ตอนที่ 179

ชีพจรกระบี่โลหิต

- สายเลือดกระบี่ยุทธ์

ยอดเขาเมฆาสีชาด, นิกายพันธมิตรสวรรค์

ยามเช้าตรู่

ฉู่เทียนเซิงประมุขนิกายและเหล่าผู้อาวุโสมารวมกันในห้องโถงใหญ่

ฉู่เทียนเซิงนั่งอยู่บนบัลลังก์แรกและกำลังรับฟังการรายงานของเหล่าอาวุโสในท่วงท่างามสง่า

หลังจากฟังรายงานของเหล่าผู้อาวุโสเสร็จสมบูรณ์แล้วเขาก็ออกความเห็นที่สอดคล้องและออกคำสั่งเพิ่มเติมไปอีกหลายประการ

มันใช้เวลาไม่นานสำหรับการประชุมเช้าตรู่

จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสก็ทยอยอำลาจากไป เหลือแต่เพียงอาวุโสชูไฮว่ซานของฝ่ายนอกเพียงผู้เดียว

ฉู่เทียนเซิงจ้องมองไปยังชูไฮว่ซานและถามว่า

“อาวุโสชู เหลือท่านเพียงผู้เดียวแล้ว

มีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่ ?”

ชูไฮว่ซานประสานมือคารวะและพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“มีเรื่องสำคัญที่ข้ารอรายงานต่อท่านประมุขขอรับ”

“เช้าวันนี้ผู้ดูแลเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายกระบี่ฟ้าได้มาถึงนิกายเราพร้อมกับศิษย์อัจฉริยะสามคน

พวกข้าได้เตรียมที่พักให้พวกเขาไว้ที่หอฉิงซ่ง”

ฉู่เทียนเซิงเลิกคิ้วขึ้นและผงกศีรษะ

“อืม ก็ดี, อาวุโสชู

ท่านมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลแขกเหรื่อเหล่านั้นและสร้างความบันเทิงให้พวกเขา

พวกเขาอยากได้อะไรก็จัดหาให้ซะ

อย่าได้ทำให้ชื่อเสียงของนิกายพันธมิตรสวรรค์เราต้องมัวหมอง”

“นอกจากนี้ ส่งคนคอยจับตาดูพวกเขาไว้ด้วย

อย่าปล่อยให้พวกเขาสร้างปัญหาความเดือดร้อน”

“ทราบแล้วท่านประมุข !”

ชูไฮว่ซานกำหมัดรับคำสั่ง   หลังจากเผยสีหน้าลังเลเล็กน้อยก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า

“ท่านประมุข ข้าน้อยขออนุญาตเรียนถาม  นิกายกระบี่ฟ้ารีบร้อนส่งศิษย์เข้ามาในนิกายเราเช่นนี้

เห็นได้ชัดว่าไม่มีเจตนาดีเป็นแน่

ทำไมท่านประมุขถึงได้ตอบรับคำท้าของพวกเขาละขอรับ ?”

มุมปากของฉู่เทียนเซิงเชิดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่าเผย

“นิกายของเรามีข้อตกลงกับนิกายกระบี่ฟ้ามานานนับร้อยปี

แน่นอน เหล่าประมุขรุ่นก่อนๆรวมถึงข้าย่อมรู้ดีว่าความทะเยอทะยานของพวกเขาไม่ใช่น้อยๆแถมยังมีแผนการบางอย่าง”

“แต่วันนี้ต่างออกไป ในช่วงสามปีที่ผ่านมานิกายกระบี่ฟ้าได้ครอบครองภูเขามังกรและขุดค้นทรัพยากรบ่มเพาะได้เป็นจำนวนมากจนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว”

“ผู้คนของนิกายกระบี่ฟ้าได้ไปยังอาณาจักรหยงอันเพื่อเลือกเฟ้นยอดอัจฉริยะจากทั่วทั้งอาณาจักร

ซึ่งผลที่ได้รับก็ค่อนข้างคุ้มค่า

มีข่าวลือว่าพวกเขาพบรุ่นเยาว์อัจฉริยะมากพรสวรรค์หลายคนในปีนี้”

“ดังนั้น

ในเมื่อนิกายกระบี่ฟ้าส่งศิษย์ใหม่มาคิดหมายจะอวดเบ่งพลังยุทธ์ เช่นนั้นข้าก็จะวัดกับพวกเขาด้วยศักยภาพเหล่าศิษย์ใหม่ของนิกายเราในปีนี้เช่นกัน

! ให้ข้าชมเป็นขวัญตาหน่อยเถิดว่าศิษย์ใหม่ฝั่งไหนมันจะแน่กว่ากัน

ถึงแพ้ก็มิเสียหายอันใด อย่างไรก็แค่ประลองชี้แนะ”

ชูไฮว่ซานพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“ที่แท้ท่านประมุขก็มีความคิดอ่านอยู่แล้ว”

จากนั้นชูไฮว่ซานก็รีบหยิบบัญชีรายชื่อออกจากแขนเสื้อและส่งไปให้ฉู่เทียนเซิง

“เรียนท่านประมุข นี่คือข้อมูลของเหล่าศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสามคนที่มาเยือนนิกายเรา  ขอท่านประมุขโปรดอ่านดู”

“จากข้อสังเกตพื้นฐาน ศิษย์ทั้งสามที่มาแลกเปลี่ยนในครั้งนี้คือหนุ่มสาวที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม

อีกทั้งระดับพลังของพวกมันก็ทะลวงผ่านสู่ขอบเขตปราณจิตเรียบร้อยแล้ว  พวกมันทั้งหมดล้วนมาจากอาณาจักรหยงอัน”

ในขณะที่ฉู่เทียนเซิงกำลังกวาดสายตาอ่านข้อมูล

ชูไฮว่ซานก็กล่าวเสริมว่า “ศิษย์ทั้งสามนั้นมีชื่อว่าฮั่งเชิน, หยานตงไหลและหยินเฟยหยาง”

“คนแรก หยานตงไหลมีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง

มันมาจากตระกูลขุนนางผู้ฝึกกระบี่ในอาณาจักรหยงอันและมีพรสวรรค์โดยกำเนิดที่ยอดเยี่ยม”

“คนที่สอง

หยินเฟยหยางมีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สาม มันเป็นคนของตระกูลราชวงศ์ที่เกิดในราชอาณาจักรของอาณาจักรหยงอัน”

“ส่วนคนสุดท้าย ฮั่งเชิน

บุคลผู้นี้แข็งแกร่งที่สุด มันมีการฝึกปรือในระดับปราณจิตขั้นที่ห้า !

พรสวรรค์โดยกำเนิดก็ล้ำลึกสุดกู่ มันเป็นยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของอาณาจักรหยงอันที่นิกายกระบี่ฟ้าได้ค้นพบในปีนี้

!”

“จากที่ข้าสืบข่าวมา ฮั่งเชินเคยอยู่ในนิกายระดับสามของอาณาจักรหยงอัน

แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นศิษย์ของนิกายใด

ข้อมูลทุกอย่างของคนผู้นี้ถูกเก็บเป็นความลับหมดสิ้น”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของชูไฮว่ซาน

ฉู่เทียนเซิงก็ยกคิ้วขึ้นและมีสีหน้าสนอกสนใจพลางเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่ายว่า

“ในเมื่อฮั่งเชินเป็นยอดอัจฉริยะเช่นนี้

ทำไมมันถึงได้กบดานอยู่ในนิกายระดับสามมาตั้งเนิ่นนาน ? ทำไมนิกายกระบี่ฟ้าถึงไม่พบตัวมันเสียแต่เนิ่นๆ ?”

ชูไฮว่ซานอธิบายอย่างรวดเร็วว่า

“โดยปกติแล้วนิกายระดับสามจะเน้นศึกษาเกี่ยวค่ายกลและข่ายปราณเป็นหลัก

พวกมันมีอาณาเขตน้อยและทรัพยากรที่มีให้เก็บเกี่ยวก็น้อยลงเป็นเงาตามตัว

พวกมันมักจะตกเป็นเป้าโจมตีของสำนักนิกายอื่นเป็นประจำ

สุดท้ายก็จะถึงจุดจบและล่มสลาย"

“ฮั่งเชินนับเป็นตัวประหลาด

มันมีพลังสายเลือดกระบี่ยุทธ์และมีพรสวรรค์ในเชิงกระบี่ที่โดดเด่นเหนือผู้ใด แต่ทว่าความสามารถทางด้านข่ายปราณกลับธรรมดาสามัญทั้งๆที่อยู่ในนิกายที่มุ่งเน้นในด้านข่ายปราณ”

“การต่อสู้ของคนผู้นี้เกรี้ยวกราดดุดันและล้มยอดฝีมือมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ตอนอยู่ในนิกาย ฮั่งเชินก็ยโสโอหังไม่ไว้หน้าผู้ใด บางครั้งก็หาเรื่องทะเลาะวิวาทกับศิษย์นิกายอื่นแบบไร้เหตุผล”

“ด้วยความที่มันได้ยั่วยุและเพาะสร้างศัตรูมากมาย

สุดท้ายนิกายที่ใหญ่กว่าก็ใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างบุกทำลายนิกายเดิมของมันจนล่มสลาย"

เมื่อได้ยินประวัติของฮั่งเชิน

ฉู่เทียนเซิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและเผยรอยยิ้ม

“หึๆ

มีพลังแค่ขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้าแต่กลับกล้ากำแหงหาเรื่องวิวาทกับนิกายอื่นไปทั่ว

เด็กคนนี้เป็นดั่งดาวหางที่เจิดจรัสไม่น้อย”

ชูไฮว่ซานส่ายหัวและกล่าวอย่างจริงจังว่า

“ท่านประมุข ฮั่งเชินมีทั้งพรสวรรค์และครองสายเลือดกระบี่ยุทธ์แต่กลับอาศัยอยู่ในนิกายระดับสามที่มุ่งเน้นทางข่ายปราณ  คนผู้นี้เป็นดั่งไข่มุกล้ำค่าหากให้เวลามันได้เติบโตและบ่มเพาะมากยิ่งขึ้น”

“นิกายระดับสามนั้นมิอาจมองเห็นความสามารถและพรสวรรค์โดยธรรมชาติของมัน

แต่นิกายกระบี่ฟ้ามองออกและสามารถเลี้ยงดูปูเสื่อฮั่งเชินจนมันกลายเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าได้”

ฉู่เทียนเซิงยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวเสริมว่า

“ถูกต้องตามนั้น

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นอัจฉริยะมักจะมีนิสัยแปลกๆและแตกต่างจากคนทั่วไป  มีเพียงนิกายใหญ่เท่านั้นที่อดทนและควบคุมบุคลประเภทนั้นได้”

“อาวุโสชู ท่านว่าต่อไป”

ชูไฮว่ซานพยักหน้าและกล่าวต่อไปว่า

“หลังจากนิกายเดิมถูกทำลาย

ฮั่งเชินไม่เพียงแค่รอดพ้นจากการถูกกรุ้มรุมเท่านั้นแต่มันยังขโมยสมบัติของนิกายออกมาด้วย

มันเดินทางไปทั่วอาณาจักรหยงอันและหลบหนีการไล่ล่ามาโดยตลอด”

“จากนั้นเมื่อนิกายกระบี่ฟ้าไปเปิดรับสมัครศิษย์ใหม่ที่อาณาจักรหยงอัน

ฮั่งเชินจึงสบโอกาสและได้เข้าร่วมกับนิกายกระบี่ฟ้าในที่สุด”

“หลังจากเข้านิกายไปได้ไม่นานเด็กคนนี้ก็ถูกค้นพบชีพจรกระบี่โลหิตและสายเลือดกระบี่ยุทธ์  นิกายกระบี่ฟ้าไม่เพียงแค่อุ้มชูมันอย่างมาก

แต่พวกมันยังมอบเคล็ดวิชาและทรัพยากรบ่มเพาะให้อีกมากมาย”

“แม้กระทั่งประมุขนิกายกระบี่ฟ้ายังรับมันเป็นศิษย์สายตรงและบ่มเพาะเต๋ากระบี่ให้มันเป็นการส่วนตัว  เขาคาดหวังกับฮั่งเชินไว้สูงมาก !”

ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

"สายเลือดกระบี่ยุทธ์นั้นหาได้ยากยิ่งและเป็นสายเลือดระดับล้ำลึกในขั้นสูง

แต่ทว่าสายเลือดกระบี่ลี้ลับนั้นทรงพลังยิ่งกว่า”

“นอกจากนี้สิบอัจฉริยะจากทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินล้วนอยู่ในนิกายนี้

หากเทียบกับจอมยุทธ์อัจฉริยะฮั่งเชินของนิกายกระบี่ฟ้าที่มีสายเลือดกระบี่ยุทธ์นั้นนับว่าไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

!”

เมื่อฉู่เทียนเซิงพูดถึงระดับขั้นสายเลือด

ชูไฮว่ซานก็แสดงรอยยิ้มอันภาคภูมิใจและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ถูกอย่างที่ท่านประมุขกล่าว

อัจฉริยะส่วนใหญ่ของอาณาจักรเทียนเฉินล้วนมารวมตัวกันอยู่ในนิกายนี้”

“ถึงแม้สายเลือดกระบี่ยุทธ์จะหาได้ยาก

แต่มันก็เป็นแค่สายเลือดระดับล้ำลึก หากเทียบกับหัวหน้าศิษย์หยุนเหยาของนิกายเราที่ครองสายเลือดกายจิตจักรพรรดิในระดับสวรรค์นั้น

มันต่างกันราวท้องนภากับผืนดิน !”

“พลังสายเลือดในระดับล้ำลึกนั้นมีส่วนช่วยให้ฮั่งเชินมีโอกาสเก้าส่วนที่จะตัดผ่านไปถึงขอบเขตปราณจิต

แต่สายเลือดกายจิตจักรพรรดิของหยุนเหยานั้นช่วยให้นางทะลุขีดขั้นที่เหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตปราณฟ้า ! อนาคตของนางจะไร้ที่สิ้นสุด ภายในระยะเวลาไม่เกินสิบปี

นิกายเราจะมีผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณฟ้าเพิ่มขึ้นอีกสามคน

เช่นนี้นิกายกระบี่ฟ้าจะเทียบกับนิกายเราได้อย่างไร ?”