ตอนที่ 335 เด็ดปีกนิกายพันธมิตรสวรรค์

หลังจากได้ยินคำพูดของฉู่เทียนเซิง

จี้เทียนซิงก็ตระหนักได้ในทันที

ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายในวาจาของเฉียวซวนที่ได้กล่าวไว้บนหอคอยเจ็ดดาว   ‘พวกเราจะได้พบกันอีกเร็วๆนี้’

ในเวลานั้นเขายังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันเป็นวันเกิดของเทียนเจี้ยนจง

เหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ หลายนิกายที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเทียนเจี้ยนจงย่อมทราบข่าวมานานแล้ว

ซึ่งบุคลเหล่านั้นจะต้องไปตามคำเชิญแน่นอน

มีเพียงแค่นิกายพันธมิตรสวรรค์

นิกายฤทัยจันทราและนิกายหลิวเหอ,  สามนิกายนี้ที่ไม่มีมิตรภาพอันดีกับนิกายกระบี่ฟ้า

มีแต่ความขัดแย้งและกินแหนงแคลงใจกัน

แต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและรักษาหน้า

ทุกนิกายก็ยังจำเป็นต้องส่งคนไปยังนิกายกระบี่ฟ้าเพื่อฉลองวันเกิดเทียนเจี้ยนจง

ดังนั้น ศิษย์สายตรงทั้งสาม หยุนเหยา, จี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์จึงตอบรับคำสั่งของฉู่เทียนเซิงในทันทีและปฏิบัติตาม

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ช่วงนี้

ดูผิวเผินเหมือนว่าเทียนเจี้ยนจงจะสงบนิ่ง แต่ลับหลังมันลอบดำเนินการอยู่บ่อยครั้ง

หมาป่าได้แสดงความทะเยอทะยานของมันออกมาแล้ว"

"เมื่อพวกเจ้าทั้งสามไปที่นิกายกระบี่ฟ้า

หากมีโอกาสก็จงสำรวจรายละเอียดของนิกายพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ลองดูว่าพวกมันคิดวางแผนอะไรไว้"

ของขวัญอวยพรวันเกิดให้เทียนเจี้ยนจง

อาจารย์ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วงหลายวันนี้พวกเจ้าก็เก็บข้าวของเตรียมตัวให้พร้อม

อีกสี่วันก็ออกเดินทางได้"

หลังจากนั้นฉู่เทียนเซิงก็กล่าวกระตุ้นเตือนอีกหลายคำและอธิบายเรื่องอื่นๆ

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาน้อมตัวคารวะแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในภารกิจนี้

จากนั้นก็กล่าวอำลาและล่าถอยออกไป

หลังออกจากตำหนักฉิงเทียน

จี้เทียนซิงเดินเคียงข้างเอี๋ยนเอ๋อร์

ถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่และสารทุกข์สุขดิบเรื่อยเปื่อย

เอี๋ยนเอ๋อร์ไม่ปกปิดอันใดและรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า

"ศิษย์พี่เทียนซิง นับตั้งแต่ข้ากลับมาถึงนิกาย ข้าได้ปิดด่านบ่มเพาะและฟื้นฟูสภาพร่างกายอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ร่างกายของข้าดีขึ้นมาก

พลังฝีมือก็รุดหน้าไม่น้อย ข้าไม่ทรมานยามโคจรลมปราณอีกแล้ว

ในไม่ช้าข้าคงทะลวงด่านได้อีกขั้นหนึ่ง"

"นอกจากนี้เสี่ยวไป๋ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากมันดูดซับเพลิงคะนองของข้าเข้าไปปรับแต่ง มันก็เปลี่ยนแปลงไปมาก"

"ท่านอาจารย์กล่าวว่าเสี่ยวไป๋วิวัฒนาการไปแล้ว

มันมิใช่พยัคฆ์ขาวเนตรทองอีกต่อไป แต่มันคือพยัคฆ์ขาวเพลิงคะนอง ... "

เอี๋ยนเอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา

อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความรื่นรมย์และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

จี้เทียนซิงยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวว่า

"ดีมาก  เช่นนั้นเจ้าก็ทำกิจวัตรไปตามเดิม

อีกสี่วันค่อยพบกัน"

จากนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็โบกมือลา

แยกย้ายกันกลับที่พัก

หลังจากจี้เทียนซิงกลับมาถึงลานเทียนซิง

เขาก็เข้าไปในห้องลับและเริ่มบ่มเพาะต่อไป

เขาตระหนักดีว่าตอนอยู่ในหอคอยเจ็ดดาว

เขาได้ซัดซื่อเหวินหยูร่วงจากทะเลเมฆ

เขาได้ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับมันและนิกายกระบี่ฟ้าไปอย่างสมบูรณ์

ครั้งนี้เขาต้องไปเยือนถิ่นศัตรู

เขาจะได้พบหน้ากับซื่อเหวินหยู เฉียวซวนและคนอื่นๆอีกมากมาย แน่นอน

อาจมีข้ออ้างในการแก้แค้นเรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้น

เขาเตรียมใจไว้แล้ว

ดังนั้นจึงต้องขยันฝึกฝนบ่มเพาะเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งต่อไป

.............

นิกายกระบี่ฟ้า บนยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์

ภายในตำหนักอันวิจิตรงดงามและศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง

ชายแข็งแกร่งสองคนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอย่างเงียบงัน

เทียนเจี้ยนจงนั่งอยู่บนบัลลังก์ประธาน

ดวงตาของมันจ้องมองไปที่ห้องโถงอันว่างเปล่าพลางขมวดคิ้วและครุ่นคิด

ส่วนบุรุษอีกผู้หนึ่งในเสื้อคลุมสีขาวก็คือเทียนจี้เจิ้นเหริน

ผู้ซึ่งถือแส้หางม้าไว้ในมือและยืนหลับตาอยู่ข้างๆ

ในเวลานี้ ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีขาวก็เดินข้ามธรณีประตูและเดินเข้าไปในห้องโถง

บุรุษผู้นี้ก็คือซื่อเหวินหยูนั่นเอง

ถึงแม้ว่ามันจะเปลี่ยนชุดใหม่จนสะอาดเอี่ยมอ่อง

ร่างกายกลับมาสะอาดสะอ้านอีกครั้ง

แต่ผิวพรรณของมันกลับยังคงดูซีดเซียว แววตาไร้สีสันดูหดหู่

เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของมันยังไม่หายดีและร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่

ซื่อเหวินหยูเดินไปที่ศูนย์กลางของห้องโถง ก้มศีรษะคารวะทั้งสองและกล่าวทักทายด้วยความเคารพว่า

“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!"

เทียนเจี้ยนจงกระพริบตาอยู่สองสามครั้ง

จับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

จากนั้นคนขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เหวินหยู

เจ้ากลับมาจากหอคอยเจ็ดดาวตั้งแต่สามวันก่อน เห็นว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส

ดังนั้นในฐานะอาจารย์ ข้าจึงให้เจ้าได้รักษาตัวให้หายดีเสียก่อนโดยมิได้ซักไซ้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น”

“วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อให้รายงานว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นในหอคอยเจ็ดดาว

เหตุใดเจ้าถึงไม่สามารถทำตามคำสั่งของอาจารย์ให้สำเร็จลุล่วงได้ ?”

ซื่อเหวินหยูแสดงสีหน้าอับอายและอึดอัดใจ

คนทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างรวดเร็วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไร้ความสามารถ ศิษย์ล้มเหลวในภารกิจที่ท่านมอบหมาย

ศิษย์ยอมรับการลงโทษจากท่านทุกประการ !"

"ในวันนั้น... ศิษย์สาวกทุกนิกายมารวมตัวกันเพื่อปีนหอคอยเจ็ดดาว

นิกายพันธมิตรสวรรค์มิได้ส่งหยุนเหยามา แต่เป็นจี้เทียนซิง"

"ไอ้เจ้าสารเลวจี้เทียนซิงไม่เพียงบุกเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวเท่านั้น

แต่มันยังลักลอบนำโลงหยกวิญญาณมาวางไว้ในค่ายกลเจ็ดดาวอีกด้วย"

"ศิษย์ได้รับบาดเจ็บระหว่างกระบวนการผ่านหอคอยในแต่ละชั้น...   เอ่อ..หลังจากไปถึงชั้นที่เจ็ด

ศิษย์กำลังจะคว้าหินวิญญาณโป๋จิงกลางค่ายกลเจ็ดดาวได้อยู่แล้ว

แต่จี้เทียนซิงกลับเข้ามาขวาง..."

"ไอ้ตัวระยำจี้เทียนซิง  มันทำร้ายข้าบาดเจ็บสาหัสไม่พอ มันยังโยนข้าลงมาจากทะเลเมฆบนหอคอยอีกด้วย

!"

เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น

ภาพความอัปยศก็โผล่ขึ้นในใจของซื่อเหวินหยูอีกครั้ง แม้มันจะพูดความจริงไม่หมด

แต่มันก็ถูกอีกฝ่ายทำร้ายและเหยียดหยามจริง

ดังนั้นเมื่อภาพในวันนั้นย้อนกลับมา ในใจของมันก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

จิตสังหารแสดงออกผ่านทางสีหน้าจนกลายเป็นเหี้ยมเกรียมดุร้าย

เทียนจี้เจิ้นเหรินที่วางสีหน้าไม่แยแสอยู่ตลอดเวลา

หลังจากได้ยินคำอธิบายของซื่อเหวินหยู มันก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

แสงเย็นยะเยือกวาบผ่านแววตาของมัน

เทียนเจี้ยนจงขมวดคิ้วในทันที

ดวงตาของมันเต็มไปด้วยข้อสงสัยและคลางแคลงใจ

มันกล่าวถามว่า   "เจ้าว่าอะไร ? เจ้าทะลวงผ่านปราณจิตขั้นที่เก้า

ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้หากต่ำกว่าขอบเขตปราณโอสถ เจ้าแทบจะไร้พ่าย

แล้วเจ้าเด็กจี้เทียนซิงนั่นจะทำร้ายเจ้าสาหัสได้อย่างไร ?"

ซื่อเหวินหยูไม่เพียงแค่มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่เก้าเท่านั้น

แต่คนผู้นี้กล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะสุดยอดของนิกายกระบี่ฟ้าที่มีพรสวรรค์ในเชิงกระบี่อย่างสูงล้ำ  มิฉะนั้นมันคงไม่ได้เป็นหัวหน้าศิษย์ของนิกายเป็นแน่

เว้นเสียแต่ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในขอบเขตปราณโอสถ, ผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราณจิตแทบจะไม่ใช่คู่มือมันด้วยซ้ำ

ก่อนที่จะเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวในปีนี้

ซื่อเหวินหยูก็คิดเช่นนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งได้พบกับจี้เทียนซิง......

ซื่อเหวินหยูเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและไม่จำยอม

มันก้มศีรษะลงกล่าวว่า “ท่านอาจารย์

พรสวรรค์และวิชายุทธ์ของจี้เทียนซิงนั้นต่างออกไป

ท่านมิอาจนำสามัญสำนึกทั่วไปมาวัดมันได้"

"ในความเห็นของศิษย์หลังจากได้ประมือกับมัน  ศิษย์เชื่อว่าคุณสมบัติและความสามารถของมันไม่ด้อยไปกว่าหยุนเหยา

!”

สีหน้าของเทียนเจี้ยนจงกลายเป็นเคร่งขรึม

ดวงตากระพริบด้วยลำแสงลุกโชนพลางกล่าวพึมพำว่า “น่าชังนัก เส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่สั่งสมไว้ทำให้โชคชะตาเข้าข้างนิกายพวกมันอย่างน่าริษยานัก

!"

"ผลที่ออกมาทำให้นิกายนี้เต็มไปด้วยโชคลาภวาสนา

ก่อนหน้านี้ได้ศิษย์อัจฉริยะอย่างหยุนเหยา และตอนนี้ก็มีจี้เทียนซิงโผล่มาอีกคน !”

"นิกายพันธมิตรสวรรค์ที่แสนบัดซบ

ไม่เพียงแค่ได้สืบทอดรากฐานอันมั่นคงนับพันปี แต่ยังครอบครองศิษย์มากความสามารถถึงสองคน

นี่ทำให้พวกมันยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นไปอีก!"

เปรี้ยง

!!

หลังจากสิ้นเสียง เทียนเจี้ยนจงก็ซัดฝ่ามือลงบนที่ท้าวแขนของบัลลังก์อย่างรุนแรงด้วยความโมโห

ในเวลานี้เองเทียนจี้เจิ้นเหรินก็กล่าวขึ้นว่า

“ประมุข

นิกายพันธมิตรสวรรค์เอาใจศิษย์ตัวเอง เหยียบย่ำกฏเกณฑ์ที่แปดนิกายวางไว้

ทำร้ายกลั่นแกล้งศิษย์ของท่าน พวกมันเย่อหยิ่งและโอหังมาก!"

"แผนของพวกเราเลี่ยงไม่ได้แล้ว

นิกายนี้จำเป็นจะต้องแทนที่นิกายพันธมิตรสวรรค์โดยเร็วที่สุดและเข้าดูแลอาณาจักรเทียนเฉิน

มิฉะนั้นดินแดนดาราบรรพกาลของพวกเราจะยิ่งวุ่นวาย !"

"จี้เทียนซิงและหยุนเหยาเป็นดั่งแขนซ้ายแขนขวาของฉู่เทียนเซิง

หากสามารถกำจัดพวกมันทั้งสองให้พ้นทางไปได้ ฉู่เทียนเซิงก็เหมือนถูกเด็ดปีก

นิกายพันธมิตรสวรรค์จะเดือดร้อนและเสียหายหนัก"

ตอนนี้มีโอกาสที่ดีแล้ว อีกไม่กี่วันนี้จะเป็นวันเกิดของประมุข

ฉู่เทียนเซิงนิสัยถือดีทนงตน แน่นอนว่ามันย่อมไม่มาด้วยตัวเองแน่  มันจะต้องส่งศิษย์คนโปรดมาเป็นตัวแทน"

“เมื่อถึงเวลานั้น

พวกเราจะให้จี้เทียนซิงกับหยุนเหยาเข้ามา แต่จะไม่ให้พวกมันกลับออกไป !"