ตอนที่ 134

หล่นจากฟ้า

จี้เค่อเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อต้องพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ดวงตาของนางทอประกายความโกรธแค้นอย่างรุนแรง

จากนั้นก็เล่าทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบในทันที

“ในวันนั้น

ศิษย์กำลังบ่มเพาะอยู่ในห้องที่หอยุทธ์ไป๋ลู่ ทันใดนั้นศิษย์หญิงผู้หนึ่งก็ส่งจดหมายมาให้ข้า.......”

ผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถและฉู่เทียนเซิงต่างก็รับฟังและมองนางอย่างสงบ

หนึ่งนาทีผ่านไป

จี้เค่อก็กล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น เมื่อกล่าวถึงช่วงเวลาที่นางถูกแทงด้วยกระบี่ของจี้หลิงและถูกเขาผลักตกหน้าผา

นางก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโกรธแค้น หางตาเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

“ข้าคิดไม่ถึงเลย  จี้หลิงจะโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ ! เขาเป็นเสด็จอาแท้ๆและเป็นน้องชายของบิดาข้า แต่เขาก็ยังกล้าลงมือต่อข้าอย่างไร้ความปราณี  หมูหมายังดีกว่าเขาเสียอีก !”

เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากผู้เคราะห์ร้าย

ความจริงก็ชัดเจนแล้ว...

ใบหน้าของฉู่เทียนเซิงดำทะมึน

คิ้วขมวดมุ่นเป็นปม เขายังจดจำคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้เมื่อคืนได้อย่างชัดเจน  จี้หลิงมองภายนอกเหมือนเป็นบุรุษผู้สุภาพนอบน้อม

แต่ความจริงแล้วคนผู้นี้เป็นดั่งมารปีศาจ

วันนี้

ความจริงจากปากของจี้เค่อก็เป็นยิ่งกว่าข้อพิสูจน์ว่าจี้หลิงเป็นจอมวายร้ายที่เลือดเย็นและชั่วช้าอำมหิต

!

ฉู่เทียนเซิงต้องยอมรับว่าอาจารย์อาของเขานั้นมองคนได้ลึกซึ้งกว่า

และสามารถมองออกถึงธรรมชาติและจิตใจเบื้องลึกของผู้คน

มาตอนนี้เขาต้องพิจารณาใหม่อีกครั้งแล้วว่า

ความลับภายในถ้ำใต้ดินที่จี้หลิงล่วงรู้

เขาควรจะทำอย่างไร...

ในเวลานี้ผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็ถอนหายใจและปลอบโยนจี้เค่อ เขาเป็นชายชราเคราขาวที่ใจดีและเป็นผู้ที่ที่โอบอ้อมอารีที่สุดในบรรดาอาวุโสของนิกายพันธมิตรสวรรค์

จี้เค่อปาดน้ำตาจากดวงตาและขอบคุณอาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถอย่างจริงใจ

ฉู่เทียนเซิงที่กำลังหลับตาครุ่นคิดเรื่องราวทั้งหมดก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

แววตาของเขาเผยประกายของแผนการบางอย่างออกมา จากนั้นก็กล่าวกับจี้เค่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“จี้เค่อ ข้าประมุขรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว

เจ้าจงพักรักษาตัวต่อไปอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ”

กล่าวจบฉู่เทียนเซิงก็หันหลังเดินออกไป

จี้เค่อเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเต็มใจ

นางรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านประมุข จี้หลิงเป็นคนชั่วช้า

ท่านไม่ควรละเว้นเขา !  ส่วนพี่ใหญ่เทียนซิง...

ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกลงโทษและถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬ นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว

ข้าไม่รู้ว่าเขาจะทรมานเพียงใด... ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ !”

อย่างไรก็ตาม

คำพูดของนางไม่ได้ทำให้ฉู่เทียนเซิงหันหลังกลับ เขาเดินออกไปราวกับไม่สนใจ

จี้เค่อแสดงสีหน้าผิดหวังและกังวล

นางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

ผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถรีบปลอบใจนางอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “แม่หนูน้อย เจ้าไม่ต้องกังวล นิกายเรามีกฎ

ท่านประมุขย่อมตัดสินอย่างตรงไปตรงมาตามกฏของนิกายและไม่เข้าข้างผู้ใดแน่นอน”

ถึงแม้ว่าจี้เค่อจะยังไม่คลายกังวล

แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าน้อยๆ ตอนนี้นางทำได้เพียงสวดอ้อนวอนอย่างเงียบงันเท่านั้น

หวังว่าจี้เทียนซิงจะได้รับการปล่อยตัว

......

ฉู่เทียนเซิงกลับมายังตำหนักฉิงเทียนและเรียกหยุนเหยากับอาวุโสแห่งหอบัญญัติเข้าพบ

เมื่อทั้งสองมาถึง

ฉู่เทียนเซิงก็ออกคำสั่งทันที

“อาวุโสหวง ท่านไปพาตัวจี้หลิงและศิษย์ในเหตุการณ์อีกสองคนมาที่นี่ทันที  ข้าประมุขจะตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเอง !”

“ส่วนเจ้า หยุนเหยา เจ้าไปที่ถ้ำวายุทมิฬเพื่อพาตัวจี้เทียนซิงมาที่นี่

ข้าจะล้างมลทินให้เขา  เขาเป็นผู้บริสุทธิ์”

อาวุโสหวงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

เขากำหมัดคารวะและหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ของตำหนักฉิงเทียนเพื่อดำเนินการตามคำสั่ง

หยุนเหยาเงียบไปพักหนึ่งและถามฉู่เทียนเซิงด้วยความสับสน

“ท่านอาจารย์คะ จี้เค่อฟื้นแล้ว ?  ท่านทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ?”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนนี้ศิษย์ผู้นั้นฟื้นแล้ว

ข้าไปสอบถามนางด้วยตัวเองที่หอวิญญาณโอสถ”

หยุนเหยาพยักหน้าและถามอีกครั้งว่า

“เมื่อคืนท่านอาจารย์พาจี้หลิงเข้าไปในถ้ำใต้ดิน

หากศิษย์เดาไม่ผิด เขาล้มเหลวในการเคลื่อนอาคมใช่ไหมคะ ?”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์

“ถูกต้อง เขาไม่ใช่ผู้ท้าทายชะตาสวรรค์ที่แท้จริง

แต่แผนที่ดวงดาวบอกกับข้าว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ภายในนิกายของเรา

ข้ากำลังส่งคนไปสืบหาตัวบุคลผู้นั้นอยู่”

ดวงตาของหยุนเหยาเปล่งประกายสีสัน

หัวใจของนางเหมือนเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง  อย่างไรก็ตามนางเป็นคนใจเย็นและรอบคอบอยู่เสมอ

ถึงแม้ในใจจะมีคำตอบนานแล้ว แต่เมื่อยังไม่มั่นใจเต็มสิบส่วนนางก็ไม่คิดที่จะบอกต่อฉู่เทียนเซิงในตอนนี้

“เช่นนั้น ศิษย์ขอตัว”

หลังจากยอบกายคารวะฉู่เทียนเซิง

หยุนเหยาก็เดินออกจากห้องโถงตำหนักฉิงเทียนและรีบไปยังถ้ำวายุทมิฬ

ครึ่งชั่วยามต่อมานางก็มาถึงถ้ำวายุทมิฬและมาถึงประตูห้องหิน เมื่อนางเห็นกรงเหล็กที่บิดเบี้ยว ผนังเต็มไปด้วยรอยแตก

อีกทั้งยังมีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ นางขมวดคิ้วทันที

จี้เทียนซิงกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องและฝึกฝนอย่างหนัก ใบหน้าของเขาซีดขาวและร่างกายเต็มไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัส

นางพุ่งไปปลุกจี้เทียนซิงและขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

จี้เทียนซิงลืมตาขึ้นและเข้าใจดีว่าทำไมนางถึงถาม

เขาตอบตามความจริงว่า “ศิษย์พี่หยุนเหยา

เมื่อวันก่อนมีสตรีเสื้อคลุมดำใส่หน้ากากออกมาจากหน้าผา นางพยายามจะสังหารข้า…”

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของชายหนุ่ม

หยุนเหยาก็เข้าใจทันทีว่าต้องเป็นเผ่ามารทั้งสองที่บุกรุกเข้ามาในนิกาย  หลังจากกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบ

นางก็ตระหนักได้ว่าสตรีที่จี้เทียนซิงกล่าวถึงย่อมแข็งแกร่งมาก

จี้เทียนซิงได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่ก็โชคดีที่รอดมาได้ ดังนั้นนางจึงไม่ซักไซร้รายละเอียดมากนักว่าเขารอดมาได้อย่างไร

“ศิษย์น้องเทียนซิง จี้เค่อฟื้นแล้ว

ท่านประมุขมีคำสั่งให้ข้าพาเจ้าไปที่ตำหนักฉิงเทียน”

กล่าวจบนางก็หยิบกุญแจและเปิดโซ่ของประตูเหล็กเย็น

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“วิเศษ !  ข้ารู้อยู่แล้วว่าเค่อเค่อดวงแข็ง

นางต้องไม่เป็นอะไรแน่ !”

“สารเลวจี้หลิง

ตอนนี้ถึงเวลาแฉความผิดของเจ้าแล้ว !”

จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องหินตามหลังหยุนเหยาและออกจากถ้ำวายุทมิฬเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงเทียน

เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องโถงของตำหนักฉิงเทียนก็พบคนสี่คนยืน  คนทั้งสี่ก็คืออาวุโสหวง จี้หลิง

เจียนอวี้และลู่หมิงหยาง

ฉู่เทียนเซิงนั่งอยู่บนบัลลังค์ด้วยสีหน้ามืดครึ้มและเงียบขรึม บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ดูอึมครึมอย่างยิ่ง จี้หลิง

เจียนอวี้และลู่หมิงหยางเริ่มรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดี  ใบหน้าของพวกเขาปั้นยากและกระวนกระวายอย่างยิ่ง

เมื่อพวกเขาเห็นหยุนเหยาเข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับจี้เทียนซิง

สีหน้าก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์และในใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

จี้เทียนซิงจ้องไปที่จี้หลิงด้วยสายตาเย็นชาและจิตสังหารที่เปี่ยมล้น

เมื่อฉู่เทียนเซิงเห็นทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า

“เมื่อคืนนี้ศิษย์สตรีนามว่าจี้เค่อได้ฟื้นขึ้นแล้วจากการรักษาของผู้อาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถ

ข้าได้ไปพบนางด้วยตัวเองและเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น...”

หลังจากหยุดตรงนี้

เขาก็จ้องไปที่จี้หลิง,เจียนอวี้และลู่หมิงหยางด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไปด้วยบารมีและคำรามอย่างสลดใจว่า

“พวกเจ้าทั้งสามรู้ความผิดหรือไม่ ?!”

วูบบบบบ

!!

ในขณะที่ฉู่เทียนเซิงคำรามก็แผ่ซ่านแรงกดทับไร้สภาพออกมาครอบคลุมพวกเขาทั้งสาม

ทันใดนั้นเองทั้งสามคนก็รู้สึกตื่นตระหนกจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก

พวกเขารู้ว่าความจริงทั้งหมดที่พวกเขาร่วมมือกันกลับดำเป็นขาวถูกเปิดเผยหมดสิ้นแล้ว

!

เจียนอวี้และลู่หมิงหยางไม่สามารถรับแรงกดทับอันแข็งกร้าวจากฉู่เทียนเซิงได้อีกต่อไป  พวกเขากระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงและวิงวอนขอความเมตตา

“ท่านประมุข ศิษย์สำนึกผิดแล้ว !  ศิษย์หลงผิดไปไปชั่ววูบ

ท่านประมุขได้โปรดเมตตาด้วย !”

“ท่านประมุข ศิษย์ไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว ! ขอประมุขเมตตา....ผ่อนหนักเป็นเบา !”

ฉู่เทียนเซิงไม่สนใจพวกเขาทั้งสอง

แต่ดวงตาจับจ้องไปที่จี้หลิงและตะโกนออกมาว่า “จี้หลิง

เจ้าไม่คิดจะพูดงั้นหรือ ?!”

หัวใจของจี้หลิงเต็มไปด้วยความปวดร้าวและไม่เต็มใจ

สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขายังวาดฝันที่จะเป็นศิษย์สายตรงและประมุขนิกายในอนาคต

เขาเต็มไปด้วยอนาคตอันสดใสที่รออยู่

แต่ในขณะนี้เขาล้มเหลวในการเคลื่อนอาคมเก้ามังกรผนึกมารและมีความผิดหลายกระทงตามกฏของนิกาย

สองเหตุการณ์ใหญ่ๆที่ประดังเข้าหาพร้อมกันทำให้เขาตกจากฟ้าสู่นรก

! มันทำให้เขาแค้นจนแทบคลั่ง !

มาถึงตอนนี้

แม้จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็จำเป็นต้องเล่นละครขอความเมตตาจากฉู่เทียนเซิงเล็กน้อย

เขาคุกเข่าลงกับพื้นและเสแสร้งร่ำร้องขอความเมตตาจากฉู่เทียนเซิง

“ศิษย์ผิดไปแล้ว ท่านประมุขโปรดลงโทษ !"