ตอนที่ 361

USB:บทที่ 361 ลมปราณ

"ลมปราณภูตอุดร: หนึ่งในศิลปะการต่อสู้ชั้นยอดของสำนักแปดมังกรฟ้า ซึ่งมันสามารถชักนำกำลังภายในของศัตรูมาเพิ่มพลังให้กับตัวผู้ใช้ได้และยังทำให้กำลังภายในของผู้ใช้วิชาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ท่าเท้าท่องคลื่น: หนึ่งในศิลปะการต่อสู้ชั้นยอดของสำนักแปดมังกรฟ้า เป็นวิชาที่มีทักษะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและลึกล้ำโดยวิชานี้ถูกบันทึกในส่วนปลายสุดของม้วนแพรของสำนักแปดมังกรฟ้า

ใบหน้าของฮวงเฟิงเต็มไปด้วยความสุขขณะที่มองไปที่ผ้าแพรที่อยู่ในมือของเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผ้าธรรมดา ๆ  เช่นนี้จะมีสองสุดยอดเคล็ดวิชาชั้นสูงอยู่ด้วย ดังนั้นตอนนี้ฮวงเฟิงจึงรู้สึกเป็นสุขอย่างมาก

"ลมปราณภูตอุดร" และ "ท่าเท้าท่องคลื่น" ชื่อของเคล็ดวิชาทั้งสองนี้แน่นอนว่าฮวงเฟิงนั้นเคยได้ยินมานานแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นจากนวนิยายหรือละครโทรทัศน์ที่เขียนโดยตาเฒ่าจินยงหรือที่รู้จักกันว่ากิมย้ง อีกทั้งฮวงเฟิงยังเคยเห็นสำนักแปดมังกรฟ้ามาหลายครั้ง แต่เขาเพียงคิดไม่ถึงว่าจะพบสองสุดยอดเคล็ดวิชาของสำนักแปดมังกรฟ้ามาอยู่ในกล่องจักรวาลและนั้นก็ทำใหเขาประหลาดใจมากที่กล่อง ๆ นี้สามารถรวมเอาสองสุดยอดเคล็ดวิชามารวมไว้ในที่เดียวกันภายในกล่องนี้ได้

ถ้าให้พูดถึงโลกของสำนักแปดมังกรฟ้า ต้วนอวี้เป็นเด็กที่โชคดีที่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์ แม้หว่าเขาจะตกหน้าผาแต่ภายหลังกลับได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาซึ่งทำให้พลังของเขาจากที่อ่อนแอก็แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาในทันที

ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาได้รับเคล็ดวิชานี้มานั้นมันไม่ได้มีผลข้างเคียงกับวิชาดาวเคลื่อนดาราคล้อยของเขาเลย เพราะวิชาดาวเคลื่อนดาราคล้อยถือได้ว่าเป็นเพียงลมปราณภูตอุดรในเวอร์ชั่นที่เบากว่าเท่านั้น ไม่ว่าวิชาลมปราณภูตอุดรจะสามารถชักนำกำลังภายในไปมากเพียงใด มันก็ยังสามารถเปลี่ยนของเหลวภายในที่มีอยู่เดิมหรือที่เรียกว่าจินเยี่ยได้หลังจากที่ลมปราณภูตอุดรเข้าสู่ร่างกาย แต่สำหรับวิชาดาวเคลื่อนดาราคล้อยนั้นแตกต่างออกไปเพราะหลังจากที่ชักนำกำลังภายในของผู้อื่นมาแล้ว กำลังภายในในร่างกายก็จะว้าวุ่นเกินไปจนทำให้ร่างกายเกิดความเสียหาย

สำหรับวิชาท่าเท้าท่องคลื่นนั้นคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องความยาก เพราะวิชานี้จะต้องมีการเคลื่อนไหวที่เป็นเลิศ แต่ฮวงเฟิงก็ยังมุ่งมั่นที่จะฝึกเนื่องจากวิชานี้ค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือวิชาท่าเท้าท่องคลื่นล้วนลึกล้ำ ทุกฝีเท้าก้าวย่าง การเคลื่อนไหวทั้งสรรพางค์กายมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับลมปราณภายในทั้งสิ้น ดังนั้นการฝึกปรือวิชานี้ไม่เพียงแต่ไม่ต้องใช้กำลังภายในของตนเองแล้ว แต่กลับเป็นการเพิ่มกำลังภายในเข้าไปอีกเสียต่างหาก

