ตอนที่ 651

USB:บทที่ 651 ฝ่า

ฮวงเฟิงนำคนวิ่งฝ่าเข้าไปในเมืองได้อย่างง่ายดาย แม้จะเผชิญกับทหารต่อต้านที่ประตูเมือง แต่ด้วยฮวงเฟิงเป็นผู้นำทาง จึงไม่มีความต่างระหว่างกระดาษกับกระดาษ

นี่เป็นยุคที่มีเพียงอาวุธธรรมดาเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีอาวุธที่มีการทำลายล้างสูงอย่างฮวงเฟิงรู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้าง นอกจากนี้ นักธนูในกองทัพยังมีน้อยมาก ถึงขั้นที่ฮวงเฟิงไม่ต้องกลัวเลยว่าจะถูกซุ่มโจมตี ตราบใดที่เขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้สบายๆ มีอะไรที่เขาจะต้องกลัวอีก?

ดังนั้น ฮวงเฟิงจึงเปรียบเหมือนราชาปีศาจ สังหารเทพเซียนและพระพุทธองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้ การกระทำนี้ทำให้คู่ต่อสู้พากันอกสั่นขวัญผวา นอกเสียจากผู้ติดตามฮวงเฟิงที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อมีฮวงเฟิงเป็นผู้นำ พวกเขาจึงมั่นใจมากว่าพวกเขาสามารถเอาชนะทุกคนได้!

ในตอนนี้ มีคนมากมายรู้สึกเสียใจที่เปิดประตูเมือง สหายและพวกพ้องก็ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ นอกจากจะให้ใครสักคนในหมู่พวกเขาไปสังหารราชาปีศาจ น่าเสียดายที่ในเวลานี้ พวกเขาไม่สามารถปิดประตูเมืองได้อีกครั้ง

ฮวงเฟิงไม่ได้นำคนของเขาไปบุกทางข้างหน้า แต่ยืนเฝ้าที่ประตูเมืองเพื่อรอการมาถึงของกองทัพ แต่เพราะผู้คุมเมืองรู้แผนการของเขาดี ดังนั้น พวกเขาจึงพาคนวิ่งไปด้านหน้าหมายจะสังการฮวงเฟิงให้ตายและขับไล่ศัตรูไปจากเมือง

และในเวลานี้ ผู้นำของกองทัพในเมืองพบว่าทัพของซูเผยได้โจมตีแล้ว ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยกองทัพของเขาจะไม่สามารถจัดการมณฑลหลี่ได้ มิหนำซ้ำยังถูกกองทัพของซูเผยโจมตีเมือง และยิ่งไปกว่านั้นคือบัดนี้ ประตูเมืองได้พังลงแล้ว

“ทุกคน ตามข้ามา!” ท่านผู้นำหยิบอาวุธประจำตัวพลางร้องตะโกน เพราะเขารู้ว่ามีฝ่ายศัตรูเพียงไม่กี่คนที่ประตูเมือง ในตอนนี้ตราบใดที่เขาสังหารฮวงเฟิงและพวกพ้องได้ เขาสามารถพึ่งกำแพงเมืองจัดการกับศัตรูได้ครู่หนึ่ง

ดังนั้น ในเวลานี้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือนำคนไปยังประตูเมือง แน่นอนว่าเขาสามารถหลบหนีก็ได้ แต่เขาคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา และหากว่าเขาไม่สามารถทำมันสำเร็จ จะหนีตอนนั้นก็ยังไม่สาย

“ไอ้สุนัขพวกนี้! กล้าหลอกข้างั้นรึ!” ขณะที่ผู้นำวิ่ง เขาเริ่มสาปส่งผู้นำกบฏที่ยอมจำนนไปก่อนหน้านี้ในใจ พวกเขาบอกว่ากองกำลังของซูเผยมีไม่มากอีกทั้งยังไร้ทักษะการต่อสู้ ไร้ทักษะการต่อสู้อย่างนั้นหรือ? บุกมาถึงประตูเมือง เช่นนี้เรียกไร้ทักษะการต่อสู้หรือ?

เห็นได้ชัดว่าผู้นำท่านนี้คิดว่าผู้นำทัพกบฏหลอกลวงเขา

ถึงอย่างไร คิดได้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เขาทำได้เพียงพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยสิ่งที่เสียไป แต่เมื่อมาถึงประตูเมืองพร้อมกับคนอื่นๆ เขาก็ตะลึงกับภาพตรงหน้า

นี่ยังนับเป็นประตูเมืองอีกหรือ? นี่แทบจะเป็นนรกอสุราแล้ว มีศพกองอยู่ทุกหนทุกแห่งทั้งยังมีเลือดสีแดงสดไหลไปจนถึงข้อเท้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

ผู้นำมองไปที่ประตูเมืองและมีคนอยู่ที่นั่น ผู้เป็นหัวหน้ายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบงับ มองดูเหล่าทหารที่ล้อมรอบตัวเขาโดยบนใบหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัว

แม้ว่าจะมีคนมากมายยืนล้อม แต่ก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว เนื่องจากคนที่กล้าก้าวเข้าไปก่อนหน้านี้บัดนี้กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างหมดลมหายใจ และบรรดาผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่กลับกล้าเพียงยืนล้อมรอบบุคคลนั้น พวกเขาจ้องมองไปอีกฝ่ายโดยไม่เคลื่อนไหว และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวราวกับว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกล้อม

“พวกเจ้าจะยืนเฉยให้ได้อะไร รีบฆ่ามันเสีย!” แม้ผู้นำกองทัพกบฏจะตกใจกับภาพตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่เห็นว่าฮวงเฟิงจะขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น แม้ในใจเขาจะรู้สึกกลัวและประหม่าอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังไม่สูญเสียความมั่นใจไปทั้งหมด

แต่อย่างไรก็ตาม ทหารกบฏเหล่านั้นไม่ได้เคลื่อนไหวประหนึ่งว่าพวกเขาไม่ได้ยินคำสั่งการจากผู้นำ พวกเขาไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว

ฮวงเฟิงเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า คนผู้นี้สวมชุดเกราะทั้งร่าง ต่างจากทหารทั่วไปอย่างสิ้นเชิง แน่ว่าว่าคนผู้นี้ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาหรืออะไรทำนองนั้น แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ระดับใดก็ตาม

“หากต้องการสังหารข้านักก็เข้ามา!” ฮวงเฟิงกล่าวพลางจ้องอีกฝ่าย

มีคนจำนวนมากที่ไม่ฟังเขาพูด อีกทั้งฮวงเฟิงและพวกพ้องมีเพียงไม่สิบกว่าคนเท่านั้น ในขณะที่อีกฝ่ายมีแค่ไม่กี่ร้อยคน นอกจากนี้ จำนวนคนยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย แล้วเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?

และในเวลานี้ ฮวงเฟิงได้ยั่วยุเขาอีกครั้ง ทำให้เขาโมโหกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงนำทหารรักษาการณ์จู่โจมฮวงเฟิง ทว่าเขายังทิ้งรอยเท้าไว้ และนั่นเป็นเพราะตอนที่เขาจู่โจม เขาตั้งใจลดความเร็วของตัวเองเพื่อให้ทหารรักษาการณ์ได้วิ่งนำหน้าเขา

“เหอะ เจ้าน่าเกรงขามแล้วอย่างไร คิดว่าข้าและทหารมากมายที่อยู่เคียงข้างข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้หรือ?” มีเพียงผู้นำผู้นี้เท่านั้นที่หมกมุ่นอยู่กับการฆ่าฮวงเฟิงโดยไม่สังเกตทหารที่อยู่รอบกายเลย สายตาที่พวกเขามองอีกฝ่ายไม่ต่างจากมองเห็นศพ

มีคนจำนวนมากพุ่งเข้าหาฮวงเฟิงและลูกน้อง มิหนำซ้ำยังมากกว่าผู้นำในครั้งนี้อีกด้วย ทำให้ฮวงเฟิงรู้สึกเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย และแล้วคนพวกนี้ก็ได้ถูกฮวงเฟิงสังหารก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บเสียอีก

วิชาดาบของฮวงเฟิงนั้นแข็งแกร่งมาก ทุกการโจมตีเขาใช้เพียงดาบเดียวสังหารพวกเขาทั้งหมด และดาบที่คู่ต่อสู้ใช้ฟันฮวงเฟิง เขากลับหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าคนรอบตัวเขาจะมีสักกี่คนหรือพื้นที่จะน้อยเพียงใด เขาก็สามารถหลบเลี่ยงทุกกระบวนท่าได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้ ผู้นำคนนี้ยังคงมีความกล้าที่จะพุ่งเข้าใส่ฮวงเฟิงเช่นเดิน ในสายตาของกองทัพพันธมิตรการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย

“ท่านผู้นำ อย่าเข้าไป! อันตราย!" สุดท้ายก็มีคนที่ทนดูต่อไปไม่ไหวจึงตะโกนห้ามเขาเสียงดัง

ทว่าผู้นำท่านนี้กลับหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตารังเกียจ เจ้ามันขี้ขลาด แล้วคิดว่าข้าจะขี้ขลาดและไร้ประโยชน์อย่างเจ้างั้นรึ?

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะคิดจบ เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่คอ จากนั้นเขาก็เห็นหัวของตัวเองหลุดจากบ่า และทัศนียภาพรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

“นี่คือร่างของผู้ใด ทำไมถึงไม่มีศีรษะเล่า? ช่างคุ้นตาเสียจริง!” นี่เป็นความคิดสุดท้ายของผู้นำกองทัพกบฏ