ตอนที่ 111

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

หลังจากเสียงหายไป

เซี่ยงหวู่จี้ก็เดินออกมาจากห้องๆหนึ่ง เขายังคงสวมเสื้อคลุมสีม่วง ผมยาว, หนวดเคราสีขาวรุงรังและมีรอยเปื้อนคราบสมุนไพรและผงแป้ง

เขาไม่ทักทายจี้เทียนซิงแต่กลับมองไปยังใบหน้าของซวนซวนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข  ใบหน้าที่เคยชราเหี่ยวย่นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋ ?  ถูกลงโทษให้กวาดพื้นเหรอคะ ?”

ซวนซวนมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เมื่อนางได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความหดหู่

นางก็แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แต่ก็พยายามข่มเอาไว้

จากนั้นนางก็หยิบกล่องอาหารและเดินไปใต้ชายคาพร้อมกับโค้งคำนับเซี่ยงหวู่จี้ด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า

“อาจารย์ปู่ นี่เป็นของว่างที่ซวนซวนทำมาให้ท่าน

ท่านลองทานดูสิคะ”

เซี่ยงหวู่จี้ยิ้มอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นและรับกล่องอาหารอย่างรวดเร็ว

สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “ไอ้หยา ซวนซวน ตาแก่ผู้นี้ซาบซึ้งน้ำใจเจ้านัก

ไม่เพียงแค่มาเยี่ยมข้าบ่อยครั้งแต่ยังนำของฝากติดไม้ติดมือมาตลอด  ข้าชอบกินของว่างฝีมือเจ้ามาก !”

จากนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็หันกลับไปพร้อมกับกล่องของว่าง

ซวนซวนไม่ได้ตามอีกฝ่ายเข้าไป

แต่นั่งบนม้านั่งหินใต้ชายคาบ้านและถามจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้ม “เทียนซิง ท่านต้องทำความสะอาดตำหนักไท่อันกี่วัน ? นี่เป็นความผิดครั้งแรกตั้งแต่เข้านิกายมิใช่หรือ ? พวกเขาไม่น่าลงโทษท่านหนักเช่นนี้”

จี้เทียนซิงมองตาที่กระจ่างใสของนางและสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงกังวล

ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าหากเขาพูดไปตามจริงว่าตนเองถูกใส่ความ

ซวนซวนจะยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่อธิบายอะไรให้มากความและกล่าวว่า

“หนึ่งเดือน ข้าทำผิดกฎนิกายเลยถูกลงโทษ

เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก ต่อไปข้าจะไม่ทำอีก”

“ข้าเชื่อในตัวท่าน” ซวนซวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและไม่ซักไซ้อีก

เมื่อนางเหลือบไปเห็นตำรับพันโอสถในมือของจี้เทียนซิงก็เอ่ยถามว่า

“ครูฝึกฮั่นให้ท่านเรียนรู้การจัดเตรียมสมุนไพรและจ่ายยาใช่ไหม

?”

“ใช่แล้ว”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวต่อไป “สัปดาห์นี้ข้าต้องเรียนการคัดแยกสมุนไพรและการจ่ายยา  ปลายเดือนข้าต้องประเมินการปรุงยาแล้ว"

ตาคู่งามของซวนซวนกลอกไปมาและยิ้มพลางกล่าวว่า

“ท่านต้องทำความสะอาดวังไท่อันพร้อมกับศึกษาตำราไปด้วย

ข้าเกรงว่าเป็นการยากที่ท่านจะประสบความสำเร็จ”

“หากท่านสงสัยอะไรก็ถามข้ามาได้เลย

ข้าเคยเรียนรู้พวกมันมาก่อน”

จี้เทียนซิงยิ้มและกล่าวว่า

“งั้นก็ขอบคุณศิษย์น้องซวนซวนล่วงหน้าแล้ว”

“อย่าได้เกรงใจ” ซวนซวนพยักหน้าเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน

ในเวลานี้เองเซี่ยงหวู่จี้ก็เดินออกมาจากห้องและมาหยุดเบื้องหน้าซวนซวนพลางกล่าวว่า

“ซวนซวนน้อย ให้อาจารย์ปู่ดูอาการของเจ้าหน่อย

ดีขึ้นบ้างหรือยัง ?”

ซวนซวนพยักหน้าอย่างอ่อนโยนและยื่นมือขวาออกมา  เซี่ยงหวู่เหยียดนิ้วสองนิ้วออกไปสัมผัสชีพจรของนางเพื่อตรวจดูอาการ

จี้เทียนซิงยืนขึ้นและมองดูเงียบๆ

ในใจรู้สึกงุนงงและเต็มไปด้วยความคิดมากมาย

“ศิษย์น้องซวนซวนดูอ่อนโยนเรียบร้อยและจิตใจดีงาม

นางป่วยได้อย่างไร ?”

“นางไม่ค่อยสบายแต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยและคิดจะช่วยข้าอีกหรือ

?”

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

เซี่ยงหวู่จี้ก็ถอนนิ้วออกและมีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้า

“อืม ไม่เลวเลย !”

“ในช่วงสองเดือนมานี้อาการเจ้าดีขึ้นตามลำดับจนใกล้จะหายขาดแล้ว

พิษเยือกเย็นในร่างถูกขจัดออกไปโดยสมบูรณ์แล้ว”

“ข้าคิดไม่ถึงเลย แม้แต่สมุนไพรวิญญาณจำนวนมากในสวนของตาแก่ผู้นี้ก็ยังไม่อาจรักษาอาการของเจ้าได้  แต่เพียงแค่ใช้ดอกไม้ดาราแดงก็จัดการปัญหานี้ได้หมดสิ้นอย่างน่าอัศจรรย์   ต่อไปนี้เจ้าก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากพิษเยือกเย็นอีกแล้วนะซวนซวนน้อย.....”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้

สีหน้าของจี้เทียนซิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวและในที่สุดก็ประติดประต่อเรื่องราวได้

“ที่แท้ศิษย์น้องซวนซวนก็ต้องพิษเยือกเย็นและมีเพียงดอกไม้ดาราแดงเท่านั้นที่สามารถช่วยขจัดพิษให้นางได้

!”

“ดังนั้น เมื่อหยุนเหยาได้ดอกไม้ดาราแดงที่แบ่งกับข้าไปคนละส่วน

นางก็ใช้มันเพื่อรักษาศิษย์น้องซวนซวน !”

“ร่างของข้ากับนางได้ดูดซับพลังของดอกไม้ดาราแดงเข้าไป

ไม่แปลกเลยว่าทำไมตอนพบนางครั้งแรกข้าถึงได้รู้สึกกระสับกระส่ายและอยากใกล้ชิดผูกพันกับนางขนาดนั้น....

“ปรากฎว่าเราทั้งคู่มีชะตากรรมเช่นนี้!”

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็เข้าใจเหตุผลของหยุนเหยา

และคาดเดาว่านางกับซวนซวนจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันอย่างมาก

หลังจากตรวจอาการของซวนซวนแล้ว

เซี่ยงหวู่จี้ก็พูดคุยอยู่หลายคำจากนั้นก็กลับไปในห้องโอสถเพื่อทำงานต่อ

เดิมทีเขาต้องการให้ซวนซวนติดตามไปที่ห้องโอสถด้วยกันเพื่อช่วยเขาดูเตาปรุงยาและฝึกฝนการหลอมโอสถต่อ อย่างไรก็ตาม ซวนซวนปฏิเสธไปเพราะนางต้องการใช้เวลาอธิบายเนื้อหาในตำรับพันโอสถให้แก่จี้เทียนซิง

ด้วยความช่วยเหลือของซวนซวนทำให้จี้เทียนซิงไม่ต้องคอยเปิดอ่านตำรับพันโอสถอีกต่อ

และช่วยประหยัดเวลาเขาได้มาก

ในขณะที่มือของจี้เทียนซิงทำความสะอาดลานกว้าง

หูของเขาก็ฟังคำอธิบายการจ่ายยาจากปากของซวนซวน

ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้เขาเรียนรู้ได้ละเอียดยิ่งกว่าการศึกษาด้วยตัวเอง

ยามบ่ายผ่านไปโดยไม่รู้ตัวจนมาถึงช่วงเย็น

หลังพระอาทิตย์ตกดิน

จี้เทียนซิงกับซวนซวนก็เดินออกจากตำหนักไท่อันเพื่อกลับไปยังที่พักของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม

ทั้งสองเพิ่งเดินออกจากประตูตำหนักไท่อันได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกชายหนุ่มหล่อเหลาในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งขวางทางไว้

ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ก็คือศิษย์สายในคนล่าสุดที่เพิ่งเข้านิกายไม่นาน

ลู่หมิงหยาง !

ลู่หมิงหยางถือกล่องไม้จันทน์ไว้ในมือและดูเหมือนจะรออยู่นอกประตูเป็นเวลานานมากแล้ว

เมื่อเห็นซวนซวนเดินออกมาจากประตู

ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขากำลังจะเอ่ยปากพูด

แต่ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นจี้เทียนซิงที่อยู่ข้างๆ

เขาเห็นจี้เทียนซิงและซวนซวนกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่เคียงข้างกันซึ่งทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งค้างทันที  ดวงตาหรี่ลงด้วยความหดหู่

ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงและซวนซวนก็ได้เห็นลู่หมิงหยางที่ขวางทางอยู่

ทั้งสองคนหยุดสนทนาและมองไปที่ลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ลู่หมิงหยางเก็บซ่อนแววตาอำมหิตและเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา เขากล่าวกับซวนซวนว่า “ซวนซวน

ข้าทราบมาว่าวันนี้เจ้ามาที่ตำหนักไท่อัน ข้าเลยมารอพบเจ้า  นี่เป็นหยกเพลิงพันปีที่ข้าใช้เวลาและความพยายามอย่างมากกว่าจะได้มันมา

ถึงแม้มันจะไม่สามารถขจัดพิษเยือกเย็นในกายของเจ้าได้

แต่มันก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ไม่น้อย”

“ซวนซวน นี่คือความจริงใจของข้า เจ้าสมควรรับมันไว้”

ลู่หมิงหยางมั่นใจอย่างมากกับการอุทิศความพยายามต่อนางในครั้งนี้

เขากล่าวด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่สง่างาม

อย่างไรก็ตาม

ซวนซวนไม่สนใจคำพูดของเขา

หลังจากลู่หมิงหยางกล่าวจบ

นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านเก็บของของท่านกลับไปเถอะ

ข้าไม่รับของขวัญจากท่านหรอก”

“อีกอย่าง พิษเยือกเย็นในร่างกายของข้าถูกขจัดออกไปหมดแล้ว

ข้ามิต้องรบกวนท่าน”

จากนั้นนางก็หันไปมองจี้เทียนซิง

กล่าวอำลาลู่หมิงหยางด้วยรอยยิ้มและจากไปอย่างรวดเร็ว