ตอนที่ 317 เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ?

ในตอนเช้าของวันต่อมาจี้เทียนซิงขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ยออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์

เฉียนเยวี่ยหันหน้าท้าแสงอาทิตย์บินไปยังศูนย์กลางของดินแดนดาราบรรพกาล

มันบินมาครึ่งวัน

จนกระทั่งหกชั่วยามผ่านไปก็ใกล้มาถึงหอคอยเจ็ดดาว

ขณะนี้เป็นช่วงเย็น

เฉียนเยวี่ยลงจอดบนใจกลางภูเขาลูกหนึ่ง

ที่นั่นมีหอคอยสูงตะหง่านที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาลูกหนึ่ง

มันเป็นหอคอยแปดเหลี่ยมที่เป็นสีทองสัมฤทธิ์ซึ่งเชื่อมต่อกับยอดเขาจนกลายเป็นโดมสูงเสียดฟ้า

และแผ่กลิ่นตระการตาออกมา

หอคอยสีทองนี้แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น แต่ละชั้นมีความสูงมากกว่าหนึ่งร้อยฟุต

สองชั้นบนสุดถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกจนดูพร่ามัวเห็นไม่ชัดตา

จี้เทียนซิงเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่งจนได้เห็นรูปร่างและลักษณะของหอคอยอย่างชัดเจน

หอคอยมีแปดมุมและแปดเหลี่ยม มันดูงดงามกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้ง

แต่ละมุมมีโคมไฟทองแดงขนาดใหญ่และรูปแกะสลักมังกรและหงสา

ราวกับพวกมันมีชีวิต

หอคอยแห่งนี้มีเต็มไปด้วยความเก่าแก่โบราณด้วยลวดลายแกะสลักอันลึกลับมากมาย

อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์แปลกๆให้เห็นอยู่ประปราย

บนชั้นแรกของหอคอยมีประตูสีดำที่มีความสูงกว่า

100 เมตร ประตูนี้ปิดไว้อย่างแน่นหนากระพริบแสงสีสันสดใสอันเลือนลางออกมา

เห็นได้ชัดว่าเป็นข่ายอาคมที่ร่ายทิ้งไว้

นอกจากนี้ยังมีบันไดแคบๆอยู่ด้านข้างของหอคอยซึ่งนำไปสู่ชั้นที่สี่ได้โดยตรง

ซึ่งประตูของชั้นที่สี่ก็มีขนาดใหญ่เท่ากับประตูของชั้นแรก

ตลอดทั้งหอคอย

มีเพียงสองประตูนี้เท่านั้นที่เป็นทางเข้า

"นี่คือหอคอยเจ็ดดาวในตำนานงั้นหรือ ?"

จี้เทียนซิงเหม่อมองอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงพึมพำ

หอคอยเจ็ดดาวแห่งนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากอุปกรณ์หรืออาวุธวิเศษใดๆ

อีกทั้งมิได้ถูกควบคุมโดยแปดนิกายหลัก

ในตำนานเล่าว่าหอคอยเจ็ดดาวที่ลึกลับและแปลกตานี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แต่มันคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากสวรรค์

ในสมัยโบราณที่ห่างไกล หอคอยเจ็ดดาวนี้ตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนดาวตกและตกลงสู่ดินแดนดาราบรรพกาล

หลังจากที่มันลงสู่พื้นดิน มันกระแทกฝังลึกลงไปใต้ผิวปฐพี

จมลึกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขาโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

หลังจากหลายพันปีผ่านมา มันเริ่มกระบวนการฟื้นตัวและเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ

หอคอยเจ็ดดาวค่อยๆฟื้นพลังและโผล่ออกมาจากส่วนลึกของพื้นดิน

จนกระทั่งราวๆสิบปีก่อน

หอคอยเจ็ดดาวแห่งนี้ก็ปรากฏขึ้นจากยอดเขาเพียงชั่วข้ามคืน

ราวกับว่ามันโผล่มาจากอากาศ !

ต่อมามีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งหลายคนของได้พบหอคอยระหว่างเดินทางโดยบังเอิญ

เมื่อพวกเขาเหล่านั้นบุกเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวด้วยความสงสัย

ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่า ภายในหอคอยแห่งนี้ดำรงอยู่ด้วยโลกใบอีกใบ

มันกลายเป็นโลกที่เป็นเอกเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น

หอคอยเจ็ดดาวเป็นตัวแทนของโลกทั้งเจ็ดใบ

แต่พวกมันก็สามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ติดขัด

โลกใบเล็กในแต่ละชั้นมีแหล่งสินแร่ที่อุดมสมบูรณ์และสมบัติทางธรรมชาติมากมาย  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของซึ่งสามารถเลือกเฟ้นได้ตามต้องการ

ยิ่งเข้าใกล้โลกชั้นสูงมากเท่าใดก็ยิ่งได้รับสมบัติล้ำค่ามากขึ้นเท่านั้น

ผลทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมุ่งหน้าเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวเพื่อค้นหาทรัพยากร

หลังจากข่าวแพร่ออกไป

นิกายใหญ่ต่างๆล้วนเข้าร่วมการบุกชิงและปล้นสะดม ไม่เว้นแม้แต่นิกายพันธมิตรสวรรค์

อย่างไรก็ตาม คนตายเพราะสมบัติ

นกตายเพราะอาหาร สุภาษิตนี้กล่าวได้ถูกต้อง ความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างนิกายและนำไปสู่การลอบสังหารระหว่างเก็บเกี่ยวหลายต่อหลายครั้ง

ท้ายที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้แปดนิกายใหญ่ฆ่าฟันกันเองจนเกิดความโกลาหลลุกลาม

เหล่าผู้อาวุโสจึงต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจาต่อรองผลประโยชน์ร่วมกัน

หลังจากการหารือและถกเถียงกันอยู่นาน

ในที่สุดแปดนิกายใหญ่ก็ตัดสินใจร่วมกันดูแลหอคอยเจ็ดดาวและวางข่ายอาคมระดับสวรรค์เพื่อปกป้องหอคอยแห่งนี้

หอคอยเจ็ดดาวจะเปิดใช้งานเพียงปีละครั้ง

ในแต่ละครั้ง หนึ่งนิกายสามารถส่งศิษย์ตัวแทนได้หนึ่งคนเข้าไปในนั้น

จุดหมายก็เพื่อปีนขึ้นไปบนโลกที่สูงขึ้นและค้นหาทรัพยากร

สมบัติล้ำค่าที่มากขึ้น

เป็นที่น่าเสียดาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยกเว้นหยุนเหยาแห่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ขึ้นไปโลกที่เจ็ด, ชั้นเจ็ดของหอคอย

ศิษย์นิกายอื่นๆกลับไม่มีคนใดสามารถไปถึงจุดนั้นได้แม้แต่คนเดียว …

………………..

จี้เทียนซิงเหม่อมองหอคอยเจ็ดดาวอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นเมื่อได้เห็นว่ามีรุ่นเยาว์หลายคนกำลังรวมตัวกันในที่โล่งใต้หอคอย

เขาก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

พื้นที่เปิดโล่งกว้าง 100

เมตรปูด้วยหินชนวนสีดำโดยมีข่ายอาคมสูงสิบเมตรอยู่ตรงกลาง

เห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยสมาชิกของแปดนิกาย

ข่ายอาคมนี้เป็นเหมือนกุญแจสำคัญในการเปิดหอคอยเจ็ดดาว

เมื่อจี้เทียนซิงเดินมาถึงพื้นที่เปิดโล่ง

จอมยุทธ์รุ่นเยาว์หลายคนก็หันหน้ามามอง

ทันทีที่พวกมันเห็นหน้าจี้เทียนซิงชัดตา

พวกมันก็เผยสีหน้าแปลกใจ งุนงงพลางกระซิบกัน

"หือ ? เจ้าหนุ่มนี่เป็นศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

?"

"แปลก เหตุใดหยุนเหยาถึงไม่มา ? เจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่เคยเข้าหอคอยเจ็ดดาวมาก่อนมิใช่หรือ

?"

"ข้ารู้จักมัน !  คนผู้นี้เคยอยู่ในงานประชุมสภาแปดนิกายที่ยอดเขาซิงเฉิน

มันเป็นศิษย์สายตรงคนใหม่ของฉู่เทียนเซิง รู้สึกว่าจะชื่อจี้เทียนซิง !"

"ใช่แล้ว

ข้าจำได้ว่าระดับพลังยุทธ์ของหมอนี่ยังอ่อนแอนัก

ดูเหมือนมันจะยังมิได้เป็นศิษย์หัวกะทิด้วยกระมัง ?"

ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ล้วนเป็นหัวหน้าศิษย์ของแต่ละนิกาย

มีบางส่วนเคยพบกับจี้เทียนซิงในการประชุมสภาแปดนิกาย

ความเข้าใจของคนเหล่านี้ยังคงติดอยู่ในช่วงเวลานั้น  ในการประชุมสภา

พวกมันไม่มีผู้ใดทราบว่าชายหนุ่มเอาชนะเฉินซู่และถังอี้ลั่วได้แล้วในการแข่งขันจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

นอกจากนี้พวกมันก็ยังไม่ทราบว่าจี้เทียนซิงคืออันดับสองของนิกาย

ในหมู่คนเหล่านี้มีสตรีงดงามนางหนึ่ง  นางมีเรือนร่างสมส่วนงดงาม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสง่างาม

นางก็คือหัวหน้าศิษย์ของนิกายฤทัยจันทรา, เฟิงหมิน

ข้างๆนางคือชายหนุ่มนามว่าอู่อวี้

ซึ่งเคยร่วมมือกับจี้เทียนซิงและหยุนเหยาในการทำลายถ้ำของเผ่ามาร

นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยู่ในฝูงชน

มันคือเฉียวซวนหัวหน้าศิษย์นิกายพันใบไม้ร่วง

คนผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในบุคลที่เคยพบจี้เทียนซิงมาก่อน

ในเวลานี้เฉียวซวนเห็นว่านิกายพันธมิตรสวรรค์ส่งจี้เทียนซิงมา

แทนที่จะเป็นหยุนเหยา, นางในฝันของมัน  มันอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแสดงสีหน้าผิดหวัง

ทันทีที่จี้เทียนซิงเดินเข้ามาใกล้

มันแสยะยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าไม่พึงประสงค์ “เฮอะ !

นิกายพันธมิตรสวรรค์กินยาผิดสำแดงมาหรือไร ? แทนที่จะส่งหยุนเหยามาผ่านโลกที่เจ็ดของหอคอยเจ็ดดาวตามเดิม

ดันส่งเจ้าเด็กขนยังไม่ขึ้นมาเสียได้”

เฉียวซวนไม่คิดจะลดเสียงลงในระหว่างพร่ำบ่น

ทำให้ศิษย์ของนิกายอื่นที่อยู่ใกล้ๆต่างก็ได้ยิน

ผู้คนสงบการพูดคุยในทันที

ทุกคนต่างมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าสนุกสนานเพื่อรอชมว่ามันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

เดิมทีจี้เทียนซิงเห็นคนคุ้นหน้าที่เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกันจึงคิดที่จะเข้ามาทักทาย

แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดเสียดสีของเฉียวซวน

คนอดไม่ได้ที่จะทำหน้านิ่วพลางหันไปมองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ครั้งแรกยังพอนับว่าไม่เจตนาได้

แต่หากเจ้ากล้าพร่ำไร้สาระออกมาอีกเพียงครึ่งคำ  ข้าจะทำให้เจ้าต้องคลานกลับนิกายไป”

เพียงประโยคสั้นๆรวบรัดแต่กลับเต็มไปด้วยความกดขี่ผู้คนและแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมา

เฉียวซวนชะงักงันไปวูบหนึ่ง

ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

ทุกคนไม่เชื่อว่าจี้เทียนซิงจะกล้าหาญเพียงนี้

มันกล้าทำให้เฉียวซวนต้องหน้าแตกกลางที่สาธารณะ !

ใบหน้าของเฉียวซวนมืดครึ้ม  คนจ้องมองจี้เทียนซิงและคำรามด้วยความโกรธว่า

“เด็กน้อย

เจ้าพูดอะไรออกมาวะ !?

จี้เทียนซิงจ้องอีกฝ่ายกลับด้วยสีหน้าไม่แยแส

พลันเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมาว่า “ข้าบอกว่า หุบปาก มิฉะนั้นข้าจะช่วยปิดปากให้เจ้าเอง”

"อ้อ ?  ไอ้หนุ่ม เจ้ามันบ้าไปแล้ว !” เฉียวซวนแสยะยิ้มด้วยความโกรธ

ดวงตาของมันเปล่งแสงเย็นเยียบออกมา พลางกล่าวต่อไปว่า “หากเป็นหยุนเหยา

ข้ายังพอเกรงใจอยู่สามส่วนและอาจจะยอมลงให้นาง”

"ส่วนเจ้า

เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ ? ข้าพูดกับข้าเช่นนี้

แสวงหาที่ตายชัดๆเลยไอ้หนู !"

เฉียวซวนฟิวส์ขาดที่ถูกจี้เทียนซิงหยามหน้ากลางที่สาธารณะ

มันไม่ลังเลที่จะโบกมือจัดหนักจี้เทียนซิงสักรอบหนึ่ง