ตอนที่ 364 มนุษย์หรือเทพ ?

บุคลผู้แข็งแกร่งในระดับปราณฟ้าขึ้นไปจะสามารถควบคุมพลังปราณของธาตุทั้งห้าและยังสามารถบินบนท้องฟ้าได้

ควบแน่นปีกด้วยปราณแท้เพื่อโผบินไปบนเวหา

ดูดซับปราณปฐพีเพื่อบดขยี้หินผาให้แบนราบ

ทว่า จี้เทียนซิงและหยุนเหยายังไม่มีพลังถึงระดับปราณฟ้า

พวกเขาไม่สามารถบินบนท้องฟ้าหรือบดขยี้หินผาได้

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสามารถใช้ประโยชน์จากยันต์ระดับล้ำลึกขั้นสูง

มันมีความสามารถในการทำลายก้อนหินขนาดใหญ่และอื่นๆได้ในเวลาอันสั้น

เมื่อพวกเขาอัดปราณแท้เข้าไปในยันต์ทลายปฐพี

อาคมที่ร่ายไว้บนนั้นก็จุดประกายเปลวไฟสีเหลืองของธาตุปฐพีในทันที จากนั้นก็เปลี่ยนมันเป็นเถ้าสีดำ

"ฟู่ ฟู่ !"

แสงสีเหลืองเข้มของปราณแท้ธาตุปฐพีห่อหุ้มร่างทั้งสองไว้ในทันที

มันควบแน่นเป็นเข็มยาวสามเมตรและพันร่างพวกเขาไว้

"เทียนซิง ตามข้ามา !"

หยุนเหยาเรียกร้องจี้เทียนซิงผ่านสัมผัสญาณ

จากนั้นก็ควบคุมแท่งเข็มสีเหลืองเข้ม ผลักลงไปที่พื้นดิน (น่าจะคล้ายๆสว่านเจาะดิน)

จี้เทียนซิงพยักหน้ารับคำและติดตามตามนาง

ดำดิ่งลงสู่พื้นดิน

หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยลมหายใจ

ทั้งสองก็เจาะลึกลงไปในดินกว่าร้อยเมตร

ในเวลานี้เองหยุนเหยาใช้สัมผัสญาณตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ 50 เมตร จากนั้นก็นำทางจี้เทียนไปทางทิศเหนือ

สัมผัสญาณของจี้เทียนซิงมีรัศมีครอบคลุมเพียง

10 เมตร ในขณะที่หยุนเหยามีระดับสูงกว่า นางสามารถสำรวจพื้นที่เบื้องหน้ากว่า 50

เมตรได้

ในไม่ช้าทั้งสองก็ทะลุผ่านเข้ามาและเห็นได้ชัดว่ามีทางเดินอันมืดมิดอยู่ใต้ฝ่าเท้า

ซึ่งเป็นหนึ่งในทางเดินของหลุมฝังศพ

ทางเดินนี้มีความสูงมากกว่าสามเมตรและกว้างสองเมตร

พื้นดินและกำแพงทำจากหินสีดำ อากาศดูแห้งแล้งและอึดอัด

"เทียนซิง

อากาศภายในหลุมฝังศพไม่ได้หมุนเวียนถ่ายเทมานานนับพันปี

มันเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อร่างกาย จงระวังให้มาก"

หยุนเหยากลั้นลมหายใจของนางทันทีและส่งเสียงเตือนจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงพยักหน้าตอบกลับและเดินลึกเข้าไปในความมืดที่ปกคลุมตลอดทาง

เส้นทางมีความยาว 100 เมตร ทั้งสองใช้เวลาเดินกว่าร้อยก้าวก่อนจะมาถึงสุดทาง

โชคดีที่ไม่มีอาวุธลับหรือกับดักภายในอุโมงค์

ทั้งสองจึงไม่ไม่มีอันตรายใดๆ

จี้เทียนซิงคิดในใจว่า

"สุสานแห่งนี้ได้รับการปกป้องจากการก่อตัวของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ซึ่งมีความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง  คงไม่จำเป็นต้องออกแบบอาวุธลับซุกซ่อนอยู่ในหลุมฝังศพ"

"นอกจากนี้ผู้ที่สามารถทำลายหรือยับยั้งการทำงานของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ได้  อาวุธลับและกับดักจะหยุดคนผู้นั้นได้หรือ ?"

หยุนเหยาเดินไปข้างหน้าแผ่สัมผัสญาณครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ

50 เมตร สอดส่องไปทั่วอย่างตั้งใจ

นางเห็นว่าที่สุดทางเดินมีทางแยกสองทาง

นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นำจี้เทียนซิงไปทางขวา

ทั้งสองเดินต่อไปตามทางเดินสีดำอีกไม่ไกลนักก็พบทางแยกอีกหลายแห่ง

ภายในหลุมฝังศพนี้เต็มไปด้วยเส้นทางอันซับซ้อนราวกับเขาวงกต

ถึงแม้ภายในนี้จะไม่มีอาวุธลับหรือกับดักใดๆ

แต่เส้นทางอันสลับซับซ้อนก็ราวกับวงกตชวนให้ผู้คนเวียนหัวและสับสนจนมิอาจแยกเหนือใต้ออกตกได้

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาหยุดวิเคราะห์อยู่พักหนึ่งในทุกๆครั้งที่เดินผ่านทางแยกและช่องทาง

เนื่องจากช่องทางเหล่านี้นำมาซึ่งผลกระทบของข่ายอาคมลวงตา

ก่อตัวขึ้นเป็นเส้นทางวงกตอันสลับซับซ้อน

จี้เทียนซิงต้องอาศัยความสามารถและพรสวรรค์ทางด้านข่ายอาคมในการวิเคราะห์และแยกแยะเส้นทางแต่ละสาย  จนกระทั่งหลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามเขาก็หาเส้นทางที่ถูกต้องจากหลายร้อยเส้นทางได้ในที่สุด  นำพาหยุนเหยามาสู่ห้องโถงอันมืดมิดและว่างเปล่าห้องหนึ่ง

นี่คือห้องโถงยาว 100 เมตรที่ทั้งมืดมิดและจืดชืด

บรรยากาศแสนจะอึมครึมและเงียบสงัด

พื้นของห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยหินชนวนสีดำและมุมห้องโถงทั้งสี่มีรูปปั้นสัตว์แปลกๆสี่ตัว

รูปปั้นของสัตว์ประหลาดเหล่านี้ แต่ละตัวมีความสูงสิบเมตรเผยให้เห็นความยิ่งใหญ่สง่างาม

สัตว์ร้ายที่มุมทางทิศตะวันออกมีลักษณะเหมือนกวางและมีเขา

แต่ใบหน้าและปากของมันดูเหมือนเสือ

รูปปั้นทางทิศตะวันตกเป็นสีทองเข้ม

ลำตัวเหมือนเสือแต่มีใบหน้าเป็นมนุษย์

ทางทิศเหนือเป็นมังกรสามหัว ส่วนทิศใต้เป็นวิหคขนาดยักษ์ที่มีปีกคู่เหมือนค้างคาว

จี้เทียนซิงเห็นได้ชัดเจนว่ารูปปั้นสัตว์ประหลาดทั้งสี่นี้เกี่ยวข้องกับตำนานโบราณ

พวกมันเป็นสัตว์เทพพิทักษ์สุสาน ซึ่งสามารถปกป้องคุ้มครองสุสานและเป็นฮวงจุ้ยแห่งโชคลาภ

ห้องโถงนี้กลมเหมือนชามขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายโดมหลังหนึ่ง

จากโครงสร้างของห้องโถงที่มองจากเพดานและพื้นดิน

จี้เทียนซิงก็สามารถสรุปได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นสุสานหลัก

ท้ายที่สุดแล้วรูปแบบของสถานที่โดยรอบนี้เป็นไปตามความเชื่อและความรู้ของผู้คนในสมัยโบราณเกี่ยวการสวรรค์และโลก

เขาถอนสายตาจากโดมและมองตรงไปที่ที่กลางห้องโถง

ภายในระยะสิบเมตรจากการแผ่สัมผัสวิญญาณ

เขาได้หยิบหินแสงจันทร์ที่มีขนาดเท่าไข่ออกมาจากแหวนมิติ

เพื่อใช้มันส่องสว่างในความมืดเบื้องหน้า

ด้วยแสงสลัวของหินวิญญาณ ทำให้เขาเห็นรูปปั้นหินขนาดใหญ่ที่ยืนอยู่กลางห้องโถงในทันที

แม้ว่าแสงจะสลัวและมีน้อย

แต่มันก็ทำให้เขาเห็นโครงสร้างและรูปร่างของรูปปั้น

มันคือรูปปั้นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ดูโอ่อ่าสง่างามมาก

"ศิษย์พี่ ไปดูข้างหน้ากันเถอะ

แต่ระวังรอบด้วย"

จี้เทียนซิงถือหินแสงจันทร์ส่องสว่างนำทาง

จากนั้นก็นำหยุนเหยาไปที่รูปปั้นขนาดใหญ่

ทั้งสองกลั้นหายใจและเดินไปใต้รูปปั้นอย่างเงียบๆเพื่อเพ่งมองอย่างใกล้ชิด

สิ่งที่ทั้งสองได้เห็นก็คือรูปปั้นหินขนาดใหญ่สูงสิบเมตรที่แกะสลักเป็นชายร่างสูงโปร่งและหล่อคนหนึ่ง

รูปปั้นถูกแกะสลักลงในรายละเอียดที่ดีที่สุดและเหมือนจริงอย่างที่สุดราวกับมีชีวิต

มันแสดงใบหน้าท่าทางและอารมณ์ของบุรุษผู้หนึ่งได้อย่างชัดเจน

บุรุษหนุ่มผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวและเสื้อคลุมสีทองที่ลากยาวจรดพื้น

ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย หล่อเหลาราวเทพบุตรมาจุติ ขนคิ้วชี้ตรงดั่งกระบี่และปลดปล่อยกลิ่นอายไม่ธรรมดาออกมา

เขายืนอยู่เหนือเมฆอย่างหยิ่งผยอง จ้องมองสรรพชีวิตอย่างไม่แยแส

กลิ่นไอที่ปลดปล่อยออกมากดทับผู้คนและเหนือโลกหล้า

นิ้วชี้กับนิ้วกลางแนบชิดกันเป็นท่าทางใช้ดรรชนีกระบี่

อากัปกิริยาของบุรุษหนุ่มรูปงามในรูปปั้นแกะสลักนี้ประดุจดั่งเทพเทวาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์

!

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กระบี่

แต่ทว่าท่วงท่าดรรชนีกระบี่ในมือก็เพียงพอที่จะปลดปล่อยเจตน์กระบี่อันน่าหวาดกลัวออกมาได้แล้ว

มันแผ่ซ่านไอกระบี่ที่ปกคลุมทั่วนภา ฉีกสะบั้นชั้นฟ้า

มันราวกับว่าทุกสิ่งในโลกหล้าอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา

ทุกสิ่งสามารถแปรสภาพเป็นกระบี่วิเศษให้เขากวัดแกว่ง !

จี้เทียนซิงและหยุนเหยามองขึ้นไปที่รูปปั้นและรู้สึกได้ถึงไอกระบี่ที่น่าหวาดหวั่น

ทั้งสองรู้สึกหนาวเย็นจับจิตไปทั่วสรรพางค์กาย

ในใจเต็มไปด้วยความกลัวและตื่นตะลึง

พวกเขาขบคิดในใจว่าบุรุษชุดขาวผู้นี้เป็นมนุษย์หรือเทพกันแน่

?