บุคลผู้แข็งแกร่งในระดับปราณฟ้าขึ้นไปจะสามารถควบคุมพลังปราณของธาตุทั้งห้าและยังสามารถบินบนท้องฟ้าได้
ควบแน่นปีกด้วยปราณแท้เพื่อโผบินไปบนเวหา
ดูดซับปราณปฐพีเพื่อบดขยี้หินผาให้แบนราบ
ทว่า จี้เทียนซิงและหยุนเหยายังไม่มีพลังถึงระดับปราณฟ้า
พวกเขาไม่สามารถบินบนท้องฟ้าหรือบดขยี้หินผาได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสามารถใช้ประโยชน์จากยันต์ระดับล้ำลึกขั้นสูง
มันมีความสามารถในการทำลายก้อนหินขนาดใหญ่และอื่นๆได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อพวกเขาอัดปราณแท้เข้าไปในยันต์ทลายปฐพี
อาคมที่ร่ายไว้บนนั้นก็จุดประกายเปลวไฟสีเหลืองของธาตุปฐพีในทันที จากนั้นก็เปลี่ยนมันเป็นเถ้าสีดำ
"ฟู่ ฟู่ !"
แสงสีเหลืองเข้มของปราณแท้ธาตุปฐพีห่อหุ้มร่างทั้งสองไว้ในทันที
มันควบแน่นเป็นเข็มยาวสามเมตรและพันร่างพวกเขาไว้
"เทียนซิง ตามข้ามา !"
หยุนเหยาเรียกร้องจี้เทียนซิงผ่านสัมผัสญาณ
จากนั้นก็ควบคุมแท่งเข็มสีเหลืองเข้ม ผลักลงไปที่พื้นดิน (น่าจะคล้ายๆสว่านเจาะดิน)
จี้เทียนซิงพยักหน้ารับคำและติดตามตามนาง
ดำดิ่งลงสู่พื้นดิน
หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยลมหายใจ
ทั้งสองก็เจาะลึกลงไปในดินกว่าร้อยเมตร
ในเวลานี้เองหยุนเหยาใช้สัมผัสญาณตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ 50 เมตร จากนั้นก็นำทางจี้เทียนไปทางทิศเหนือ
สัมผัสญาณของจี้เทียนซิงมีรัศมีครอบคลุมเพียง
10 เมตร ในขณะที่หยุนเหยามีระดับสูงกว่า นางสามารถสำรวจพื้นที่เบื้องหน้ากว่า 50
เมตรได้
ในไม่ช้าทั้งสองก็ทะลุผ่านเข้ามาและเห็นได้ชัดว่ามีทางเดินอันมืดมิดอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ซึ่งเป็นหนึ่งในทางเดินของหลุมฝังศพ
ทางเดินนี้มีความสูงมากกว่าสามเมตรและกว้างสองเมตร
พื้นดินและกำแพงทำจากหินสีดำ อากาศดูแห้งแล้งและอึดอัด
"เทียนซิง
อากาศภายในหลุมฝังศพไม่ได้หมุนเวียนถ่ายเทมานานนับพันปี
มันเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อร่างกาย จงระวังให้มาก"
หยุนเหยากลั้นลมหายใจของนางทันทีและส่งเสียงเตือนจี้เทียนซิง
จี้เทียนซิงพยักหน้าตอบกลับและเดินลึกเข้าไปในความมืดที่ปกคลุมตลอดทาง
เส้นทางมีความยาว 100 เมตร ทั้งสองใช้เวลาเดินกว่าร้อยก้าวก่อนจะมาถึงสุดทาง
โชคดีที่ไม่มีอาวุธลับหรือกับดักภายในอุโมงค์
ทั้งสองจึงไม่ไม่มีอันตรายใดๆ
จี้เทียนซิงคิดในใจว่า
"สุสานแห่งนี้ได้รับการปกป้องจากการก่อตัวของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ซึ่งมีความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง คงไม่จำเป็นต้องออกแบบอาวุธลับซุกซ่อนอยู่ในหลุมฝังศพ"
"นอกจากนี้ผู้ที่สามารถทำลายหรือยับยั้งการทำงานของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ได้ อาวุธลับและกับดักจะหยุดคนผู้นั้นได้หรือ ?"
หยุนเหยาเดินไปข้างหน้าแผ่สัมผัสญาณครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ
50 เมตร สอดส่องไปทั่วอย่างตั้งใจ
นางเห็นว่าที่สุดทางเดินมีทางแยกสองทาง
นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นำจี้เทียนซิงไปทางขวา
ทั้งสองเดินต่อไปตามทางเดินสีดำอีกไม่ไกลนักก็พบทางแยกอีกหลายแห่ง
ภายในหลุมฝังศพนี้เต็มไปด้วยเส้นทางอันซับซ้อนราวกับเขาวงกต
ถึงแม้ภายในนี้จะไม่มีอาวุธลับหรือกับดักใดๆ
แต่เส้นทางอันสลับซับซ้อนก็ราวกับวงกตชวนให้ผู้คนเวียนหัวและสับสนจนมิอาจแยกเหนือใต้ออกตกได้
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาหยุดวิเคราะห์อยู่พักหนึ่งในทุกๆครั้งที่เดินผ่านทางแยกและช่องทาง
เนื่องจากช่องทางเหล่านี้นำมาซึ่งผลกระทบของข่ายอาคมลวงตา
ก่อตัวขึ้นเป็นเส้นทางวงกตอันสลับซับซ้อน
จี้เทียนซิงต้องอาศัยความสามารถและพรสวรรค์ทางด้านข่ายอาคมในการวิเคราะห์และแยกแยะเส้นทางแต่ละสาย จนกระทั่งหลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามเขาก็หาเส้นทางที่ถูกต้องจากหลายร้อยเส้นทางได้ในที่สุด นำพาหยุนเหยามาสู่ห้องโถงอันมืดมิดและว่างเปล่าห้องหนึ่ง
นี่คือห้องโถงยาว 100 เมตรที่ทั้งมืดมิดและจืดชืด
บรรยากาศแสนจะอึมครึมและเงียบสงัด
พื้นของห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยหินชนวนสีดำและมุมห้องโถงทั้งสี่มีรูปปั้นสัตว์แปลกๆสี่ตัว
รูปปั้นของสัตว์ประหลาดเหล่านี้ แต่ละตัวมีความสูงสิบเมตรเผยให้เห็นความยิ่งใหญ่สง่างาม
สัตว์ร้ายที่มุมทางทิศตะวันออกมีลักษณะเหมือนกวางและมีเขา
แต่ใบหน้าและปากของมันดูเหมือนเสือ
รูปปั้นทางทิศตะวันตกเป็นสีทองเข้ม
ลำตัวเหมือนเสือแต่มีใบหน้าเป็นมนุษย์
ทางทิศเหนือเป็นมังกรสามหัว ส่วนทิศใต้เป็นวิหคขนาดยักษ์ที่มีปีกคู่เหมือนค้างคาว
จี้เทียนซิงเห็นได้ชัดเจนว่ารูปปั้นสัตว์ประหลาดทั้งสี่นี้เกี่ยวข้องกับตำนานโบราณ
พวกมันเป็นสัตว์เทพพิทักษ์สุสาน ซึ่งสามารถปกป้องคุ้มครองสุสานและเป็นฮวงจุ้ยแห่งโชคลาภ
ห้องโถงนี้กลมเหมือนชามขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายโดมหลังหนึ่ง
จากโครงสร้างของห้องโถงที่มองจากเพดานและพื้นดิน
จี้เทียนซิงก็สามารถสรุปได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นสุสานหลัก
ท้ายที่สุดแล้วรูปแบบของสถานที่โดยรอบนี้เป็นไปตามความเชื่อและความรู้ของผู้คนในสมัยโบราณเกี่ยวการสวรรค์และโลก
เขาถอนสายตาจากโดมและมองตรงไปที่ที่กลางห้องโถง
ภายในระยะสิบเมตรจากการแผ่สัมผัสวิญญาณ
เขาได้หยิบหินแสงจันทร์ที่มีขนาดเท่าไข่ออกมาจากแหวนมิติ
เพื่อใช้มันส่องสว่างในความมืดเบื้องหน้า
ด้วยแสงสลัวของหินวิญญาณ ทำให้เขาเห็นรูปปั้นหินขนาดใหญ่ที่ยืนอยู่กลางห้องโถงในทันที
แม้ว่าแสงจะสลัวและมีน้อย
แต่มันก็ทำให้เขาเห็นโครงสร้างและรูปร่างของรูปปั้น
มันคือรูปปั้นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ดูโอ่อ่าสง่างามมาก
"ศิษย์พี่ ไปดูข้างหน้ากันเถอะ
แต่ระวังรอบด้วย"
จี้เทียนซิงถือหินแสงจันทร์ส่องสว่างนำทาง
จากนั้นก็นำหยุนเหยาไปที่รูปปั้นขนาดใหญ่
ทั้งสองกลั้นหายใจและเดินไปใต้รูปปั้นอย่างเงียบๆเพื่อเพ่งมองอย่างใกล้ชิด
สิ่งที่ทั้งสองได้เห็นก็คือรูปปั้นหินขนาดใหญ่สูงสิบเมตรที่แกะสลักเป็นชายร่างสูงโปร่งและหล่อคนหนึ่ง
รูปปั้นถูกแกะสลักลงในรายละเอียดที่ดีที่สุดและเหมือนจริงอย่างที่สุดราวกับมีชีวิต
มันแสดงใบหน้าท่าทางและอารมณ์ของบุรุษผู้หนึ่งได้อย่างชัดเจน
บุรุษหนุ่มผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวและเสื้อคลุมสีทองที่ลากยาวจรดพื้น
ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย หล่อเหลาราวเทพบุตรมาจุติ ขนคิ้วชี้ตรงดั่งกระบี่และปลดปล่อยกลิ่นอายไม่ธรรมดาออกมา
เขายืนอยู่เหนือเมฆอย่างหยิ่งผยอง จ้องมองสรรพชีวิตอย่างไม่แยแส
กลิ่นไอที่ปลดปล่อยออกมากดทับผู้คนและเหนือโลกหล้า
นิ้วชี้กับนิ้วกลางแนบชิดกันเป็นท่าทางใช้ดรรชนีกระบี่
อากัปกิริยาของบุรุษหนุ่มรูปงามในรูปปั้นแกะสลักนี้ประดุจดั่งเทพเทวาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์
!
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กระบี่
แต่ทว่าท่วงท่าดรรชนีกระบี่ในมือก็เพียงพอที่จะปลดปล่อยเจตน์กระบี่อันน่าหวาดกลัวออกมาได้แล้ว
มันแผ่ซ่านไอกระบี่ที่ปกคลุมทั่วนภา ฉีกสะบั้นชั้นฟ้า
มันราวกับว่าทุกสิ่งในโลกหล้าอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
ทุกสิ่งสามารถแปรสภาพเป็นกระบี่วิเศษให้เขากวัดแกว่ง !
จี้เทียนซิงและหยุนเหยามองขึ้นไปที่รูปปั้นและรู้สึกได้ถึงไอกระบี่ที่น่าหวาดหวั่น
ทั้งสองรู้สึกหนาวเย็นจับจิตไปทั่วสรรพางค์กาย
ในใจเต็มไปด้วยความกลัวและตื่นตะลึง
พวกเขาขบคิดในใจว่าบุรุษชุดขาวผู้นี้เป็นมนุษย์หรือเทพกันแน่
?
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved