ในตอนเช้าของวันต่อมาจี้เทียนซิงขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ยออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์
เฉียนเยวี่ยหันหน้าท้าแสงอาทิตย์บินไปยังศูนย์กลางของดินแดนดาราบรรพกาล
มันบินมาครึ่งวัน
จนกระทั่งหกชั่วยามผ่านไปก็ใกล้มาถึงหอคอยเจ็ดดาว
ขณะนี้เป็นช่วงเย็น
เฉียนเยวี่ยลงจอดบนใจกลางภูเขาลูกหนึ่ง
ที่นั่นมีหอคอยสูงตะหง่านที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาลูกหนึ่ง
มันเป็นหอคอยแปดเหลี่ยมที่เป็นสีทองสัมฤทธิ์ซึ่งเชื่อมต่อกับยอดเขาจนกลายเป็นโดมสูงเสียดฟ้า
และแผ่กลิ่นตระการตาออกมา
หอคอยสีทองนี้แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น แต่ละชั้นมีความสูงมากกว่าหนึ่งร้อยฟุต
สองชั้นบนสุดถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกจนดูพร่ามัวเห็นไม่ชัดตา
จี้เทียนซิงเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่งจนได้เห็นรูปร่างและลักษณะของหอคอยอย่างชัดเจน
หอคอยมีแปดมุมและแปดเหลี่ยม มันดูงดงามกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้ง
แต่ละมุมมีโคมไฟทองแดงขนาดใหญ่และรูปแกะสลักมังกรและหงสา
ราวกับพวกมันมีชีวิต
หอคอยแห่งนี้มีเต็มไปด้วยความเก่าแก่โบราณด้วยลวดลายแกะสลักอันลึกลับมากมาย
อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์แปลกๆให้เห็นอยู่ประปราย
บนชั้นแรกของหอคอยมีประตูสีดำที่มีความสูงกว่า
100 เมตร ประตูนี้ปิดไว้อย่างแน่นหนากระพริบแสงสีสันสดใสอันเลือนลางออกมา
เห็นได้ชัดว่าเป็นข่ายอาคมที่ร่ายทิ้งไว้
นอกจากนี้ยังมีบันไดแคบๆอยู่ด้านข้างของหอคอยซึ่งนำไปสู่ชั้นที่สี่ได้โดยตรง
ซึ่งประตูของชั้นที่สี่ก็มีขนาดใหญ่เท่ากับประตูของชั้นแรก
ตลอดทั้งหอคอย
มีเพียงสองประตูนี้เท่านั้นที่เป็นทางเข้า
"นี่คือหอคอยเจ็ดดาวในตำนานงั้นหรือ ?"
จี้เทียนซิงเหม่อมองอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงพึมพำ
หอคอยเจ็ดดาวแห่งนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากอุปกรณ์หรืออาวุธวิเศษใดๆ
อีกทั้งมิได้ถูกควบคุมโดยแปดนิกายหลัก
ในตำนานเล่าว่าหอคอยเจ็ดดาวที่ลึกลับและแปลกตานี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แต่มันคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากสวรรค์
ในสมัยโบราณที่ห่างไกล หอคอยเจ็ดดาวนี้ตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนดาวตกและตกลงสู่ดินแดนดาราบรรพกาล
หลังจากที่มันลงสู่พื้นดิน มันกระแทกฝังลึกลงไปใต้ผิวปฐพี
จมลึกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
หลังจากหลายพันปีผ่านมา มันเริ่มกระบวนการฟื้นตัวและเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ
หอคอยเจ็ดดาวค่อยๆฟื้นพลังและโผล่ออกมาจากส่วนลึกของพื้นดิน
จนกระทั่งราวๆสิบปีก่อน
หอคอยเจ็ดดาวแห่งนี้ก็ปรากฏขึ้นจากยอดเขาเพียงชั่วข้ามคืน
ราวกับว่ามันโผล่มาจากอากาศ !
ต่อมามีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งหลายคนของได้พบหอคอยระหว่างเดินทางโดยบังเอิญ
เมื่อพวกเขาเหล่านั้นบุกเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวด้วยความสงสัย
ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่า ภายในหอคอยแห่งนี้ดำรงอยู่ด้วยโลกใบอีกใบ
มันกลายเป็นโลกที่เป็นเอกเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น
หอคอยเจ็ดดาวเป็นตัวแทนของโลกทั้งเจ็ดใบ
แต่พวกมันก็สามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ติดขัด
โลกใบเล็กในแต่ละชั้นมีแหล่งสินแร่ที่อุดมสมบูรณ์และสมบัติทางธรรมชาติมากมาย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของซึ่งสามารถเลือกเฟ้นได้ตามต้องการ
ยิ่งเข้าใกล้โลกชั้นสูงมากเท่าใดก็ยิ่งได้รับสมบัติล้ำค่ามากขึ้นเท่านั้น
ผลทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมุ่งหน้าเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวเพื่อค้นหาทรัพยากร
หลังจากข่าวแพร่ออกไป
นิกายใหญ่ต่างๆล้วนเข้าร่วมการบุกชิงและปล้นสะดม ไม่เว้นแม้แต่นิกายพันธมิตรสวรรค์
อย่างไรก็ตาม คนตายเพราะสมบัติ
นกตายเพราะอาหาร สุภาษิตนี้กล่าวได้ถูกต้อง ความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างนิกายและนำไปสู่การลอบสังหารระหว่างเก็บเกี่ยวหลายต่อหลายครั้ง
ท้ายที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้แปดนิกายใหญ่ฆ่าฟันกันเองจนเกิดความโกลาหลลุกลาม
เหล่าผู้อาวุโสจึงต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจาต่อรองผลประโยชน์ร่วมกัน
หลังจากการหารือและถกเถียงกันอยู่นาน
ในที่สุดแปดนิกายใหญ่ก็ตัดสินใจร่วมกันดูแลหอคอยเจ็ดดาวและวางข่ายอาคมระดับสวรรค์เพื่อปกป้องหอคอยแห่งนี้
หอคอยเจ็ดดาวจะเปิดใช้งานเพียงปีละครั้ง
ในแต่ละครั้ง หนึ่งนิกายสามารถส่งศิษย์ตัวแทนได้หนึ่งคนเข้าไปในนั้น
จุดหมายก็เพื่อปีนขึ้นไปบนโลกที่สูงขึ้นและค้นหาทรัพยากร
สมบัติล้ำค่าที่มากขึ้น
เป็นที่น่าเสียดาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ยกเว้นหยุนเหยาแห่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ขึ้นไปโลกที่เจ็ด, ชั้นเจ็ดของหอคอย
ศิษย์นิกายอื่นๆกลับไม่มีคนใดสามารถไปถึงจุดนั้นได้แม้แต่คนเดียว …
………………..
จี้เทียนซิงเหม่อมองหอคอยเจ็ดดาวอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นเมื่อได้เห็นว่ามีรุ่นเยาว์หลายคนกำลังรวมตัวกันในที่โล่งใต้หอคอย
เขาก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
พื้นที่เปิดโล่งกว้าง 100
เมตรปูด้วยหินชนวนสีดำโดยมีข่ายอาคมสูงสิบเมตรอยู่ตรงกลาง
เห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยสมาชิกของแปดนิกาย
ข่ายอาคมนี้เป็นเหมือนกุญแจสำคัญในการเปิดหอคอยเจ็ดดาว
เมื่อจี้เทียนซิงเดินมาถึงพื้นที่เปิดโล่ง
จอมยุทธ์รุ่นเยาว์หลายคนก็หันหน้ามามอง
ทันทีที่พวกมันเห็นหน้าจี้เทียนซิงชัดตา
พวกมันก็เผยสีหน้าแปลกใจ งุนงงพลางกระซิบกัน
"หือ ? เจ้าหนุ่มนี่เป็นศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์
?"
"แปลก เหตุใดหยุนเหยาถึงไม่มา ? เจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่เคยเข้าหอคอยเจ็ดดาวมาก่อนมิใช่หรือ
?"
"ข้ารู้จักมัน ! คนผู้นี้เคยอยู่ในงานประชุมสภาแปดนิกายที่ยอดเขาซิงเฉิน
มันเป็นศิษย์สายตรงคนใหม่ของฉู่เทียนเซิง รู้สึกว่าจะชื่อจี้เทียนซิง !"
"ใช่แล้ว
ข้าจำได้ว่าระดับพลังยุทธ์ของหมอนี่ยังอ่อนแอนัก
ดูเหมือนมันจะยังมิได้เป็นศิษย์หัวกะทิด้วยกระมัง ?"
ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ล้วนเป็นหัวหน้าศิษย์ของแต่ละนิกาย
มีบางส่วนเคยพบกับจี้เทียนซิงในการประชุมสภาแปดนิกาย
ความเข้าใจของคนเหล่านี้ยังคงติดอยู่ในช่วงเวลานั้น ในการประชุมสภา
พวกมันไม่มีผู้ใดทราบว่าชายหนุ่มเอาชนะเฉินซู่และถังอี้ลั่วได้แล้วในการแข่งขันจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์
นอกจากนี้พวกมันก็ยังไม่ทราบว่าจี้เทียนซิงคืออันดับสองของนิกาย
ในหมู่คนเหล่านี้มีสตรีงดงามนางหนึ่ง นางมีเรือนร่างสมส่วนงดงาม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสง่างาม
นางก็คือหัวหน้าศิษย์ของนิกายฤทัยจันทรา, เฟิงหมิน
ข้างๆนางคือชายหนุ่มนามว่าอู่อวี้
ซึ่งเคยร่วมมือกับจี้เทียนซิงและหยุนเหยาในการทำลายถ้ำของเผ่ามาร
นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยู่ในฝูงชน
มันคือเฉียวซวนหัวหน้าศิษย์นิกายพันใบไม้ร่วง
คนผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในบุคลที่เคยพบจี้เทียนซิงมาก่อน
ในเวลานี้เฉียวซวนเห็นว่านิกายพันธมิตรสวรรค์ส่งจี้เทียนซิงมา
แทนที่จะเป็นหยุนเหยา, นางในฝันของมัน มันอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแสดงสีหน้าผิดหวัง
ทันทีที่จี้เทียนซิงเดินเข้ามาใกล้
มันแสยะยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าไม่พึงประสงค์ “เฮอะ !
นิกายพันธมิตรสวรรค์กินยาผิดสำแดงมาหรือไร ? แทนที่จะส่งหยุนเหยามาผ่านโลกที่เจ็ดของหอคอยเจ็ดดาวตามเดิม
ดันส่งเจ้าเด็กขนยังไม่ขึ้นมาเสียได้”
เฉียวซวนไม่คิดจะลดเสียงลงในระหว่างพร่ำบ่น
ทำให้ศิษย์ของนิกายอื่นที่อยู่ใกล้ๆต่างก็ได้ยิน
ผู้คนสงบการพูดคุยในทันที
ทุกคนต่างมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าสนุกสนานเพื่อรอชมว่ามันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
เดิมทีจี้เทียนซิงเห็นคนคุ้นหน้าที่เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกันจึงคิดที่จะเข้ามาทักทาย
แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดเสียดสีของเฉียวซวน
คนอดไม่ได้ที่จะทำหน้านิ่วพลางหันไปมองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ครั้งแรกยังพอนับว่าไม่เจตนาได้
แต่หากเจ้ากล้าพร่ำไร้สาระออกมาอีกเพียงครึ่งคำ ข้าจะทำให้เจ้าต้องคลานกลับนิกายไป”
เพียงประโยคสั้นๆรวบรัดแต่กลับเต็มไปด้วยความกดขี่ผู้คนและแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมา
เฉียวซวนชะงักงันไปวูบหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ทุกคนไม่เชื่อว่าจี้เทียนซิงจะกล้าหาญเพียงนี้
มันกล้าทำให้เฉียวซวนต้องหน้าแตกกลางที่สาธารณะ !
ใบหน้าของเฉียวซวนมืดครึ้ม คนจ้องมองจี้เทียนซิงและคำรามด้วยความโกรธว่า
“เด็กน้อย
เจ้าพูดอะไรออกมาวะ !?
จี้เทียนซิงจ้องอีกฝ่ายกลับด้วยสีหน้าไม่แยแส
พลันเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมาว่า “ข้าบอกว่า หุบปาก มิฉะนั้นข้าจะช่วยปิดปากให้เจ้าเอง”
"อ้อ ? ไอ้หนุ่ม เจ้ามันบ้าไปแล้ว !” เฉียวซวนแสยะยิ้มด้วยความโกรธ
ดวงตาของมันเปล่งแสงเย็นเยียบออกมา พลางกล่าวต่อไปว่า “หากเป็นหยุนเหยา
ข้ายังพอเกรงใจอยู่สามส่วนและอาจจะยอมลงให้นาง”
"ส่วนเจ้า
เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ ? ข้าพูดกับข้าเช่นนี้
แสวงหาที่ตายชัดๆเลยไอ้หนู !"
เฉียวซวนฟิวส์ขาดที่ถูกจี้เทียนซิงหยามหน้ากลางที่สาธารณะ
มันไม่ลังเลที่จะโบกมือจัดหนักจี้เทียนซิงสักรอบหนึ่ง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved