ตอนที่ 620

USB:บทที่ 620 เจรจา

เมื่อคืนซั่วไคได้รับแขกสองสามคนซึ่งเขาเองก็ไม่รู้จักในเต็นท์ของเขานั่นเอง คนเหล่านี้บอกว่าพวกเขาเป็นตระกูลคนท้องถิ่นที่อยู่ภายในมณฑลเม่ย และตอนนี้พวกเขาได้มาติดต่อเขา พวกเขาต้องการที่จะร่วมมือกับเขา ทำงานร่วมกับเขาจากภายนอก และช่วยเหลือเขาในการยึดเมืองเหม่ย แน่นอนว่าหลังจากนี้พวกเขาก็ต้องการผลประโยชน์เช่นกัน

ในตอนแรกซั่วไคไม่สนใจเรื่องนี้เลย เพราะในมุมมองของเขา แม้จะปราศจากความช่วยเหลือจากผู้คนที่อยู่ในเมือง เขาก็จะต้องได้รับชัยชนะในการปิดล้อมครั้งนี้อยู่แล้วแต่ถ้าเขารับความช่วยเหลือ หลังจากจบงาน เขาก็จะต้องให้ประโยชน์แก่คนเหล่านั้นเสียอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดผู้ช่วยของเขาก็ได้เกลี้ยกล่อมเขา แม้ว่าพวกเขาจะต้องละทิ้งผลประโยชน์บางอย่าง แต่พวกเขาก็จะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ และผลกำไรของพวกเขาก็ไม่ได้ได้มาง่ายดายขนาดนั้นเช่นกัน ตราบใดที่พวกเขาได้เข้ายึดครองมณฑลเม่ยแล้ว ในอนาคตมณฑลเหม่ยจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาอยู่แล้ว

ในที่สุดซั่วไคก็ยอมทำตามคำแนะนำของผู้ช่วยของเขา เหตุผลหลักเป็นเพราะเขาคิดว่าในเมื่อตัวเขาอยู่ที่นี่ คนเหล่านั้นก็คงจะไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาอะไร

“ท่านแม่ทัพ การโจมตีของพวกเราเมื่อเช้านี้ได้ทำให้พวกมันกลัวแล้ว พวกนั้นได้ส่งข่าวมาว่าคืนนี้พวกเขาจะช่วยพวกเราเปิดประตูทางด้านทิศตะวันออก และเมื่อทำได้สำเร็จแล้วพวกเราก็จะสามารถเข้าเมืองทางนั้นได้” ผู้ช่วยกล่าว

“หรือว่าจะเป็นกลลวง?” ซั่วไคกล่าว

“ไม่น่าจะใช่” ผู้ช่วยกล่าว “จริงๆ แล้วหลังจากที่กองทัพกบฏเหล่านั้นเข้ามาในเมือง พวกเขาก็ไม่ได้จำกัดวิธีการมากนัก นอกจากนี้ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้กองทัพกบฎได้จัดการขั้นเด็ดขาดกับตระกูลหนึ่งในท้องถิ่นที่สนับสนุนพวกเขา หัวหน้าตระกูลถูกฆ่า และครอบครัวก็โดนทำร้ายด้วย ข้าคิดว่าคนพวกนี้กลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพวกเขา ก็เลยหมดความไว้วางใจในกองทัพกบฎเลยติดต่อมาที่พวกเรา”

“ฮึ่ม คนพวกนี้ช่างรู้ใจตัวเองดีจริงๆ” ซั่วไคกล่าวว่า: "อย่างไรก็ตามถ้าพวกเรายึดเมืองนั้นได้แล้ว พวกมันก็จะได้รู้ว่าพวกเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าทหารกบฏเหล่านั้น!"

ซั่วไคปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาค่อนข้างดี แต่สำหรับพ่อค้าที่ร่ำรวยและมีอำนาจเหล่านั้น เขาก็ต้องมีกลเม็ดสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไงแล้วปล่อยให้ลูกน้องทำงานแทนเขางั้นหรือ? อาจกล่าวได้ว่าแม้ว่ากองทัพตะวันตกยังคงอยู่ในนามของกองทัพจักรวรรดิแต่ก็ไม่ได้ต่างจากอาวุธส่วนตัวของเขา

หลายปีมานี้ เพราะความไร้ความสามารถของรัฐบาลจักรวรรดิ หลายสิ่งหลายอย่างได้เกิดขึ้นกับกองทัพที่ไม่สามารถหมุนเงินได้ทันเวลา และกองทัพตะวันตกก็เป็นกองทัพที่ก่อตั้งเมื่อไม่นานมานี้เองตั้งแต่รุ่นย่ารุ่นอา ถ้าซั่วไคไม่ได้ใช้วิธีการของตัวเองเพื่อหาเงินก็ลืมความแข็งแกร่งในการต่อสู้ไปได้เลย แม้ว่ากองทัพตะวันตกจะยังคงอยู่ แต่มันก็คงจะยังมีข้อสงสัย

และทหารเหล่านั้นก็รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนที่ให้เงินแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงยอมสละชีวิตเพื่อซั่วไคและความจงรักภักดีต่อเขานั้นก็เกินกว่าความจงรักภักดีที่มีต่อจักรพรรดิ

ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขายังสนับสนุนให้ซั่วไคพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อขยายกองทัพของเขาเอง นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าโลกที่วุ่นวายนี้ได้มาถึงแล้ว และในโลกที่วุ่นวายนี้ต้องมีเพียงความแข็งแกร่งที่เพียงพออยู่ในมือเท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้และมีชีวิตที่ดีขึ้น

“พอแล้วล่ะ เจ้าควรลงไปพักผ่อนเสียที เนื่องจากเราได้รับความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นแล้ว เราจะไม่โจมตีเมืองในตอนบ่ายวันนี้ รอให้ถึงเวลานั้นเสียก่อนเถอะ” ซั่วไคกล่าวกับผู้ช่วยของเขา

หลังจากนั้นผู้ช่วยก็จากไป และทั้งค่ายก็เงียบสงัดลง

พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ถ้าอีกฝ่ายโจมตีเมืองอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขากำลังสงสัยก็คือว่ากองทัพตะวันตกดูเหมือนจะไม่มีเจตนาที่จะทำลายมณฑลเม่ยในคราวเดียว

ส่วนบรรดาผู้นำทั้งหลาย เมื่อเห็นว่ากองทัพตะวันตกไม่เข้าโจมตีเมืองตลอดทั้งบ่าย พวกเขาก็โล่งใจ มีหลายคนที่มองโลกในแง่ดี โดยเชื่อว่าพวกเขายังคงครองเมืองเอาไว้ได้ และเนื่องจากการโจมตีในตอนเช้า การสูญเสียของกองทัพตะวันตกถึงขึ้นรุนแรง ชีวิตของคนพวกนั้นมีค่ามากกว่าของพวกเขานัก ซึ่งมีแนวโน้มว่าผู้นำของกองทัพตะวันตกคงจะไม่สามารถทนต่อการสูญเสียดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาล้มเลิกการโจมตีเมือง

“เป็นอย่างที่ข้าพูด พวกเราน่าจะจะสามารถป้องกันเมืองเอาไว้ได้แล้ว ไอ้พวกนอกรีตจากราชสำนักนั่น ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วล่ะ”

“ถูกต้อง โชคดีที่เราไม่ได้รายงานหัวหน้าก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้น เราจะถูกดุโดยเปล่าประโยชน์”

“ข้าคิดว่าขุนนางของกองทัพตะวันตกคงจะกลัวพวกเราจนหัวหดหมดแล้วล่ะ และอาจจะต้องล่าถอยกลับไปในวันพรุ่งนี้”

“ตัวข้าคิดว่าพวกเขาคงจะต้องถอยทัพกลับไปในคืนนี้”

บรรดาผู้นำกองทัพพันธมิตรทั้งหลายต่างก็พากันมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน พวกเขารู้สึกว่าความมุ่งมั่นและความกล้าหาญในการต่อสู้จนสามารถตายได้ทำให้ทหารของกองทัพตะวันตกหวาดกลัวเสียแล้ว และในไม่ช้าพวกเขาก็จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และการล้อมกรอบของมณฑลเม่ยจะได้รับการแก้ไข

อย่างไรก็ตามฮวงเฟิงและซูเป่ยไม่ได้มองโลกในแง่ดีเช่นเดียวกันกับผู้นำเหล่านั้น ยิ่งกองทัพตะวันตกผิดปกติมากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น ถ้ากองทัพตะวันตกเข้าโจมตีอีกครั้ง ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ตอนนี้พวกเขากลับนิ่งเฉยอยู่ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะทั้งสองคนไม่คิดว่ากองทัพตะวันตกจะกลัวและไม่กล้าเข้าโจมตี

"ดูเหมือนว่าคืนนี้จะไม่สงบสุขเกินไปนักหรอกนะ" ซูเป่ยคร่ำครวญ

ตอนนี้เขาเองก็เหมือนกับฮวงเฟิง เขาเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นในคืนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้หัวหน้าใหญ่ทำการสอบสวนได้ และในเวลานี้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือปกป้องตัวเองและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

“แม่ทัพซู คนของข้าได้เข้าควบคุมประตูทางทิศตะวันตกเอาไว้แล้ว ทันทีที่คนจากรัฐบาลจักรวรรดิมาทางนี้ พวกเราก็จะสามารถออกไปได้ทันที” หวังต้าหนิวกล่าว

หวังต้าหนิวนั้นได้ตกลงที่จะเข้าข้างซูเป่ยแล้ว ดังนั้นซูเป่ยจึงไม่ได้เห็นเขาในการสู้รบแต่ในเวลานี้เขาได้ถูกย้ายมาอยู่ข้างๆ เขาแล้ว

ซูเป่ยพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่เขาจะพาไปด้วย

เมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง กองทัพของจักรวรรดิก็ยังไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ และกองกำลังพันธมิตรที่กำแพงเมืองจึงผ่อนคลายมากขึ้น ในสายตาของพวกเขา กองทัพตะวันตกคงจะไม่เข้าโจมตีอีกต่อไปซึ่งอย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้

ผู้นำกองทัพพันธมิตรบางคนถึงกับคิดว่าควรใช้เวลาในช่วงกลางคืนแอบขโมยของในค่ายอื่นหรือไม่ แต่พวกเขาก็ถูกปฏิเสธทันที แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องการที่จะทำตามก็ตาม เพราะกองทัพตะวันตกนี้แข็งแกร่งกว่าครั้งที่แล้วมาก ยิ่งไปกว่านั้นคราวที่แล้วพวกเขาก็ประสบกับความสูญเสียซึงมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่เตรียมพร้อมในครั้งนี้ ท่านแม่ทัพในครั้งนี้จะต้องไม่ประมาทเหมือนครั้งที่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ ผู้นำของกองทัพพันธมิตรจึงไม่เลือกที่จะออกไปนอกค่าย สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สร้างปัญหาให้กัน แต่ในคืนนี้ศัตรูจะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาแทน