ตอนที่ 370

ตอนที่

370 พังทลาย

จี้เทียนซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามหาข่ายปราณเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

มันกำลังจะกลับมาเปิดทำงานอีกครั้ง

เขาหันไปพูดกับทุกคนด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “อาวุโสทุกท่าน ข้ากับศิษย์พี่ได้สำรวจทั่วทั้งสุสานโบราณแห่งนี้แล้ว

มันไม่มีสิ่งของล้ำค่าใดๆอีก พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ

ข่ายปราณที่ข้ายับยั้งไว้เริ่มคืนสภาพแล้ว

อีกทั้งยังเป็นไปได้สูงว่ามันอาจจะเกิดการทำลายตัวเอง"

หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด

ชูไฮว่ซานและผู้ดูแลทุกคนก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ถึงแม้จะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นภายในใจของทุกคน

แต่พวกมันก็เลือกที่จะเชื่อในคำพูดของเขา

ดังนั้นทุกคนจึงติดตามจี้เทียนซิงและหยุนเหยา

เดินออกจากรัศมีใกล้ๆข่ายปราณระดับสวรรค์อย่างรวดเร็ว

ไม่ทันขาดคำ  หลังจากเพียงไม่กี่ลมหายใจผ่านไป

เมื่อฝูงชนเดินผ่านจัตุรัสพุพัง ข่ายปราณก็กลับมาก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง

"ครึ่ก ครึ่ก !"

ม่านแสงหลากสีที่มีรัศมีกว้างกว่า 1,000

เมตรส่องสว่างเป็นประกายระยิบระยับในทันที พร้อมกับปลดปล่อยบรรยากาศอันทรงพลังออกมา

มหาข่ายปราณมากหลายชนิดที่ปิดตัวไปก่อนหน้านี้ด้วยน้ำมือของจี้เทียนซิงและหยุนเหยา  เริ่มกลับมาทำงานทีละชั้นตามเดิม

เริ่มจากหม้อวิเศษเก้าจักรวาลที่ฟื้นตัวเองขึ้นมาเป็นลำดับแรก

ตามมาด้วยโซ่ผนึกแปดมังกร, เจ็ดดารา, เสถียรหกวิธีและสุดท้าย

อนุพันธ์ห้าธาตุ

ภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ

ข่ายปราณทั้งห้าชนิดก็ถูกเริ่มต้นการทำงานใหม่

มหาข่ายปราณมหึมากลับมาเปล่งประกายเจิดจรัสอีกด้วยพลังอันน่าอัศจรรย์

หลังจากนั้นแทบจะทันที รัศมีพลังอันรุนแรงได้ก่อตัวขึ้นในมหาข่ายปราณระดับสวรรค์

มันเริ่มปั่นป่วนอย่างผิดปกติ

ม่านแสงหลากสีสันที่มีรัศมี 1,000 เมตรเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ทำให้ทั่วทั้งสุสานและพื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนไม่หยุด

เปรี๊ยะ.........เปรี๊ยะ...... !

ด้วยเสียงปริแตก

พื้นดินรอบๆสุสานแตกเป็นร่องลำธารขนาดใหญ่

จัตุรัสโบราณที่ผุพังทรุดโทรมก็ปริแตกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่

พื้นหินชนวนที่แข็งแรงเริ่มทรุดตัวลงและแตกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อเห็นภาพนี้สีหน้าของหยุนเหยาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

นางคิดในใจว่า

“เป็นอย่างที่เทียนซิงกล่าวไว้ไม่ผิดเพี้ยน

สิ่งที่น่ากังวลและอันตรายที่สุดหลังจากข่ายปราณทั้งห้ากลับมาทำงานก็คือพวกมันจะทำลายตัวเอง"

“โชคดีที่พวกเราออกจากพื้นที่หลุมฝังศพได้ก่อนเวลาหายนะ

มิฉะนั้นข้ากับเขาคงถูกทับถมและตกตายภายในหลุมนั้นไปแล้ว”

ชูไฮว่ซานและผู้ดูแลหลายคนก็หันไปมองหน้ากันเช่นเดียวกันพลางกล่าวว่า

"เทียนซิงพูดถูก

มหาข่ายปราณทำลายตัวเองจริงๆ

โชคดีที่พวกเราออกมาได้ทันเวลา !”

"ที่นี่ไม่ปลอดภัยพอ

รีบออกไปให้ห่างกว่านี้กันเถอะ หากมันระเบิดขึ้นมา

ภูเขามังกรทั้งลูกคงพินาศไปด้วยแน่นอน !”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ทุกคนก็แสดงความกังวลและวิตกกังวลออกมาทันที

หากมหาข่ายปราณระเบิดขึ้นจริง

ภูเขามังกรทั้งหมดไม่เพียงแค่ถล่ม แต่ทุกคนจะไม่สามารถหนีออกไปได้ แม้แต่ศิษย์รับใช้และหน่วยเวรยามที่ประจำการอยู่ตามภูเขาก็จะถูกกลบฝังไปด้วย

จี้เทียนซิงโบกมือเพื่อส่งสัญญาณว่าทุกคนไม่ควรตื่นตระหนก

จากนั้นกล่าวว่า

"ไม่ต้องห่วง ถึงแม้การออกแบบมหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้จะทรงพลังน่าพิศวง

แต่หากมันเกิดระเบิดขึ้นมา พลังของมันจะกินรัศมีเท่ากับรัศมีของตัวมันเองเท่านั้น

ไม่แพร่กระจายไปยังสถานที่อื่นอย่างที่ท่านกังวล"

ทันทีที่จี้เทียนซิงพูดจบประโยค

พลังทั้งหมดที่สะสมไว้ในข่ายปราณก็มาถึงขีดจำกัดของมัน

"ตูม

!!!"

เสียงดังกัมปนาทระเบิดก้องออกมาทันที  มันสะท้อนลึกไปในที่มืดอันว่างเปล่า

ม่านแสงหลากสีทรุดตัวลงและแตกเป็นเมฆเห็ดหลากสีขนาดใหญ่ในทันที

น่าแปลกที่เปลวเพลิงจากการระเบิดครั้งนี้มิได้กระจายไปยังสภาพแวดล้อมโดยรอบ

เพียงแค่กวาดต้อนไปทั่วพื้นที่สุสานเท่านั้น

เป็นไปตามที่จี้เทียนซิงได้กล่าวไว้ พลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำลายฟ้าดินจะมีรัศมีการทำลายล้างไม่เกินขอบเขตพื้นของตัวมันเอง

ทันใดนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็สว่างไสว พื้นที่หลายพันกิโลเมตรโดยรอบมีแต่แสงที่ส่องสว่างอย่างสมบูรณ์

แผ่นดินรอบสุสานถูกเขย่าอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง ทำลายแผ่นพื้นจนเกิดเป็นร่องลำธารหนาแน่นและสาดฝุ่นละอองมหึมาคลุ้งไปทั่ว

จัตุรัสที่ชำรุดทรุดโทรมพลันทรุดตัวลงอย่างสมบูรณ์

ร่วงลงใต้พื้นดินกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่

กำแพงหินรอบๆถ้ำสั่นสะเทือนอย่างมากทำให้เกิดช่องว่างปรกแตกและพัดพาก้อนหินดินทรายนับไม่ถ้วนลงมากองกับพื้น

แม้กระทั่งภูเขามังกรทั้งลูกก็ยังสั่นสะเทือนราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

เหล่าหน่วยเฝ้ายามและศิษย์รับใช้ที่มาขุดเหมืองจำนวนมากล้วนแต่ตกใจหวาดผวาจนวิ่งหนีแตกกระเจิง

การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนพื้นโลกกินเวลาอยู่นานกว่าจะหยุดลง

เมื่อม่านแสงหลากสีอันพร่างพราวได้หดตัวลงจนมาบรรจบกัน

เสียงอึกทึกก็หายไป พื้นดินที่สั่นสะเทือนก็เริ่มสงบลง

ไม่กี่กิโลเมตรห่างออกไปในความมืด  ความสงบเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง มวลอากาศกลายเป็นนิ่งเงียบ

นำพามาเพียงสายลมเอื่อยๆยามราตรี

ฝูงชนเปิดตากว้างและมองไปที่สุสาน

พวกมันก็ได้เห็นว่าการก่อตัวของมหาข่ายปราณและสุสานล้วนหายไปสิ้น

ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลยในรัศมี 1,000 กิโลเมตรเบื้องหน้า

มันกลายเป็นเพียงหุบเหวลึก

ฝูงชนยืนอยู่บนทางเดินเกาแก่ เป็นสักขีพยานต่อการระเบิดและหายวับไปของสุสานโบราณขนาดใหญ่  ในใจของพวกมันเต็มไปด้วยความตกใจ

หลังจากนั้นไม่นาน อารมณ์ของทุกคนก็สงบลง

พวกมันหันหลังเดินผ่านทางเดินเพื่อออกจากส่วนลึกของพื้นดิน

ครึ่งชั่วยามต่อมา จี้เทียนซิง

หยุนเหยาและทุกคนก็ได้กลับสู่ด้านบนของภูเขามังกร

ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนยอดเขาลูกหนึ่ง

ทอดสายตามองดูทิวทัศน์รอบๆเชิงเขา ภายในใจเต็มไปด้วยมวลอารมณ์อันซับซ้อน

จี้เทียนซิงเหม่อมองขุนเขาจากระยะไกลและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ก่อนหน้านี้  สุสานของเทพกระบี่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน

ภูเขามังกรเปลี่ยนเป็นดินแดนแห่งขุมทรัพย์ที่มีเส้นชีพจรวิญญาณจากพลังของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่วางไว้”

"ทว่าตอนนี้สุสานโบราณได้หายไปแล้ว , ภูเขามังกรก็ถูกผลาญทำลายทรัพยากรไปโดยนิกายกระบี่ฟ้า  ข้าเกรงว่าเส้นชีพจรปฐพีในบริเวณนี้จะถูกทำลายโดยสมบูรณ์  ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เก็บเกี่ยวอีกต่อไป"

หยุนเหยาเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวเสียงเรียบว่า “เอาเถอะ ต่อให้ไม่มีภูเขามังกร

นิกายก็คงพบสถานที่อื่นแทน"

"ไปกันเถอะ กลับไปหาท่านอาจารย์กันก่อน

ท่านต้องเป็นกำลังแย่แล้ว"

จี้เทียนซิงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นทั้งสองก็ออกจากภูเขามังกรด้วยกระเรียนวิญญาณของหยุนเหยา

มุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

...........

ภายในหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็กลับมาถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์

หยุนเหยาควบคุมกระเรียนวิญญาณและลงจอดบนยอดเขาชื่อเซียวโดยตรง

ทั้งสองเข้าไปในตำหนักฉิงเทียนพร้อมกันและรายงานต่อฉู่เทียนเซิง

ตลอดสี่วันมานี้ แม้นมันจะง่วนอยู่กับเรื่องราวภายในนิกาย

แต่มันก็ยังนึกถึงเรื่องของจี้เทียนซิงและหยุนเหยาอยู่เสมอ

เป็นห่วงและกังวลพวกเขาตลอดเวลา

เมื่อได้ทราบข่าวจากผู้พิทักษ์ชุดดำว่าศิษย์เอกทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัย

มันจึงรู้สึกโล่งอกและวางใจในที่สุด

คนก้าวยาวๆออกจากห้องด้านหลังตำหนักทันที

เข้าสู่ห้องโถงของตำหนักฉินเทียนอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่มันเข้าไปในห้องโถงก็ได้เห็นจี้เทียนซิงและหยุนเหยายืนรออยู่อย่างสงบ

มันเหลือบมองทั้งสองอยู่หลายครา

แต่สุดท้ายดวงตาไปตกอยู่ที่ร่างของจี้เทียนซิง มันอดไม่ได้ที่จะต้องชะงักฝีเท้า

แววตาเปล่งแสงทอประกายจางๆออกมา

พลันเอ่ยปากขึ้นมาว่า

"เทียนซิง

เจ้าตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณโอสถ.....

ขั้นที่สามแล้ว ?!"

มันโพล่งขึ้นมาด้วยความประหลาดใจและรู้สึกว่าสิ่งที่สำรวจพบตรงหน้านี้ค่อนข้างจะเหลือเชื่อ

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาก็รีบโค้งคำนับทักทายอย่างรวดเร็ว

"คารวะท่านอาจารย์

!”

ฉู่เทียนเซิงยกมือขึ้นปัดป่ายไปมาเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องมากมารยาท

จากนั้นรีบถามอย่างรวดเร็วว่า “เทียนซิง เจ้าตอบอาจารย์มา

เจ้าทะลวงมหาข่ายปราณในสุสานได้แล้วใช่หรือไม่ ?   เจ้าได้อะไรกลับมา ?"

จี้เทียนซิงพยักหน้าและรายงานเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายได้ฟังโดยละเอียดด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ท่านอาจารย์

ศิษย์และศิษย์พี่หญิงได้ร่วมมือกันทำลายข่ายปราณและเข้าไปในสุสานส่วนในสุดได้สำเร็จ

ศิษย์ได้พบอาภรณ์เทพกระบี่.....”

ชายหนุ่มใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการอธิบายกระบวนการทั้งหมด

ตลอดจนการสำรวจภายในสุสานพร้อมกับหยุนเหยา ให้ฉู่เทียนเซิงได้รับทราบ

หลังจากเขาพูดจบ ฉู่เทียนเซิงก็เผยรอยยิ้มยินดีและเปี่ยมไปด้วยความสุข

มันพยักหน้าหลายครั้งหลายคราอย่างพึงพอใจในผลงานของศิษย์ทั้งสองเป็นอย่างมาก