย

"ใครอยากจะไปเจอพวกทายาทรุ่นที่สองพวกนั้นกันล่ะ?" ชิวหนิงช่วงพึมพำ เธอเกิดมาและนั่นเป็นตัวกำหนดวงสังคมของเธอ คนรอบตัวเธอล้วนเป็นทายาทรุ่นที่สอง แต่ชิวหนิงช่วงก็ไม่เคยสนใจพวกเขาเลย

“นี่เธอคงไม่ได้ไปสืบคดีลับๆ ใช่ไหม?” พ่อของชิวหนิงช่วงกล่าว

เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักลูกสาวของตัวเองเป็นอย่างดี และรู้ดีว่าเธอจะไม่ยอมง่ายๆ เช่นเดียวกับตอนที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทำงานสถานีตำรวจ

ตอนนั้นเธอก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่และในท้ายที่สุดก็สร้างเงื่อนไขทั้งหมดขึ้นมาด้วยตัวเองก่อนที่จะทำการประนีประนอม

“แล้วถ้าหนูเป็นอะไรไป พ่อก็คงจะไม่ให้หนูไปร่วมปฏิบัติงานและหนูก็คงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทำคดีอีกสินะ” เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอเดาถูกแล้ว ชิวหนิงช่วงก็ไม่ปฏิเสธ

“นั่นก็เพื่อประโยชน์ของลูกเอง!" พ่อของชิวหนิงช่วงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่ "ลูกรู้ไหมว่าคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เป็นใคร? พวกเขาโดนกดดัน แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้”

เขาเองยังเคยได้ยินมาว่าลุงหลี่เป็นคนแบบไหน สำหรับวิธีการที่ถงเฉียนจุ้นเคยทำในอดีตนั้น เขาเองก็รู้จักอย่างแจ่มแจ้งดีเช่นกัน

ดังนั้นมันคงจะเป็นการดีถ้าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา และหากมีการเชื่อมโยงกันจริงๆ ก็จะเป็นอันตรายมากสำหรับชิวหนิงช่วงในการสืบสวน

เมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของพ่อ ชิวหนิงช่วงก็รู้อยู่เต็มอกว่าที่เธอได้ทำไปก็เพื่อตัวเธอเองทั้งนั้น รวมถึงความจริงที่ว่าเธอไม่สามารถที่จะเป็นตำรวจแผนกอาชญากรรมด้วย

"ลูกรู้ว่าพ่อทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวลูกเอง แต่ถ้าลูกไม่สอบสวนคดีนี้ด้วยตัวเอง ลูกก็คงจะรู้สึกไม่ดีนัก พ่อ ช่วยสัญญากับลูกด้วยว่าจะปล่อยให้ลูกทำคดีนี้ให้เสร็จ" ชิวหนิงช่วงกล่าว

เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของลูกสาวของเขาอ่อนลง และนอกจากนี้ดูเหมือนเธอกำลังขอร้อง

พ่อของชิวหนิงช่วงก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็เข้าใจถึงความไม่เต็มใจในใจของเธอ เพราะเธออยากจะไขคดีนี้มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้มันเป็นไปด้วยความยากลำบาก

"เอาสิ แต่ระวังตัวด้วย ถ้าลูกพบอะไรน่าสงสัยให้รีบบอกพ่อทันที ถ้าลูกต้องการความช่วยเหลือ ก็ของให้บอกพ่อ"

ยิ่งไปกว่านั้นในใจของเขา ไม่คิดว่าลูกสาวของเขาซึ่งเป็นตำรวจจราจรมาโดยตลอดจะมีความสามารถในการไขคดีได้จริงๆ

ตอนนี้เป็นเพราะว่าเธออยากมีส่วนร่วมมาก เขาจึงได้ปล่อยเธอไปได้ แต่เธอไม่สามารถเข้าร่วมหน่วยงานพิเศษได้

“ขอบคุณค่ะพ่อ!” ชิวหนิงช่วงสวมกอดพ่อของเธออย่างมีความสุขและพูดว่า "พ่อคอยดูนะ คอยดูว่าหนูจะจัดการคดีใหญ่นี้ยังไง!"

ในเมื่อไม่สามารถเข้าร่วมหน่วยงานได้ ซึ่งเธอก็ไม่สนใจมันมากเกินไป

ตอนนี้เธอรู้สึกว่าฮวงเฟิงช่วยเธอได้ไม่น้อยและด้วยความช่วยเหลือของฮวงเฟิง เธอก็รู้สึกว่ามันดีกว่าคนพวกนั้นในหน่วยงานมาก เธอต้องการเพียงแค่การสนับสนุนจากพ่อของเธอเท่านั้น

"ลูกนี่นะ" เมื่อเห็นลูกสาวทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ พ่อก็มีความสุขมากเช่นกัน

เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นฉากดังกล่าว นับตั้งแต่ที่เขาไม่เห็นด้วยกับการที่เธอเข้ากรมตำรวจ เธอก็โกรธเขามาตลอดและเลิกเข้าใกล้เขา

"ฉันควรย้ายเธอไปเป็นตำรวจแผนกอาชญากรรมใช่ไหม?" ความคิดนี้แว่บผ่านความคิดของพ่อของชิวหนิงช่วง