ฮวงเฟิงคลี่ผ้าแพรออกมาอย่างไม่รอช้า เมื่อเปิดออกเขาก็เจอกับภาพผลไม้และนอกจากนี้ก็ดูไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติ คนที่อยู่ในภาพบ้างก็ยืนบ้างก็นอน บ้างเผยทรวงอก บ้างเห็นแผ่นหลัง รูปเค้าใบหน้าล้วนเป็นเช่นเดียวกันแต่บางคนบ้างก็มีสีหน้ายินดีบ้างก็มีสีหน้าหม่นหมองบ้างก็มีสีหน้าที่ดูอยู่ในอารมณ์โกรธและบ้างก็มีสีหน้าที่ไม่แยแสสิ่งใด โดยภาพทั้งหมดมีสามสิบหกภาพและแต่ละภาพมีเส้นสีบาง ๆ บ่งบอกจุดฝั่งเข็มตลอดจนเคล็ดวิชาฝึกลมปราณ

ตามเรื่องราวในนวนิยายหรือในโทรทัศน์ บุคคลในภาพเหมือน ต้วนอวี้เรียกเธอว่า‘พี่นางฟ้า’(รูปปั้น)และตอนนี้ฮวงเฟิงเริ่มสนใจและนึกอยากเห็นว่าอีกฝ่ายว่าจะหน้าตาของพี่นางฟ้านั้นเป็นเช่นไร

และเมื่อฮวงเฟิงได้เห็น เขาก็คิดว่าเธอผู้นี้หน้าตาดีไม่น้อยไปกว่าดาราใหญ่ในวงการที่ฮวงเฟิงเคยเห็นมาก่อนแม้แต่กับหลี่ปิงอวิ้นเองที่เพิ่งแยกจากเขาไปยังนับว่าค่อนข้างด้อยกว่าด้วยซ้ำและที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องรูปลักษณ์ที่ด้อยกว่าแล้วแต่ยังรวมไปถึงนิสัยใจคอและท่าทางของเธอด้วย สุดท้ายเมื่อกับหลี่ปิงอวิ้นแล้วเธอกลับเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ยังโตไม่เต็มวัย

“ไม่แปลกใจเลยที่คนอย่างต้วนอวี้จะต้องมนต์เสน่ห์ราวกับถูกอาคมเมื่อได้เห็นรูปสลักของเธอ” ฮวงเฟิงคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างมีความสามารถยิ่ง

อย่างไรก็ตามไม่ว่าอีกฝ่ายจะสวยงามเพียงใดแต่ฮวงเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนักเพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงภาพเหมือนเท่านั้น

เช่นนั้น ฮวงเฟิงจึงกลับนมาให้ความสนใจกับวิชาและการไหลเหลียนลมปราณของวิชาลมปราณภูตอุดร ด้วยผ้าแพรนี้การฝึกวิชาจึงทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับฮวงเฟิงในการเรียนรู้ถึงเคล็ดวิชาเพราะแม้ว่าเขาจะไม่มีกำลังภายในตอนนี้เขาก็ยังสามารถที่จะลองเรียนรู้มันได้

อย่างไรเสียฮวงเฟิงเองก็รู้ตัวดีว่าความสามารถของตนไม่สามารถเอาไปเทียบกับต้วนอวี้ได้เนื่องจากความสามารถในการฝึกวรยุทธของต้วนอวี้นั้นอยู่ในระดับต้น ๆ ของสำนักมังกรฟ้า

ฮวงเฟิงเห็นเส้นสีเขียวเส้นบาง ๆ ในภาพที่เริ่มจากไหล่ซ้ายลากขึ้นไปจนถึงคอ ต่อมาก็ลากต่อไปยังเต้านมขวาในแนวทแยงมุม จากนั้นเส้นก็ยังคงขยายจากไหล่ซ้ายไปที่แขนขวาและลากผ่านข้อมือไปจนถึงนิ้วหัวแม่มือข้างขวา

