ภารกิจแรก
หลอมโอสถ
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงและส่องแสงอันร้อนระอุซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกอ่อนล้าได้ง่าย
อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงและเนี่ยห่าวรวมถึงคนอื่นๆก็ยังไม่ได้กลับไปที่ห้อง
พวกเขายืนอยู่ในห้องโถงใหญ่และรับฟังการอบรมของครูฝึกฮั่น
ฮั่นเฉียวเซิงนั่งอยู่บนที่นั่งหลักในห้องโถงใหญ่และกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“การฝึกยุทธ์นั้นมิใช่เพียงแค่บ่มเพาะพลังหรือเคล็ดวิชา แต่มันยังรวมไปถึงวิถีแห่งการหลอมโอสถ, ศาสตร์แห่งค่ายกล, และการหลอมสร้างอาวุธด้วยเช่นกัน”
“ ดังนั้นงานของพวกเจ้าในเดือนนี้ก็คือการเรียนรู้ปรับแต่งเม็ดยา
!”
“ข้าไม่ได้คาดหวังให้พวกเจ้าเชี่ยวชาญจนถึงแก่นการหลอมโอสถหรือกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถในอนาคต
แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจในวิธีการปรุงยาซึ่งรับรองว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับฝึกยุทธ์ของพวกเจ้า”
“ภารกิจของพวกเจ้าในเดือนนี้คือการปรับแต่งเม็ดยาสะสมวิญญาณ, เม็ดยาหยกฟ้าและเม็ดยาบำรุงหัวใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเม็ดยาที่มีคุณภาพสูง”
“ผู้ใดที่ปรุงยาที่มีความบริสุทธิ์สูงที่สุดจะได้รับรางวัลเพิ่มเติมอีกด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮั่นเฉียวเซิง
จี้เทียนซิงและคนอื่นๆก็รู้สึกอึดอัดมาก
พวกเขาไม่เคยเรียนรู้วิถีแห่งการปรุงยามาก่อน
ส่วนมากก็ซื้อกินจากปรมาจารย์ผู้หลอมโอสถ
โดยเม็ดที่มีคุณภาพดีที่สุดเม็ดหนึ่งอย่างน้อยๆก็ต้องได้รับการปรับแต่งโดยยอดฝีมือระดับต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่เจ็ดขึ้นไป
อีกทั้งยังต้องศึกษาและทดสอบอย่างน้อยหนึ่งปี
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นเยาว์แต่ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้การปรุงยาภายในหนึ่งเดือนและปรับแต่งเม็ดยาคุณภาพสูงทั้งสามระดับ
อย่างไรก็ตาม
ในสิบคนนี้ยังมีสองคนที่แสดงรอยยิ้มมั่นใจออกมา หนึ่งในนั้นร่างผอมบางและตัวเตี้ย
อีกทั้งยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจี้เทียนซิง
บุคคลผู้นี้ชื่อซื่อจิงเฉิง
มันเกิดในตระกูลใหญ่ผู้หลอมสร้างโอสถแห่งแคว้นหลิงซาน มันประสบความสำเร็จในศาสตร์แห่งการปรุงยาและปรับแต่งเม็ดยาคุณภาพดีได้หลายชนิด
ส่วนอีกคนหนึ่งมีร่างกายกำยำและดูแข็งแกร่ง
ผิวพรรณเป็นสีเข้มดั่งคาร์บอนและมีดวงตาเปล่งประกายอย่างแรงกล้า
บุคคลนี้ชื่ออี้โม่ซึ่งเป็นสมาชิกตระกูลราชวงศ์จากอาณาจักรวารีทมิฬ
มันมีความสนใจในศาสตร์แห่งการปรุงยาตั้งแต่ยังเด็กและมีรากฐานการปรุงยาอันแข็งแกร่ง
ฮั่นเฉียวเซิงที่มีสายตาแหลมคมย่อมมองเห็นดวงตาที่เจิดจ้าของซื่อจิงเฉิงและอี้โม่เป็นอย่างดี
เขามองไปที่ทั้งสองด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ซื่อจิงเฉิง, อี้โม่
ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งสองจะมีพื้นฐานการปรุงยาอยู่ไม่น้อยใช่หรือไม่ พวกเจ้าคงไม่รู้สึกกดดันใดๆกับงานนี้”
“แต่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าว่าเม็ดยาสะสมวิญญาณ, เม็ดยาหยกฟ้าและเม็ดยาบำรุงหัวใจที่พวกเจ้าจะต้องปรับแต่งนั้นเป็นโอสถลับของนิกายพันธมิตรสวรรค์ซึ่งแตกต่างจากโอสถของโลกฆราวาสมากนัก”
“ถึงแม้พวกเจ้าทั้งสองจะมีพื้นฐานในการปรุงยาและมีโอกาสล้ำหน้าผู้อื่น
แต่พวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนและเข้าใจมัน อย่าได้ประมาท !”
ซื่อจิงเฉิงและอี้โม่สำรวมกิริยาสีหน้าแห่งผู้ชนะ
จากนั้นก็ประสานมือคำนับพลางกล่าวว่า “พวกข้าเลินเล่อเกินไป
ขอบคุณครูฝึกฮั่นกระตุ้นเตือน !”
ต่อมาฮั่นเฉียวเซิงก็แจ้งให้ตู้หวู่นำตำราโบราณเล่มหนาสิบเล่มออกมาและแจกจ่ายให้กับทุกคน
ตำราเล่มนี้เป็นสีดำและหนักมากราวกับก้อนอิฐและหน้าปกเขียนไว้ว่า
'ตำราพันโอสถ'
ฮั่นเฉียวเซิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“หากต้องการเรียนรู้การปรุงยา
พวกเจ้าต้องเริ่มเรียนรู้จากการระบุประเภทของสมุนไพรเสียก่อน ภารกิจในสัปดาห์แรกของพวกเจ้าคือจดจำสมุนไพรมากกว่า
3,000 ชนิดในตำราพันโอสถเล่มนี้
“ภูเขาด้านหลังมีสวนสมุนไพรวิญญาณ หากพวกเจ้าต้องการระบุชนิดและประเภทของสมุนไพรให้ได้ครบถ้วนโดยเร็ว
พวกเจ้าสามารถไปที่นั่นได้ อย่าลืมพกป้ายประจำตัวไปด้วย”
“อย่างไรก็ตาม
พวกเจ้าห้ามแตะต้องหรือเด็ดสมุนไพรเหล่านั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกลงโทษตามกฎของสำนัก
!”
หลังจากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็ปลีกตัวจากไปและปล่อยให้ศิษย์ทุกคนปฏิบัติตัวตามอัธยาศัย
ซึ่งกฎโดยทั่วไปของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็คล้ายคลึงกับที่อื่น
หากครูฝึกทั้งสองคนมีเรื่องสำคัญที่จะต้องประกาศ
ทุกคนในหอยุทธ์จะต้องไปรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่
นอกเหนือจากนั้นศิษย์สาวกทุกคนมีอิสระเสรีไปไหนมาไหนก็ได้
ตราบเท่าที่ไม่ได้ละเมิดกฎหรืออยู่ในประกาศเคอร์ฟิว ไม่มีผู้ใดเข้ามาบังคับควบคุม
แน่นอนว่าการที่ฮั่นเฉียวเซิงเพิ่งประกาศภารกิจของเดือนนี้รวมถึงเนื้อหาเรียนรู้สัปดาห์ไปแล้วนั้นทำให้ทุกคนรู้ว่าหนทางช่างยากลำบากและกดดันมาก พวกเขาจะเสียเวลาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
จี้เทียนซิงและเนี่ยห่าวเดินเคียงคู่กันออกจากห้องโถงใหญ่และพูดคุยกันอีกสองสามคำ
จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
ในที่สุดจี้หลิงก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปหาฮั่นเฉียวเซิงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการปรุงยา
ซึ่งอีกฝ่ายก็ใจดีต่อจี้หลิงมากและยินดีตอบข้อซักถามตลอดจนอธิบายพื้นฐานเบื้องต้น
เมื่อจี้หลิงได้รับคำตอบที่พึงพอใจก็กล่าวขอบคุณฮั่นเฉียวเซิงและกลับไปที่ห้อง
จี้เทียนซิงกลับมาที่ห้องและหยิบตำราพันโอสถออกมาอ่านเปิดอ่านอย่างถี่ถ้วน
...........
ยามบ่ายผ่านพ้นไปโดยไม่รู้ตัว
พอถึงช่วงค่ำก็มีศิษย์ทั่วไปนำอาหารมาแจกจ่ายให้ที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น เห็นได้ชัดว่าการดูแลศิษย์ของหอยุทธ์นั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก
เพียงแค่มองจากอาหารเย็น
ถึงแม้จะมีอาหารไม่กี่อย่าง
เพียงข้าวสวยชามเดียวและซุปหนึ่งหม้อเท่านั้น แต่ส่วนผสมของอาหารก็นับว่าล้ำค่ามาก
ข้าวเป็นข้าววิญญาณที่ผลิตในฟาร์มของนิกาย อีกทั้งเนื้อสัตว์ก็ยังเป็นเนื้อสัตว์อสูรวิญญาณที่เปี่ยมด้วยพลังงาน
การได้รับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำทุกวันจะช่วยปรับแต่งร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งศิษย์ทั่วที่นำอาหารมาส่งให้จี้เทียนซิงนั้นเป็นเด็กชายอายุราวๆ
12-13 ปี ร่างสูงผอมดูเฉลียวฉลาด มันมีชื่อว่าเซี่ยวเฟิง
ยามที่มันแรกพบหน้าจี้เทียนซิงกลับมีท่าทางระแวดระวังเหมือนกับว่ามันเกรงกลัวศิษย์อัจฉริยะของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเป็นอย่างมาก
แต่จี้เทียนซิงก็ไม่ถือและปฏิบัติกับมันอย่างเป็นกันเอง
ชายหนุ่มสอบถามเรื่องราวภายในนิกายทั่วๆไปจากมันและได้ข้อมูลมาไม่น้อย
ปรากฏว่าศิษย์ทั่วไป(ศิษย์รับใช้)มีสถานะที่ต่ำมากในนิกายพันธมิตรสวรรค์และพวกมันทุกคนมักจะถูกศิษย์หลักเรียกใช้งานดั่งข้าทาส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์อัจฉริยะบางคนดูถูกศิษย์รับใช้อย่างมาก
บางครั้งไม่พอใจอะไรเล็กน้อยก็จะไประบายอารมณ์หรือกระทั่งดุด่าทุบตีอย่างไร้มนุษยธรรม
เซี่ยวเฟิงเล่าให้จี้เทียนซิงฟังว่า
ครั้งหนึ่งมันเคยไปส่งอาหารให้แก่ศิษย์ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นผู้หนึ่ง
มันบังเอิญไอออกมาเล็กน้อยระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังกินอาหารอยู่
ซึ่งศิษย์ผู้นั้นก็ทุบตีมันจนปางตายและนอนซมอยู่ติดเตียงถึงครึ่งเดือน
ดังนั้น
สำหรับศิษย์รับใช้ที่ต้องการมีศักดิ์ศรีและอิสระจะมีทางออกเพียงสองวิธีเท่านั้น
วิธีแรกเข้าถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงและผ่านการประเมินเพื่อเข้าเป็นศิษย์สายนอกให้ได้ หรืออดทนทำงานอย่างหนักจนครบระยะเวลาสิบปีก็จะถูกปลดจากสำนักและสามารถกลับสู่โลกปุถุชนได้
สรุปแล้วการเป็นสมาชิกในนิกายพันธมิตรสวรรค์แม้จะดูสูงส่งและเป็นที่ต้องการของทุกคน
แต่มันก็มีกฎเกณฑ์มากมายและมีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นทุกที่
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้วจี้เทียนซิงก็รุ้สึกว่าพลังลมปราณได้รับการเติมเต็มจนเพียงพอที่จะเริ่มบ่มเพาะได้แล้ว
ชายหนุ่มเข้าไปห้องลับส่วนตัวและเริ่มฝึกฝนอย่างหนัก
หลังจากผ่านค่ำคืนแห่งการฝึกฝน
เช้าวันรุ่งขึ้นเขารู้สึกว่าความสามารถโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและตัวอ่อนกระบี่ในร่างก็เติบโตขึ้นเช่นกัน
“สภาพแวดล้อมของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ
แม้กระทั่งห้องลับของตระกูลจี้ก็ยังไม่อาจเทียบชั้นได้ บ่มเพาะที่นี่ให้ผลดีกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว !”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าจะมีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ห้า
แต่ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้
ข้าอาจจะตัดผ่านไปยังเขตแดนเชื่อมปราณได้ภายในครึ่งปีจริงๆก็เป็นได้ !”
จี้เทียนซิงคิดในใจหลังออกจากการบ่มเพาะ
เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและความคาดหวังสำหรับตัดผ่านเขตแดนพลังในอีกหกเดือนข้างหน้า
“เมื่อวานได้อ่านตำราพันโอสถ
ถึงแม้ข้าจะจดจำสมุนไพรนับร้อยชนิดได้แล้วแต่หากยังไม่เคยเห็นของจริง
สักวันหนึ่งอาจจะลืมเลือนก็เป็นได้
วันนี้ข้าควรไปที่สวนโอสถวิญญาณเพื่อเปรียบเทียบของจริงกับในตำรา”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved