ตอนที่ 300

USB:บทที่ 300 เวทต้องห้าม

โอวหยางเทียนได้ซ่อนพลังอันแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้และพลังของเขาก็ไม่ใช่ระดับนักเวทย์ชั้นสูงที่คนธรรมดาทั่วไปจะรู้จัก แต่ในเมื่อเขาเป็นถึงนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เพราะพลังของเขาเคยถึงระดับจอมเวทย์มาแล้วแม้จะยังไม่สำเร็จเป็นจอมเวทย์ก็ตามซึ่งทั่วทั้งอาณาจักรก็มีจอมเวทย์เพียงไม่กี่คน

โชคดีที่พลังของปาร์คเกอร์ไม่ได้น้อยถึงขนาดจะต่อกรไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยสู้กับโอวหยางเทียนตรง ๆ มาก่อนก็ตามแต่มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะสามารถป้องกันไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บได้ นอกจากนี้เขายังสามารถรั้งตัวของโอวหยางเทียนไว้ไม่ให้เขาเข้าไปช่วยโอวหยางซิงเหวิน

โอวหยางเทียนมองสถานการณ์ในตอนนี้ออก ดังนั้นในครั้งนี้เขาจึงร่ายเวทย์ที่แม้แต่นักเวทย์ชั้นสูงหรือจอมเวทย์ยังไม่กล้าที่จะร่ายมนต์บทนี้ เพราะคาถาที่เขาร่ายนั้นเป็นคาถาในตำนานซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คาถาต้องห้าม

แน่นอนว่าหากไม่มีพลังมากพอในการใช้คาถาต้องห้ามนั้นสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้ใช้และยังทำให้ระดับความสามารถของวรยุทธลดลงอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการฝึกยังลดระดับลงในอนาคตอีกด้วย

แม้ในปัจจุบันโอวหยางเทียนจะไม่ค่อยดูแลตัวเองดีเท่าไหร่นัก แต่เขาไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยและไม่ทำอะไรจนสุดท้ายลูกชายของเขาต้องตายจากไป แม้ว่าเขาจะต้องจ่ายในราคาที่แสนแพงขนาดไหนในตอนนี้เขายอมรับได้ทั้งหมด

พายุคมดาบ คาถาต้องห้ามธาตุลมที่สามารถเรียกพายุใบมีดจำนวนมากออกมาเพื่อสร้างความเสียหายในระยะที่กำหนด!

โอวหยางเทียนได้คาถาธาตุลมต้องห้ามนี้มาโดยบังเอิญ แต่การที่ใช้คาถานี้ได้นั้นอย่างน้อยเขาต้องเป็นจอมเวทย์ระดับเซียน อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะเป็นจอมเวทย์ระดับเซียนแต่เขาก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังของมนตร์นี้ได้อย่างเต็มที่และการปล่อยพลังมหาศาลเช่นนั้นออกมายากที่จะไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่ถ้าเขาสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาได้จริง ๆ ซึ่งผู้ที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้ก็คือ

ได้รับคาถาต้องห้ามธาตุลมนี้โดยบังเอิญดังนั้นเมื่อเขาใช้คาถานี้อย่างน้อยเขาก็ต้องอยู่ในระดับแกรนด์เมจิสเตอร์ อย่างไรก็ตามแม้แต่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังของคาถาต้องห้ามนี้ได้อย่างเต็มที่และแทบจะปลดปล่อยมันออกมาโดยไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ หากเขาต้องการปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเวทมนตร์นี้จริงๆนั่นก็คือ นักบุญจอมขมังเวทย์ในตำนาน แต่เขาเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น

โอวหยางเทียนเป็นเพียงนักเวทย์ชั้นสูงไม่ใช่จอมเวทย์ การใช้คาถาที่มีอานุภาพรุนแรงขนาดนี้ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อร่างกายของเขาแต่พลังของเขาก็จะลดลงด้วยเช่นกัน

เพราะฉะนั้นอนุภาคของเวทย์ธาตุลมที่รวมอยู่รอบตัวของโอวหยางเทียนทำให้คนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดสัมผัสได้ถึงความผิดปกติและนั้นจึงทำให้พวกเขาหันไปโจมตีที่โอวหยางเทียน แม้แต่ฮาโรลด์เองยังเปลี่ยนใจหันไปโจมตีที่โอวหยางเทียนเช่นกัน

ทางฝ่ายผู้คุมของตระกูลโอวหยางก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือปกป้องโอวหยางเทียน พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ในการต่อต้านการโจมตีจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาด

ในที่สุดโอวหยางเทียนก็ร่ายคาถาต้องห้ามสำเร็จแต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูขาวซีดไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิงแต่คาถาที่เขาเพิ่งร่ายไปนั้นเห็นได้ชัดว่าได้ผลเนื่องจากท่ามกลางกลุ่มคนของพวกกองทหารรับจากได้ปรากฏใบมีดที่ต่างทิ่มแทงร่างของพวกเขาอย่างเลือดเย็น ใบมีดเหล่านั้นต่างเชือดเฉือนเนื้อหนังเขาพวกเขาผ่านเสื้อผ้าที่สวมอยู่จนทำให้เกิดแผลมากมายอีกทั้งดูเหมือนว่าใบมีดเหล่านั้นจะไม่มีทีท่าที่จะหยุดลงง่าย ๆ ด้วย

จากนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมนตร์ที่ร่ายไว้นั้นเขาเริ่มจะควบคุมไว้ไม่อยู่แล้ว หลังจากที่เขาปลดปล่อยพลังออกมาได้สักพักเขาก็เริ่มสูญเสียการควบคุม แม้ว่าพลังที่ปล่อยออกมาไม่เพียงแต่จะกวาดล้างคนจากกองทหารโลหิตสีชาดเท่านั้น แต่ใบมีดกลับตอนคนที่อยู่รอบกายเขาด้วยเช่นกัน

เป็นเรื่องดีที่โอวหยางเทียนไม่ได้แข็งแกร่งมากพอในตอนนี้ มิเช่นนั้นระยะของมนตร์ที่เขาร่ายจะใหญ่มากจนถึงขั้นสามารถทำร้ายคนเป็นวงกว้างได้

ความตายได้เริ่มปรากฏขึ้นอย่างที่คาดไว้และในทันใดนั้นก็ได้มีใบมีดตัดผ่านไปที่ลำคอของฮาโรลด์อย่างฉับพลันโดยที่ตัวเขาเองยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุดก็มีทางออกของเหตุการณ์วุ่นวายนี้เนื่องโอวหยางเทียนใช้พลังไปมากในการร่ายคาถามันจึงทำให้ตอนนี้เขาเหลือพลังเวทย์ไม่มากนักและเหลือเรี่ยวแรงอยู่น้อยนิด แม้กระทั่งตอนเดินก็ต้องมีคนมาช่วยพยุงไว้

ถึงแม้ว่าผู้คุมจะปกป้องเขาจากการโจมตีได้ในบางส่วนแต่โอวหยางเทียนก็ต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง ในส่วนของปาร์คเกอร์เขาก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อในขณะที่ร่างกายของเขาเองก็โดนคมมีดตามร่างกายจนเป็นแผลโดยที่เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นแต่นั้นก็สาหัสพอที่จะทำให้เลือดออกจนเขาต้องตกใจไเช่นกัน

ปาร์คเกอร์มีความคิดที่จะถอยในทันที เขาคิดว่าหากเขายังดึงดันสู้ต่อไปเขาคงได้ตายที่นี่แน่ จากนั้นปาร์คเกอร์จึงรีบออกจากร้านอาหารพร้อมกับทหารรับจ้างที่ยังมีชีวิตที่เหลืออยู่ไม่กี่คน แม้ว่าพวกเขาจะรอดชีวิตมาได้แต่ทุกคนก็ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส

“ โอวหยางเทียน พวกเราจะไม่ยอมจบเพียงเท่านี้แน่!” ปาร์คเกอร์ตะโกนใส่โอวหยางเทียนในระยะไกล จากนั้นเขาก็นำผู้บาดเจ็บทั้งสามคนออกไปจากเมืองเฮ่าเทียนพื้นที่ของตระกูลโอวหยางอย่างรวดเร็ว

เดิมทีเขาไม่คิดว่าคนจากกองทหารรับจ้างโลหิตสีชาดจะกล้าเปิดฉากต่อสู้กับพวกเขาที่นี่ เขาจึงไม่ได้นำคนมาด้วยมากนัก ในตอนแรกฝ่ายเขาสูญเสียคนไปประมาณสองสามคนจากการต่อสู้แต่หลังจากที่เขาร่ายมนตร์ต้องถามจึงเสียคนเพิ่มไปอีกสามคน ส่วนที่เหลือทั้งหมดเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แม้ว่าต้องการจะจับตัวปาร์คเกอร์ให้ได้แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงมองดูศัตรูเดินจากไป

"ไปกันเถอะ!" โอวหยางเทียนกล่าวอย่างอ่อนแรงกับผู้คุมของตน เขารู้ดีว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปยากที่ทั้งสองฝ่ายจะคืนดีกันได้

ส่วนโอวหยางซิงเหวินอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดในเหตุการณ์นี้เพราะเขาได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดซึ่งเรียกได้ว่าแค่ผิวเผินเท่านั้น

แต่ยังไงเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เกิดจากตัวเขาเองทั้งหมด เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกและทำได้เพียงแค่ช่วยพยุงพ่อของเขากลับไป

ตอนนี้สิ่งที่โอวหยางเทียนยังไม่รู้ก็คือสิ่งที่มาแทนที่ม้วนคัมภีร์คาถาต้องห้ามพายุคมดาบ ก่อนหน้าที่ม้วนคัมภีร์จะหายไปได้มีแสงสีขาวจ้าปรากฏขึ้น แต่เขาก็ยังเห็นของที่มาแทนที่ไม่ชัด

ส่วนผลแอปเปิ้ลที่เป็นสาเหตุของการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายนั้นได้ถูกโยนทิ้งไปในระหว่างการต่อสู้ ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนได้แยกย้ายกันกลับ ขอทานที่อยู่ใกล้ ๆ ร้านอาหารเห็นเข้าจึงได้หยิบผลแอปเปิ้ลนั้นขึ้นมาด้วยความหิวโหยโดยที่ไม่สนใจว่ามันคือสิ่งใด เขาเพียงหยิบมันขึ้นมากินเพียงเพื่อประทังชีวิตและคิดว่ามันคงเป็นผลไม้แปลกตาชนิดหนึ่งที่เขาไม่เคยพบมาก่อนเท่านั้น ตาของเขาเบิกโพลงในทันทีที่กัดลงไปเพราะเขาได้พบกับความหวานและความชุ่มฉ่ำแบบสุด ๆ จากผลไม้ผลนี้และมันทำให้เขาแววตาของเขาสดใสขึ้นอีกด้วย เขากินมันหมดภายในคำเดียวจึงทำให้แอปเปิ้ลที่ชายผู้เป็นขอทานเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกหายไปในพริบตา