ตอนที่ 276

USB:บทที่ 276 สร้างปัญหา

“แม่อย่าร้องไห้ไปเลยนะ ลูกไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ชิวหนิงช่วงพูดอย่างอดไม่ได้ใน ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงและมองดูแม่ของเธอที่กำลังร้องไห้อยู่ข้างเตียง

แม่ของเธอร้องไห้มาตลอด ตั้งแต่เธอเข้าไปอยู่ในห้องผู้ป่วย ไม่ว่าเธอจะพยายามเกลี้ยกล่อมชิวหนิงช่วงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

ส่วนชิวหนิงช่วงเองก็รู้ดีว่าแม่เป็นห่วงเธอ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ลูกยังปกติดีทุกอย่าง และลูกก็ยังคงพูดแต่ว่าไม่เป็นอะไร!” แม่ของชิวหนิงช่วงร้องไห้ขณะที่เธอกำลังพูด

“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพ่อของลูก รู้ทั้งรู้ว่าลูกต้องการที่จะสืบคดีนี้และก็ยังไม่ยอมหยุดลูก แต่เขากลับเห็นดีด้วย”

พ่อของชิวหนิงช่วงเองก็ยืนอยู่ข้างๆ มองดูภรรยาด้วยใบหน้าเจื่อนๆ

เนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลูกสาว จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องกังวลและเสียใจ แต่เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวเขาจะเป็นคนเช่นนี้?

ถ้าเขาไม่ยอมเสียอย่าง ลูกสาวของเขาก็คงจะไม่ไปตามสืบคดีนี้

“ลูกต้องขอบคุณผู้ชายคนนั้นนะสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้ว ลูกคงไม่ได้มานอนอยู่แบบนี้?”

“ไม่สิ ท่านชิว พวกเราสามารถขอบคุณชายหนุ่มคนนั้นได้ถ้าเราชวนเขามาทานข้าวด้วยกัน” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าว

ถึงแม้ว่าชิวหนิงช่วงจะไม่ได้เล่าว่าฮวงเฟิงช่วยเธอไว้อย่างไรในตอนนั้น แต่ทุกคนก็รู้ดี เพราะจากตำแหน่งที่เธอถูกยิง มันต้องเป็นปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้

และตอนนี้ร่างกายของชิวหนิงช่วงก็ยังคงเป็นปกติดีซึ่งนั่นหมายความว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

ในตอนนั้น พ่อของชิวหนิงช่วงเป็นกังวลมากเกี่ยวกับลูกสาวของเขา และหลังจากที่ได้ทราบว่าลูกสาวของเขาไม่เป็นอะไร เขาก็เลยไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ชายคนที่ชื่อว่าฮวงเฟิงต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

เพราะว่าลูกสาวของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และตอนนี้เธอกลับไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย

และลูกสาวของเธอเองก็ไม่ยอมเปิดปากพูดว่าอีกฝ่ายได้ช่วยเธอไว้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงยิ่งสนใจในตัวของฮวงเฟิงมากขึ้น

“ได้สิ เขาช่วยชีวิตลูกสาวของเราเอาไว้ เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง” พ่อของชิวหนิงช่วงกล่าว

เขาเองรู้สึกสนใจในตัวของฮวงเฟิงอยู่แล้วตั้งแต่ต้น และในตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มคนนี้

“พ่อ ลืมเรื่องนี้ไปซะเถอะ เอาไว้ลูกออกจากโรงพยาบาล แล้วลูกจะไปขอบคุณเขาเอง” ชิวหนิงช่วงกล่าว

เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ว่าพ่อเธอกำลังสงสัยบางอย่าง และฮวงเฟิงก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความลับของเขา

ดังนั้น ชิวหนิงช่วงจึงไม่อยากสร้างปัญหาให้แก่เขาเช่นกัน

“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ? คำขอบคุณของลูกก็เหมือนของพ่อกับแม่ ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ของลูก พวกเราจะต้องขอบคุณเขาสิ” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าวเสียงหนักแน่น

อย่างไรก็ตาม ลึกๆ ในใจแล้ว เธอก็ยังคงต้องการที่เลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ เพราะว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ฮวงเฟิงจะได้มาเจอพ่อแม่ของเธออย่างเป็นทางการ และตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดเช่นไร แต่แค่คิดหน้าของเธอก็เป็นสีแดงระเรื่อซะแล้ว

เมื่อเขาตื่นขึ้นในตอนเช้าของวันที่สอง ความเหนื่อยล้าตามร่างกายของฮวงเฟิงก็ได้หายไปอย่างเป็นปลิดทิ้ง

ขณะที่เขากำลังจะรับประทานอาหารเที่ยงนั้น ฮวงเฟิงก็ได้พบเข้ากับซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวโดยบังเอิญ

ฮวงเฟิงมองพวกเธอจากในระยะไกลก็เห็นว่าสีหน้าของพวกเธอทั้งไม่ค่อยดีนัก และมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีเก้าอี้ว่างแถวๆ นั้นเลย ดังนั้นฮวงเฟิงจึงได้ถือกล่องข้าวกลางวันของเขาไปทางคนทั้งสอง

เมื่อฮวงเฟิงนั่งลงข้างๆ ซูหยูโม่ เขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหลาย

หลายคนมองดูฮวงเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น และบางคนก็จำฮวงเฟิงได้

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวจะทานข้าวด้วยกันที่ห้องอาหารเป็นปกติอยู่แล้ว แต่พวกเธอก็ไม่เคยที่จะนั่งทานข้าวร่วมกับคนอื่น ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่เคยคิดที่จะไปขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเธอเลย

เห็นได้ชัดว่าฮวงเฟิงไม่ทราบถึงเรื่องนี เขาจึงนั่งลงทันทีข้างๆ ทั้งสองคน และโชคดีที่พวกเธอทั้งสองคนไม่ได้สนใจที่จะไล่เขาไป

และแม้แต่ซูหยูโม่เองก็ยังยิ้มให้เขา ขณะที่เซี่ยเมิ่งเจียวนั้นไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรหรือไล่เขาไป

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? เท่าที่เห็นพวกคุณดูไม่ค่อยสดใสเลย เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับงั้นเหรอ?” ฮวงเฟิงถามเรียบๆ ขณะที่เขาทานข้าวไปด้วย

“ไม่ใช่ธุระของนาย” เธออารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรในตอนแรก แต่ในตอนนี้เมื่อเธอเห็นฮวงเฟิง เธอก็รู้สึกเกลียด ดังนั้นเธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก

“เอาล่ะ ผมจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว ผมกินต่อได้หรือยัง?” ฮวงเฟิงไม่ใส่ใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซี่ยเมิ่งเจียวพูดกับเขาแบบนี้

เขาเองก็เริ่มจะชินซะแล้ว

ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาก็เลยไม่ต่อปากต่อคำกับเธออีก เพราะเขารู้ว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี และไม่อยากจะต้องทะเลาะกับเธอ

อย่างไรก็ตามซูหยูโม่เป็นคนแรกที่หัวเราะออกมา และจากนั้นก็พูดกับฮวงเฟิงว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยนะ มันก็แค่เรื่องงานน่ะ”

“พี่หยูโม่ นี่ยังจะหัวเราะได้อีกเหรอ ลูกน้องพวกนี้ช่างเหลือเกินจริงๆ!” เซี่ยเมิ่งเจียวพูดด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว

“เกิดบ้าอะไรขึ้นอีกล่ะ?” ฮวงเฟิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อเห็นว่าเซี่ยเมิ่งเจียวกำลังฉุน เขาจึงได้รีบพูดขึ้นว่า “ผมก็แค่อยากรู้ ผมจะไม่ถามอะไรอีกแล้วล่ะ”

เมื่อฮวงเฟิงพูดจบ สิ่งที่เซี่ยเมิ่งเจียวต้องการพูดก็ติดอยู่ที่ริมฝีปากและจากนั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดอย่างมาก

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ มันก็แค่ปัญหาเล็กๆ” ซูหยูโม่กล่าว

“ลูกน้องที่น่ารำคาญพวกนั้นร่วมมือกันสร้างปัญหาให้กับพวกเรา พี่หยูโม่ คิดว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีการสุมหัวกันที่นี่และการกระทำของพวกเขาก็ช่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวขนาดนั้น” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าว

เมื่อเห็นว่าฮวงเฟิงจ้องมองมาด้วยความสงสัย ซูหยูโม่จึงให้ข้อมูลคร่าวๆ แก่เขาว่าเกิดอะไรขึ้น

กลายเป็นว่าเมื่อเช้านี้ พวกเธอได้รับโทรศัพท์จากซัพพลายเออร์วัตถุดิบทีละรายๆ แจ้งเข้ามาว่าต้องการทีจะเพิ่มราคาสินค้า

นอกจากนี้แม้ว่าราคาจะสูงขึ้น แต่การจัดหาวัสดุบางอย่างในภายหลังอาจจะไม่สูงเหมือนเมื่อก่อน

นอกจากซัพพลายเออร์เหล่านี้แล้ว ยังมีห้างสรรพสินค้าและร้านเสริมสวยบางแห่งในมณฑลชิงที่เรียกร้องและร้องขอเรื่องต่างๆ จุดประสงค์เพื่อสร้างปัญหาให้แก่พวกเธอ

ถ้าเป็นแค่หนึ่งหรือสองตระกูล ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวก็คงจะไม่คิดมาก

แต่เนื่องด้วยคนจำนวนมากที่มารวมตัวกัน จึงทำให้เกิดปัญหา

ทั้งสองสาวได้สะสางงานมาตลอดช่วงเช้า แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอไม่มีอะไรที่จะต้องคิดมาก

“หรือจะเป็นเพราะออคิดบีนกรุ๊ปจากเมื่อครั้งที่แล้ว?” ฮวงเฟิงกล่าวเพราะเขารู้ว่าออคิดบีนกรุ๊ปพยายามที่จะสร้างปัญหาให้แก่เฮฟเว่นส์ไพรด์กรุ๊ปมาโดยตลอด

"นั่นก็เป็นไปได้" ซูหยูโม่กล่าวว่า“ อย่างไรก็ตามคนที่โทรมาหาเราในครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้งเป็นซัพพลายเออร์และห้างสรรพสินค้าใน มณฑลชิง ออคิดบีนกรุ๊ปไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น”

“อาจจะเป็นถงเฉียนจุ้นได้ไหม? เขาไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลชิง แต่เขาก็มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้” ฮวงเฟิงกล่าวเสียงเรียบ

คำพูดของฮวงเฟิงที่ทำให้ทั้งซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวพากันตกตะลึง