ตอนที่ 291

USB:บทที่ 291 รับประทานอาหารร่วมกัน

เรื่องเกี่ยวกับเครื่องบำบัดน้ำเสียผู้กำกับชิวไม่เป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้วและแม้ว่าเขาจะไม่สนใจสิ่งนี้อยู่แล้วด้วย แต่สุดท้ายเขาก็จำเป็นที่จะต้องรู้จักสิ่งนี้เพราะว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอำนาจแห่งเมืองชิง ฉะนั้นเขาย่อมต้องรู้จักทุกสิ่งอย่างในเมืองแห่งนี้

ปัจจุบันมีโรงงานจำนวนไม่น้อยเลยที่ใช้เครื่องบำบัดน้ำเสียเช่นเดียวกับของฮวงเฟิงและยังมีโรงงานขนาดเล็กอื่น ๆ ซึ่งมีจำนวนคนงานเพียง 20 คน ถ้าให้เทียบกับโรงงานขนาดใหญ่ของผู้กำกับชิวแล้วแม้แต่จำนวนคนงานที่ทำงานอยู่ที่นั้นคงจะเทียบได้ยากเนื่องจากคงนับเท่าไหร่ก็นับไม่หมด

อย่างไรเสียเขาก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ฮวงเฟิงกล่าวไปก่อนหน้านี้ แม้แต่เจ้าของโรงงานขนาดใหญ่ที่ทุ่มทุนสร้างพร้อมกับคนงานอีกนับหมื่น ๆ ชีวิตเองก็ยังไม่กล้าพูดเลยว่านวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ที่โรงงานตนผลิตขึ้นมาจะสามารถเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้ อีกทั้งยังล้ำหน้ากว่าโรงงานอื่นในวงการอุตสาหกรรมนี้อีกด้วย

“ ลุงชิว ผมไม่เคยพูดโกหก อุปกรณ์ที่ผมผลิตขึ้นมามันมีประสิทธิภาพมากกว่าโรงงานอื่นจริง ๆ นะครับ” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ อ๋อ อย่างนั้นหรอกหรือ” ผู้กำกับชิวพยักหน้าแต่ในใจเขากลับคิดว่าถ้าของที่ฮวงเฟิงผลิตออกมาดีจริงอย่างที่เขาพูด เขาก็ควรพูดถึงเรื่องยอดขายเพื่อความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องนี้

เมื่อฮวงเฟิงและผู้กำกับชิวมาถึงร้านอาหาร ชิวหนิงช่วงและแม่ของเธอก็ได้มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน

"มาถึงกันแล้ว เชิญนั่งเลยค่ะ พวกเราได้สั่งอาหารมาแล้ว ลูกไปดูแลพวกเขาว่าขาดเหลืออะไรหรือต้องการสั่งอะไรเพิ่มไหม " แม่ของชิวหนิงช่วงรีบพูดเมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา

"คุณป้า ไม่เป็นไรหรอกครับ" ฮวงเฟิงกล่าวอย่างสุภาพ

ตอนนี้ชิวหนิงช่วงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และมันทำให้เธอดูผ่อนคลายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ รอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเธอที่บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีอยู่

“ ฮวงเฟิง คุณจะเริ่มสร้างโรงงานเมื่อไหร่คะ?” ฉันยังไม่รู้เลยว่าโรงงานของคุณผลิตอะไร?” ตอนนี้ฮวงเฟิงได้นั่งลงข้าง ๆ ชิวหนิงช่วง แต่ในขณะที่เขากำลังจะนั่งข้างเธอ เธอก็ถามเขาอย่างร้อนใจเพราะก่อนหน้านี้ถ้าเธอไม่จำเป็นต้องกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอคงจะตามฮวงเฟิงกับคนอื่น ๆ ไปที่โรงงานแล้วด้วยซ้ำ

"คงอีกไม่นานนี้แหละครับ แต่มันไม่ได้เป็นโรงงานขนาดใหญ่หรอกนะครับ งานหลักของโรงงานเราก็คือการผลิตเครื่องบำบัดน้ำเสีย" ฮวงเฟิงกล่าว

ในขณะเดียวกันอาหารเลิศรสได้ถูกเสิร์ฟลงโต๊ะอย่างรวดเร็ว เหตุผลที่เขามาร้านอาหารในครั้งนี้ก็คือเพื่อฉลองให้กับชิวหนิงช่วงที่ได้ออกจากโรงพยาบาล ส่วนอีกฝ่ายมาเพื่อที่จะขอบคุณฮวงเฟิงที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้

หลังจากที่พวกเขาทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย พวกผู้ชายก็ต่างนั่งจิบไวน์พูดคุยกันต่อโดยที่หัวข้อบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แต่หลายครั้งที่พ่อของชิวหนิงช่วงมักจะถามเรื่องส่วนตัวของฮวงเฟิงซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกงงเล็กน้อยหรือเป็นได้หรือไม่ว่าพ่อของชิวหนิงช่วงจะชอบถามคำถามส่วนตัวของผู้อื่น?

เมื่อเห็นว่าชิวหนิงช่วงและแม่ของเธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผู้กำกับจึงใช้โอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนามาเป็นเรื่องผลไม้วิเศษของฮวงเฟิงเพราะในระหว่างทางที่ออกมาจากโรงงานผู้กำกับชิวได้เตรียมที่จะถามเขาเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ในเวลานั้นเขากำลังให้ความสนใจกับโรงงานของฮวงเฟิงอยู่จนลืมถามเรื่องนี้ไป จนตอนนี้ได้โอกาสเขาจึงกล่าวถามขึ้น

ฮวงเฟิงไม่ได้แปลกใจกับคำถามของผู้กำกับชิวเท่าใดนักเนื่องจากเขาคาดเดาไว้แล้วว่าต้องถูกถามเรื่องนี้และเป็นไปไม่ได้ที่ผู้กำกับชิวจะไม่อยากรู้เรื่องผลเวอร์มิลเลี่ยน

“ ลุงชิว จริง ๆ แล้วผมได้สิ่งนี้มาโดยไม่ได้ตั้งใจและยังไม่สามารถรับประกันได้อีกว่าจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นตามมาด้วย แต่ในสถานการณ์นั้นผมไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ นอกจากต้องทำแบบนั้นไปและผมหวังว่าลุงชิวจะไม่กล่าวโทษผม” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ

ตอนนี้ผู้กำกับชิวยังไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่กลับจ้องมองฮวงเฟิงแทน ในฐานะที่เขาเคยยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาลมาหลายปี เขาจึงย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดไปเมื่อครู่แม้แต่คำเดียว แต่เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างจริงใจของฮวงเฟิงและนึกถึงตอนที่ลูกสาวของเขาถูกยิงแต่ได้ฮวงเฟิงเขามาปกป้องจนรอดชีวิตมาได้ เช่นนั้น เขาจึงยังไม่ได้พูดอะไรออกไปและพยายามไม่กังวลเรื่องฮวงเฟิงจนเกินเหตุ

“ทำไมผมจะต้องกล่าวโทษคุณด้วย ในสถานการณ์แบบนั้นตราบใดที่ยังมีหวังที่จะสามารถช่วยลูกสาวของผมได้ ผมเองก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน” ผู้กำกับชิวกล่าว

อย่างไรก็ตามในใจเขาก็ยังคงคิดว่าคนธรรมดา ๆ เช่นฮวงเฟิงคนนี้ต้องมีความลับอื่นที่เขาไม่รู้และแม้แต่ลูกสาวของเขาเองก็ดูจะไม่รู้ความลับนั้นด้วย

เมื่อฮวงเฟิงเห็นว่าผู้กำกับชิวดูไม่อยากยุ่งเรื่องนี้แล้ว เขาก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเชื่อเขาง่าย ๆ แน่นอน แต่นั้นก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องผลเวอร์มิลเลี่ยนที่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกมอบให้ชิวหนิงช่วงไปและเธอก็ได้กินมันไปแล้วด้วย ตราบใดที่ยังไม่มีใครรู้เขาเองก็จะไม่พูดอะไรให้อีกฝ่ายได้สงสัยเขาอีกและจะได้ไม่ทำให้เขาลำบากไปมากกว่านี้อีกด้วย

เพราะหากยิ่งมีคนรู้มากเท่าใดมันก็ยิ่งจะเป็นผลเสียกับตัวเขา เมื่อคิดดูแล้วคนอย่างผู้กำกับชิวไม่น่าเป็นคนจำพวกที่ชอบนินทา มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางก้าวมาถึงตำแหน่งในปัจจุบัน

"พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอคะ?" ในตอนนี้ชิวหนิงช่วงและแม่ของเธอได้เดินกลับมาแล้ว

"ผมกำลังพูดถึงลูกสาวของเราอยู่ว่าเธอเป็นที่นิยมและเป็นที่หมายปองในหมู่ผู้คนเป็นอย่างมากนะ" ผู้กำกับชิวกล่าวพลางหัวเราะ

"คุณพ่อ พูดเรื่องอะไรคะ ไร้สาระน่ะ" ชิวหนิงช่วงรู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ในขณะเดียวกันเธอก็แอบสังเกตท่าทีของฮวงเฟิงด้วยเช่นกัน แต่เธอกลับพบว่าฮวงเฟิงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและจากนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรอีกเลยซึ่งนั้นก็ทำให้เธอผิดหวังเล็กน้อย

หลังจากที่รับประทานมื้อค่ำเสร็จ ผู้กำกับชิวได้ขอตัวกลับไปก่อนส่วนชิวหนิงช่วงเองก็กล่าวว่าเธอนอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วจึงรู้สึกเบื่อมาก เธอจึงอยากจะไปเดินเล่นรอบ ๆ คนเดียว

“ พ่อไม่ได้พูดอะไรกับคุณใช่ไหม” ชิวหนิงช่วงถามด้วยความกังวลเล็กน้อย

"ไม่นะ" ฮวงเฟิงส่ายหัว แต่จริง ๆ แล้วผู้กำกับชิวถามเขาเรื่องเกี่ยวกับผลเวอร์มิเลี่ยน

“แล้วเขาถามคุณเรื่องที่ป้อนผลไม้ฉันครั้งที่แล้วเหรอ?” ชิวหนิงช่วงกล่าว แต่เมื่อกล่าวจบใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเพราะเธอจำได้ชัดเจนว่าเขาใช้วิธีอะไรป้อนเธอ

นั้นคือจูบแรกของชิวหนิงช่วงซึ่งมันได้ถูกขโมยไปโดยชายคนนี้และเรื่องนี้ก็ไม่สามารถไปตำหนิเขาได้ด้วยเพราะในสถานการณ์แบบนั้นนั่นเป็นวิธีเดียวที่ฮวงเฟิงทำเท่าที่จะช่วยได้แล้ว

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขารู้ว่าชิวหนิงช่วงเองก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอยู่ในใจเพราะเธอคงเคยจินตนาการว่าจูบแรกของเธอจะต้องเป็นกับผู้ชายที่เธอชอบแต่ความโรแมนติกนี้ก็ถูกพรากไปเสียแล้ว

ชิวหนิงช่วงมองไปที่ฮวงเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งคำตอบที่รอเขาคิดอยู่ตรงกับความคิดของเธอเสียที

"ใช่" ฮวงเฟิงบอกชิวหนิงช่วงเรื่องที่เขาสนทนากับผู้กำกับชิว

โดยปกติชิวหนิงช่วงไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรเธอก็ไม่เคยตั้งคำถามกลับ