เส้นสีเขียวอีกเส้นได้ลากยาวลงมาที่คอผ่านหน้าท้องและลงมาเรื่อย ๆ จนใกล้กับสะดือและใกล้เส้นสีเขียวทั้งสองเส้นนี้มีเครื่องหมายบางอย่างซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นชื่อของจุดฝังเข็ม ก่อนหน้านี้ฮวงเฟิงได้ฝึกวิชาเจ็ดดาราไร้พ่ายซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับอยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นเมื่อฮวงเฟิงเห็นชื่อของจุดฝั่งเข็มเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจมากนัก แม้ว่าวิชากำลังภายในของเขาจะยังอยู่ในระดับธรรมดาแต่เมื่อมีคำอธิบายเกี่ยวกับจุดฝั่งเข็มมันจึงทำให้เขาสามารถฝึกเคล็ดวิชาได้

ตามการแนะนำของวิชาลมปราณภูตอุดร เส้นสีเขียวที่ปรากฏอยู่ที่มือ ถือว่าเป็นส่วนที่พื้นฐานที่สุดของเคล็ดวิชาลึกลับนี้ ซึ่งเส้นสีเขียวนั่นก็คือโส่วไท่หยินเฟ่ยจิงหรือเส้นแขนด้านในเป็นเส้นปอดโดยแผนภาพนี้ใช้ในการฝึกดูดซับพลังภายใน ส่วนแผนภาพที่สองคือวิธีเปลี่ยนพลังภายในที่ดูดซึมเข้ามาเก็บไว้ที่เจินชี่ซึ่งเป็นชี่พื้นฐานและสำคัญที่สุดของร่างกาย เป็นพลังแรกเริ่มของร่างกายและชีวิต

อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของเขาตอนนี้ได้หยุดลงอย่างทันทีเพราะเขาได้เห็นคำเตือนที่เพิ่งจะนึกได้เกี่ยวกับเคล็ดวิชานี้ว่า: ใครก็ตามที่ได้ฝึกเคล็ดวิชานี้จะต้องกระจายกำลังภายในที่เรียนรู้ไปก่อนหน้าเสียก่อน จากนั้นจึงค่อนเริ่มฝึก เพราะรูปแบบการไหลเวียนของวิชาลมปราณภูตอุดรนั้นตรงกันข้ามกับกำลังภายในพื้นฐานที่มีอยู่โดยสิ้นเชิง ดังนั้น หากเกิดความสับสนยุ่งเหยิงเพียงเล็กน้อย ลมปราณทั้งสองสายจะหักล้างกันเอง กระอักโลหิตเสียสติ ชีพจรชำรุดเสียหายจนนำไปสู่ความตายได้

“เป็นไปได้ไหมที่จะสามารถกระจายกำลังภายในในร่างกายออกไปได้จริง ๆ ?” ฮวงเฟิงลังเลเล็กน้อย

“ ที่ยิ่งไปกว่านั้น ในร่างกายของฉันตอนนี้ก็ไม่ได้มีแค่กำลังภายในธรรมดา ๆ แต่ยังมีพลังเวทอีก ในเมื่อพลังทั้งสองได้หลอมรวมกันแล้วจึงยากที่จะแยกพวกมันออกจากกัน”

ในวิชาลมปราณภูตอุดรมีวิธีการบอถึงการกระจายกำลังภายในออกแต่ฮวงเฟิงรู้สึกไม่ยินดีนักที่จะสลายกำลังภายในนี้ออกไป

“ลืมไปเลยว่าวิชาลมปราณภูตอุดรเป็นถึงสุดยอดเคล็ดวิชาและผู้เริ่มฝึกจะต้องทำลายวิชาดั่งเดิมที่ตัวเองเคยร่ำเรียนมาเสียก่อน  แม้ว่าสุดท้ายแล้วฉันจะไม่หลงเหลือแม้แต่พลังเวทย์และไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกต่อไป แต่หากได้เรียนรู้เคล็ดวิชานี้แล้วก็สามารถชักชำเอากำลังภายในของผู้อื่นมาใช้ได้ เมื่อเป็นแบบนั้น กำลังภายของฉันก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจนสามารถฆ่าศัตรูทั้งหมดได้”หลังจากที่ฮวงเฟิงลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ

เช่นนั้น เมื่อฮวงเฟิงเริ่มหมุนปราณชีพจรเคล็ดวิชาลมปราณภูตอุดรเพื่อขจัดวิชาที่เคยมีอยู่

ต่อมา มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกหดหู่และแคลงใจเล็กน้อยนั้นก็คือ หลังจากที่เปลี่ยนหมุนปราณชีพจรมาเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ระดับพลังของกำลังภายในในร่างกายของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยเลย