หล่นจากฟ้า
จี้เค่อเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อต้องพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ดวงตาของนางทอประกายความโกรธแค้นอย่างรุนแรง
จากนั้นก็เล่าทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบในทันที
“ในวันนั้น
ศิษย์กำลังบ่มเพาะอยู่ในห้องที่หอยุทธ์ไป๋ลู่ ทันใดนั้นศิษย์หญิงผู้หนึ่งก็ส่งจดหมายมาให้ข้า.......”
ผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถและฉู่เทียนเซิงต่างก็รับฟังและมองนางอย่างสงบ
หนึ่งนาทีผ่านไป
จี้เค่อก็กล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น เมื่อกล่าวถึงช่วงเวลาที่นางถูกแทงด้วยกระบี่ของจี้หลิงและถูกเขาผลักตกหน้าผา
นางก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโกรธแค้น หางตาเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
“ข้าคิดไม่ถึงเลย จี้หลิงจะโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ ! เขาเป็นเสด็จอาแท้ๆและเป็นน้องชายของบิดาข้า แต่เขาก็ยังกล้าลงมือต่อข้าอย่างไร้ความปราณี หมูหมายังดีกว่าเขาเสียอีก !”
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากผู้เคราะห์ร้าย
ความจริงก็ชัดเจนแล้ว...
ใบหน้าของฉู่เทียนเซิงดำทะมึน
คิ้วขมวดมุ่นเป็นปม เขายังจดจำคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้เมื่อคืนได้อย่างชัดเจน จี้หลิงมองภายนอกเหมือนเป็นบุรุษผู้สุภาพนอบน้อม
แต่ความจริงแล้วคนผู้นี้เป็นดั่งมารปีศาจ
วันนี้
ความจริงจากปากของจี้เค่อก็เป็นยิ่งกว่าข้อพิสูจน์ว่าจี้หลิงเป็นจอมวายร้ายที่เลือดเย็นและชั่วช้าอำมหิต
!
ฉู่เทียนเซิงต้องยอมรับว่าอาจารย์อาของเขานั้นมองคนได้ลึกซึ้งกว่า
และสามารถมองออกถึงธรรมชาติและจิตใจเบื้องลึกของผู้คน
มาตอนนี้เขาต้องพิจารณาใหม่อีกครั้งแล้วว่า
ความลับภายในถ้ำใต้ดินที่จี้หลิงล่วงรู้
เขาควรจะทำอย่างไร...
ในเวลานี้ผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็ถอนหายใจและปลอบโยนจี้เค่อ เขาเป็นชายชราเคราขาวที่ใจดีและเป็นผู้ที่ที่โอบอ้อมอารีที่สุดในบรรดาอาวุโสของนิกายพันธมิตรสวรรค์
จี้เค่อปาดน้ำตาจากดวงตาและขอบคุณอาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถอย่างจริงใจ
ฉู่เทียนเซิงที่กำลังหลับตาครุ่นคิดเรื่องราวทั้งหมดก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
แววตาของเขาเผยประกายของแผนการบางอย่างออกมา จากนั้นก็กล่าวกับจี้เค่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“จี้เค่อ ข้าประมุขรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว
เจ้าจงพักรักษาตัวต่อไปอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ”
กล่าวจบฉู่เทียนเซิงก็หันหลังเดินออกไป
จี้เค่อเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเต็มใจ
นางรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านประมุข จี้หลิงเป็นคนชั่วช้า
ท่านไม่ควรละเว้นเขา ! ส่วนพี่ใหญ่เทียนซิง...
ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกลงโทษและถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬ นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว
ข้าไม่รู้ว่าเขาจะทรมานเพียงใด... ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ !”
อย่างไรก็ตาม
คำพูดของนางไม่ได้ทำให้ฉู่เทียนเซิงหันหลังกลับ เขาเดินออกไปราวกับไม่สนใจ
จี้เค่อแสดงสีหน้าผิดหวังและกังวล
นางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
ผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถรีบปลอบใจนางอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “แม่หนูน้อย เจ้าไม่ต้องกังวล นิกายเรามีกฎ
ท่านประมุขย่อมตัดสินอย่างตรงไปตรงมาตามกฏของนิกายและไม่เข้าข้างผู้ใดแน่นอน”
ถึงแม้ว่าจี้เค่อจะยังไม่คลายกังวล
แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าน้อยๆ ตอนนี้นางทำได้เพียงสวดอ้อนวอนอย่างเงียบงันเท่านั้น
หวังว่าจี้เทียนซิงจะได้รับการปล่อยตัว
......
ฉู่เทียนเซิงกลับมายังตำหนักฉิงเทียนและเรียกหยุนเหยากับอาวุโสแห่งหอบัญญัติเข้าพบ
เมื่อทั้งสองมาถึง
ฉู่เทียนเซิงก็ออกคำสั่งทันที
“อาวุโสหวง ท่านไปพาตัวจี้หลิงและศิษย์ในเหตุการณ์อีกสองคนมาที่นี่ทันที ข้าประมุขจะตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเอง !”
“ส่วนเจ้า หยุนเหยา เจ้าไปที่ถ้ำวายุทมิฬเพื่อพาตัวจี้เทียนซิงมาที่นี่
ข้าจะล้างมลทินให้เขา เขาเป็นผู้บริสุทธิ์”
อาวุโสหวงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เขากำหมัดคารวะและหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ของตำหนักฉิงเทียนเพื่อดำเนินการตามคำสั่ง
หยุนเหยาเงียบไปพักหนึ่งและถามฉู่เทียนเซิงด้วยความสับสน
“ท่านอาจารย์คะ จี้เค่อฟื้นแล้ว ? ท่านทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ?”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนนี้ศิษย์ผู้นั้นฟื้นแล้ว
ข้าไปสอบถามนางด้วยตัวเองที่หอวิญญาณโอสถ”
หยุนเหยาพยักหน้าและถามอีกครั้งว่า
“เมื่อคืนท่านอาจารย์พาจี้หลิงเข้าไปในถ้ำใต้ดิน
หากศิษย์เดาไม่ผิด เขาล้มเหลวในการเคลื่อนอาคมใช่ไหมคะ ?”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์
“ถูกต้อง เขาไม่ใช่ผู้ท้าทายชะตาสวรรค์ที่แท้จริง
แต่แผนที่ดวงดาวบอกกับข้าว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ภายในนิกายของเรา
ข้ากำลังส่งคนไปสืบหาตัวบุคลผู้นั้นอยู่”
ดวงตาของหยุนเหยาเปล่งประกายสีสัน
หัวใจของนางเหมือนเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง อย่างไรก็ตามนางเป็นคนใจเย็นและรอบคอบอยู่เสมอ
ถึงแม้ในใจจะมีคำตอบนานแล้ว แต่เมื่อยังไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนนางก็ไม่คิดที่จะบอกต่อฉู่เทียนเซิงในตอนนี้
“เช่นนั้น ศิษย์ขอตัว”
หลังจากยอบกายคารวะฉู่เทียนเซิง
หยุนเหยาก็เดินออกจากห้องโถงตำหนักฉิงเทียนและรีบไปยังถ้ำวายุทมิฬ
ครึ่งชั่วยามต่อมานางก็มาถึงถ้ำวายุทมิฬและมาถึงประตูห้องหิน เมื่อนางเห็นกรงเหล็กที่บิดเบี้ยว ผนังเต็มไปด้วยรอยแตก
อีกทั้งยังมีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ นางขมวดคิ้วทันที
จี้เทียนซิงกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องและฝึกฝนอย่างหนัก ใบหน้าของเขาซีดขาวและร่างกายเต็มไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัส
นางพุ่งไปปลุกจี้เทียนซิงและขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
จี้เทียนซิงลืมตาขึ้นและเข้าใจดีว่าทำไมนางถึงถาม
เขาตอบตามความจริงว่า “ศิษย์พี่หยุนเหยา
เมื่อวันก่อนมีสตรีเสื้อคลุมดำใส่หน้ากากออกมาจากหน้าผา นางพยายามจะสังหารข้า…”
หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของชายหนุ่ม
หยุนเหยาก็เข้าใจทันทีว่าต้องเป็นเผ่ามารทั้งสองที่บุกรุกเข้ามาในนิกาย หลังจากกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบ
นางก็ตระหนักได้ว่าสตรีที่จี้เทียนซิงกล่าวถึงย่อมแข็งแกร่งมาก
จี้เทียนซิงได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ก็โชคดีที่รอดมาได้ ดังนั้นนางจึงไม่ซักไซร้รายละเอียดมากนักว่าเขารอดมาได้อย่างไร
“ศิษย์น้องเทียนซิง จี้เค่อฟื้นแล้ว
ท่านประมุขมีคำสั่งให้ข้าพาเจ้าไปที่ตำหนักฉิงเทียน”
กล่าวจบนางก็หยิบกุญแจและเปิดโซ่ของประตูเหล็กเย็น
จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“วิเศษ ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเค่อเค่อดวงแข็ง
นางต้องไม่เป็นอะไรแน่ !”
“สารเลวจี้หลิง
ตอนนี้ถึงเวลาแฉความผิดของเจ้าแล้ว !”
จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องหินตามหลังหยุนเหยาและออกจากถ้ำวายุทมิฬเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงเทียน
เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องโถงของตำหนักฉิงเทียนก็พบคนสี่คนยืน คนทั้งสี่ก็คืออาวุโสหวง จี้หลิง
เจียนอวี้และลู่หมิงหยาง
ฉู่เทียนเซิงนั่งอยู่บนบัลลังค์ด้วยสีหน้ามืดครึ้มและเงียบขรึม บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ดูอึมครึมอย่างยิ่ง จี้หลิง
เจียนอวี้และลู่หมิงหยางเริ่มรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดี ใบหน้าของพวกเขาปั้นยากและกระวนกระวายอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขาเห็นหยุนเหยาเข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับจี้เทียนซิง
สีหน้าก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์และในใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
จี้เทียนซิงจ้องไปที่จี้หลิงด้วยสายตาเย็นชาและจิตสังหารที่เปี่ยมล้น
เมื่อฉู่เทียนเซิงเห็นทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า
“เมื่อคืนนี้ศิษย์สตรีนามว่าจี้เค่อได้ฟื้นขึ้นแล้วจากการรักษาของผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถ
ข้าได้ไปพบนางด้วยตัวเองและเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น...”
หลังจากหยุดตรงนี้
เขาก็จ้องไปที่จี้หลิง,เจียนอวี้และลู่หมิงหยางด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไปด้วยบารมีและคำรามอย่างสลดใจว่า
“พวกเจ้าทั้งสามรู้ความผิดหรือไม่ ?!”
วูบบบบบ
!!
ในขณะที่ฉู่เทียนเซิงคำรามก็แผ่ซ่านแรงกดทับไร้สภาพออกมาครอบคลุมพวกเขาทั้งสาม
ทันใดนั้นเองทั้งสามคนก็รู้สึกตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
พวกเขารู้ว่าความจริงทั้งหมดที่พวกเขาร่วมมือกันกลับดำเป็นขาวถูกเปิดเผยหมดสิ้นแล้ว
!
เจียนอวี้และลู่หมิงหยางไม่สามารถรับแรงกดทับอันแข็งกร้าวจากฉู่เทียนเซิงได้อีกต่อไป พวกเขากระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงและวิงวอนขอความเมตตา
“ท่านประมุข ศิษย์สำนึกผิดแล้ว ! ศิษย์หลงผิดไปไปชั่ววูบ
ท่านประมุขได้โปรดเมตตาด้วย !”
“ท่านประมุข ศิษย์ไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว ! ขอประมุขเมตตา....ผ่อนหนักเป็นเบา !”
ฉู่เทียนเซิงไม่สนใจพวกเขาทั้งสอง
แต่ดวงตาจับจ้องไปที่จี้หลิงและตะโกนออกมาว่า “จี้หลิง
เจ้าไม่คิดจะพูดงั้นหรือ ?!”
หัวใจของจี้หลิงเต็มไปด้วยความปวดร้าวและไม่เต็มใจ
สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขายังวาดฝันที่จะเป็นศิษย์สายตรงและประมุขนิกายในอนาคต
เขาเต็มไปด้วยอนาคตอันสดใสที่รออยู่
แต่ในขณะนี้เขาล้มเหลวในการเคลื่อนอาคมเก้ามังกรผนึกมารและมีความผิดหลายกระทงตามกฏของนิกาย
สองเหตุการณ์ใหญ่ๆที่ประดังเข้าหาพร้อมกันทำให้เขาตกจากฟ้าสู่นรก
! มันทำให้เขาแค้นจนแทบคลั่ง !
มาถึงตอนนี้
แม้จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็จำเป็นต้องเล่นละครขอความเมตตาจากฉู่เทียนเซิงเล็กน้อย
เขาคุกเข่าลงกับพื้นและเสแสร้งร่ำร้องขอความเมตตาจากฉู่เทียนเซิง
“ศิษย์ผิดไปแล้ว ท่านประมุขโปรดลงโทษ !"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved