ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
หลังจากเสียงหายไป
เซี่ยงหวู่จี้ก็เดินออกมาจากห้องๆหนึ่ง เขายังคงสวมเสื้อคลุมสีม่วง ผมยาว, หนวดเคราสีขาวรุงรังและมีรอยเปื้อนคราบสมุนไพรและผงแป้ง
เขาไม่ทักทายจี้เทียนซิงแต่กลับมองไปยังใบหน้าของซวนซวนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ใบหน้าที่เคยชราเหี่ยวย่นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋ ? ถูกลงโทษให้กวาดพื้นเหรอคะ ?”
ซวนซวนมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เมื่อนางได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความหดหู่
นางก็แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แต่ก็พยายามข่มเอาไว้
จากนั้นนางก็หยิบกล่องอาหารและเดินไปใต้ชายคาพร้อมกับโค้งคำนับเซี่ยงหวู่จี้ด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า
“อาจารย์ปู่ นี่เป็นของว่างที่ซวนซวนทำมาให้ท่าน
ท่านลองทานดูสิคะ”
เซี่ยงหวู่จี้ยิ้มอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นและรับกล่องอาหารอย่างรวดเร็ว
สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “ไอ้หยา ซวนซวน ตาแก่ผู้นี้ซาบซึ้งน้ำใจเจ้านัก
ไม่เพียงแค่มาเยี่ยมข้าบ่อยครั้งแต่ยังนำของฝากติดไม้ติดมือมาตลอด ข้าชอบกินของว่างฝีมือเจ้ามาก !”
จากนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็หันกลับไปพร้อมกับกล่องของว่าง
ซวนซวนไม่ได้ตามอีกฝ่ายเข้าไป
แต่นั่งบนม้านั่งหินใต้ชายคาบ้านและถามจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้ม “เทียนซิง ท่านต้องทำความสะอาดตำหนักไท่อันกี่วัน ? นี่เป็นความผิดครั้งแรกตั้งแต่เข้านิกายมิใช่หรือ ? พวกเขาไม่น่าลงโทษท่านหนักเช่นนี้”
จี้เทียนซิงมองตาที่กระจ่างใสของนางและสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงกังวล
ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าหากเขาพูดไปตามจริงว่าตนเองถูกใส่ความ
ซวนซวนจะยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่อธิบายอะไรให้มากความและกล่าวว่า
“หนึ่งเดือน ข้าทำผิดกฎนิกายเลยถูกลงโทษ
เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก ต่อไปข้าจะไม่ทำอีก”
“ข้าเชื่อในตัวท่าน” ซวนซวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและไม่ซักไซ้อีก
เมื่อนางเหลือบไปเห็นตำรับพันโอสถในมือของจี้เทียนซิงก็เอ่ยถามว่า
“ครูฝึกฮั่นให้ท่านเรียนรู้การจัดเตรียมสมุนไพรและจ่ายยาใช่ไหม
?”
“ใช่แล้ว”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวต่อไป “สัปดาห์นี้ข้าต้องเรียนการคัดแยกสมุนไพรและการจ่ายยา ปลายเดือนข้าต้องประเมินการปรุงยาแล้ว"
ตาคู่งามของซวนซวนกลอกไปมาและยิ้มพลางกล่าวว่า
“ท่านต้องทำความสะอาดวังไท่อันพร้อมกับศึกษาตำราไปด้วย
ข้าเกรงว่าเป็นการยากที่ท่านจะประสบความสำเร็จ”
“หากท่านสงสัยอะไรก็ถามข้ามาได้เลย
ข้าเคยเรียนรู้พวกมันมาก่อน”
จี้เทียนซิงยิ้มและกล่าวว่า
“งั้นก็ขอบคุณศิษย์น้องซวนซวนล่วงหน้าแล้ว”
“อย่าได้เกรงใจ” ซวนซวนพยักหน้าเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ในเวลานี้เองเซี่ยงหวู่จี้ก็เดินออกมาจากห้องและมาหยุดเบื้องหน้าซวนซวนพลางกล่าวว่า
“ซวนซวนน้อย ให้อาจารย์ปู่ดูอาการของเจ้าหน่อย
ดีขึ้นบ้างหรือยัง ?”
ซวนซวนพยักหน้าอย่างอ่อนโยนและยื่นมือขวาออกมา เซี่ยงหวู่เหยียดนิ้วสองนิ้วออกไปสัมผัสชีพจรของนางเพื่อตรวจดูอาการ
จี้เทียนซิงยืนขึ้นและมองดูเงียบๆ
ในใจรู้สึกงุนงงและเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
“ศิษย์น้องซวนซวนดูอ่อนโยนเรียบร้อยและจิตใจดีงาม
นางป่วยได้อย่างไร ?”
“นางไม่ค่อยสบายแต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยและคิดจะช่วยข้าอีกหรือ
?”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
เซี่ยงหวู่จี้ก็ถอนนิ้วออกและมีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้า
“อืม ไม่เลวเลย !”
“ในช่วงสองเดือนมานี้อาการเจ้าดีขึ้นตามลำดับจนใกล้จะหายขาดแล้ว
พิษเยือกเย็นในร่างถูกขจัดออกไปโดยสมบูรณ์แล้ว”
“ข้าคิดไม่ถึงเลย แม้แต่สมุนไพรวิญญาณจำนวนมากในสวนของตาแก่ผู้นี้ก็ยังไม่อาจรักษาอาการของเจ้าได้ แต่เพียงแค่ใช้ดอกไม้ดาราแดงก็จัดการปัญหานี้ได้หมดสิ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ต่อไปนี้เจ้าก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากพิษเยือกเย็นอีกแล้วนะซวนซวนน้อย.....”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้
สีหน้าของจี้เทียนซิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวและในที่สุดก็ประติดประต่อเรื่องราวได้
“ที่แท้ศิษย์น้องซวนซวนก็ต้องพิษเยือกเย็นและมีเพียงดอกไม้ดาราแดงเท่านั้นที่สามารถช่วยขจัดพิษให้นางได้
!”
“ดังนั้น เมื่อหยุนเหยาได้ดอกไม้ดาราแดงที่แบ่งกับข้าไปคนละส่วน
นางก็ใช้มันเพื่อรักษาศิษย์น้องซวนซวน !”
“ร่างของข้ากับนางได้ดูดซับพลังของดอกไม้ดาราแดงเข้าไป
ไม่แปลกเลยว่าทำไมตอนพบนางครั้งแรกข้าถึงได้รู้สึกกระสับกระส่ายและอยากใกล้ชิดผูกพันกับนางขนาดนั้น....
”
“ปรากฎว่าเราทั้งคู่มีชะตากรรมเช่นนี้!”
ในที่สุดจี้เทียนซิงก็เข้าใจเหตุผลของหยุนเหยา
และคาดเดาว่านางกับซวนซวนจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันอย่างมาก
หลังจากตรวจอาการของซวนซวนแล้ว
เซี่ยงหวู่จี้ก็พูดคุยอยู่หลายคำจากนั้นก็กลับไปในห้องโอสถเพื่อทำงานต่อ
เดิมทีเขาต้องการให้ซวนซวนติดตามไปที่ห้องโอสถด้วยกันเพื่อช่วยเขาดูเตาปรุงยาและฝึกฝนการหลอมโอสถต่อ อย่างไรก็ตาม ซวนซวนปฏิเสธไปเพราะนางต้องการใช้เวลาอธิบายเนื้อหาในตำรับพันโอสถให้แก่จี้เทียนซิง
ด้วยความช่วยเหลือของซวนซวนทำให้จี้เทียนซิงไม่ต้องคอยเปิดอ่านตำรับพันโอสถอีกต่อ
และช่วยประหยัดเวลาเขาได้มาก
ในขณะที่มือของจี้เทียนซิงทำความสะอาดลานกว้าง
หูของเขาก็ฟังคำอธิบายการจ่ายยาจากปากของซวนซวน
ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้เขาเรียนรู้ได้ละเอียดยิ่งกว่าการศึกษาด้วยตัวเอง
ยามบ่ายผ่านไปโดยไม่รู้ตัวจนมาถึงช่วงเย็น
หลังพระอาทิตย์ตกดิน
จี้เทียนซิงกับซวนซวนก็เดินออกจากตำหนักไท่อันเพื่อกลับไปยังที่พักของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม
ทั้งสองเพิ่งเดินออกจากประตูตำหนักไท่อันได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกชายหนุ่มหล่อเหลาในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งขวางทางไว้
ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ก็คือศิษย์สายในคนล่าสุดที่เพิ่งเข้านิกายไม่นาน
ลู่หมิงหยาง !
ลู่หมิงหยางถือกล่องไม้จันทน์ไว้ในมือและดูเหมือนจะรออยู่นอกประตูเป็นเวลานานมากแล้ว
เมื่อเห็นซวนซวนเดินออกมาจากประตู
ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขากำลังจะเอ่ยปากพูด
แต่ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นจี้เทียนซิงที่อยู่ข้างๆ
เขาเห็นจี้เทียนซิงและซวนซวนกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่เคียงข้างกันซึ่งทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งค้างทันที ดวงตาหรี่ลงด้วยความหดหู่
ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงและซวนซวนก็ได้เห็นลู่หมิงหยางที่ขวางทางอยู่
ทั้งสองคนหยุดสนทนาและมองไปที่ลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ลู่หมิงหยางเก็บซ่อนแววตาอำมหิตและเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา เขากล่าวกับซวนซวนว่า “ซวนซวน
ข้าทราบมาว่าวันนี้เจ้ามาที่ตำหนักไท่อัน ข้าเลยมารอพบเจ้า นี่เป็นหยกเพลิงพันปีที่ข้าใช้เวลาและความพยายามอย่างมากกว่าจะได้มันมา
ถึงแม้มันจะไม่สามารถขจัดพิษเยือกเย็นในกายของเจ้าได้
แต่มันก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ไม่น้อย”
“ซวนซวน นี่คือความจริงใจของข้า เจ้าสมควรรับมันไว้”
ลู่หมิงหยางมั่นใจอย่างมากกับการอุทิศความพยายามต่อนางในครั้งนี้
เขากล่าวด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่สง่างาม
อย่างไรก็ตาม
ซวนซวนไม่สนใจคำพูดของเขา
หลังจากลู่หมิงหยางกล่าวจบ
นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านเก็บของของท่านกลับไปเถอะ
ข้าไม่รับของขวัญจากท่านหรอก”
“อีกอย่าง พิษเยือกเย็นในร่างกายของข้าถูกขจัดออกไปหมดแล้ว
ข้ามิต้องรบกวนท่าน”
จากนั้นนางก็หันไปมองจี้เทียนซิง
กล่าวอำลาลู่หมิงหยางด้วยรอยยิ้มและจากไปอย่างรวดเร็ว
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved