ตอนที่ 97

ภารกิจแรก

หลอมโอสถ

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว

ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงและส่องแสงอันร้อนระอุซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกอ่อนล้าได้ง่าย

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงและเนี่ยห่าวรวมถึงคนอื่นๆก็ยังไม่ได้กลับไปที่ห้อง

พวกเขายืนอยู่ในห้องโถงใหญ่และรับฟังการอบรมของครูฝึกฮั่น

ฮั่นเฉียวเซิงนั่งอยู่บนที่นั่งหลักในห้องโถงใหญ่และกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“การฝึกยุทธ์นั้นมิใช่เพียงแค่บ่มเพาะพลังหรือเคล็ดวิชา แต่มันยังรวมไปถึงวิถีแห่งการหลอมโอสถ, ศาสตร์แห่งค่ายกล, และการหลอมสร้างอาวุธด้วยเช่นกัน”

“ ดังนั้นงานของพวกเจ้าในเดือนนี้ก็คือการเรียนรู้ปรับแต่งเม็ดยา

!”

“ข้าไม่ได้คาดหวังให้พวกเจ้าเชี่ยวชาญจนถึงแก่นการหลอมโอสถหรือกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถในอนาคต

แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจในวิธีการปรุงยาซึ่งรับรองว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับฝึกยุทธ์ของพวกเจ้า”

“ภารกิจของพวกเจ้าในเดือนนี้คือการปรับแต่งเม็ดยาสะสมวิญญาณ, เม็ดยาหยกฟ้าและเม็ดยาบำรุงหัวใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเม็ดยาที่มีคุณภาพสูง”

“ผู้ใดที่ปรุงยาที่มีความบริสุทธิ์สูงที่สุดจะได้รับรางวัลเพิ่มเติมอีกด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดของฮั่นเฉียวเซิง

จี้เทียนซิงและคนอื่นๆก็รู้สึกอึดอัดมาก

พวกเขาไม่เคยเรียนรู้วิถีแห่งการปรุงยามาก่อน

ส่วนมากก็ซื้อกินจากปรมาจารย์ผู้หลอมโอสถ

โดยเม็ดที่มีคุณภาพดีที่สุดเม็ดหนึ่งอย่างน้อยๆก็ต้องได้รับการปรับแต่งโดยยอดฝีมือระดับต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่เจ็ดขึ้นไป

อีกทั้งยังต้องศึกษาและทดสอบอย่างน้อยหนึ่งปี

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะรุ่นเยาว์แต่ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้การปรุงยาภายในหนึ่งเดือนและปรับแต่งเม็ดยาคุณภาพสูงทั้งสามระดับ

อย่างไรก็ตาม

ในสิบคนนี้ยังมีสองคนที่แสดงรอยยิ้มมั่นใจออกมา หนึ่งในนั้นร่างผอมบางและตัวเตี้ย

อีกทั้งยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจี้เทียนซิง

บุคคลผู้นี้ชื่อซื่อจิงเฉิง

มันเกิดในตระกูลใหญ่ผู้หลอมสร้างโอสถแห่งแคว้นหลิงซาน  มันประสบความสำเร็จในศาสตร์แห่งการปรุงยาและปรับแต่งเม็ดยาคุณภาพดีได้หลายชนิด

ส่วนอีกคนหนึ่งมีร่างกายกำยำและดูแข็งแกร่ง

ผิวพรรณเป็นสีเข้มดั่งคาร์บอนและมีดวงตาเปล่งประกายอย่างแรงกล้า

บุคคลนี้ชื่ออี้โม่ซึ่งเป็นสมาชิกตระกูลราชวงศ์จากอาณาจักรวารีทมิฬ

มันมีความสนใจในศาสตร์แห่งการปรุงยาตั้งแต่ยังเด็กและมีรากฐานการปรุงยาอันแข็งแกร่ง

ฮั่นเฉียวเซิงที่มีสายตาแหลมคมย่อมมองเห็นดวงตาที่เจิดจ้าของซื่อจิงเฉิงและอี้โม่เป็นอย่างดี

เขามองไปที่ทั้งสองด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า

“ซื่อจิงเฉิง, อี้โม่

ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งสองจะมีพื้นฐานการปรุงยาอยู่ไม่น้อยใช่หรือไม่  พวกเจ้าคงไม่รู้สึกกดดันใดๆกับงานนี้”

“แต่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าว่าเม็ดยาสะสมวิญญาณ, เม็ดยาหยกฟ้าและเม็ดยาบำรุงหัวใจที่พวกเจ้าจะต้องปรับแต่งนั้นเป็นโอสถลับของนิกายพันธมิตรสวรรค์ซึ่งแตกต่างจากโอสถของโลกฆราวาสมากนัก”

“ถึงแม้พวกเจ้าทั้งสองจะมีพื้นฐานในการปรุงยาและมีโอกาสล้ำหน้าผู้อื่น

แต่พวกเจ้าก็ต้องฝึกฝนและเข้าใจมัน อย่าได้ประมาท !”

ซื่อจิงเฉิงและอี้โม่สำรวมกิริยาสีหน้าแห่งผู้ชนะ

จากนั้นก็ประสานมือคำนับพลางกล่าวว่า “พวกข้าเลินเล่อเกินไป

ขอบคุณครูฝึกฮั่นกระตุ้นเตือน !”

ต่อมาฮั่นเฉียวเซิงก็แจ้งให้ตู้หวู่นำตำราโบราณเล่มหนาสิบเล่มออกมาและแจกจ่ายให้กับทุกคน

ตำราเล่มนี้เป็นสีดำและหนักมากราวกับก้อนอิฐและหน้าปกเขียนไว้ว่า

'ตำราพันโอสถ'

ฮั่นเฉียวเซิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“หากต้องการเรียนรู้การปรุงยา

พวกเจ้าต้องเริ่มเรียนรู้จากการระบุประเภทของสมุนไพรเสียก่อน ภารกิจในสัปดาห์แรกของพวกเจ้าคือจดจำสมุนไพรมากกว่า

3,000 ชนิดในตำราพันโอสถเล่มนี้

“ภูเขาด้านหลังมีสวนสมุนไพรวิญญาณ หากพวกเจ้าต้องการระบุชนิดและประเภทของสมุนไพรให้ได้ครบถ้วนโดยเร็ว

พวกเจ้าสามารถไปที่นั่นได้ อย่าลืมพกป้ายประจำตัวไปด้วย”

“อย่างไรก็ตาม

พวกเจ้าห้ามแตะต้องหรือเด็ดสมุนไพรเหล่านั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกลงโทษตามกฎของสำนัก

!”

หลังจากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็ปลีกตัวจากไปและปล่อยให้ศิษย์ทุกคนปฏิบัติตัวตามอัธยาศัย

ซึ่งกฎโดยทั่วไปของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็คล้ายคลึงกับที่อื่น

หากครูฝึกทั้งสองคนมีเรื่องสำคัญที่จะต้องประกาศ

ทุกคนในหอยุทธ์จะต้องไปรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่

นอกเหนือจากนั้นศิษย์สาวกทุกคนมีอิสระเสรีไปไหนมาไหนก็ได้

ตราบเท่าที่ไม่ได้ละเมิดกฎหรืออยู่ในประกาศเคอร์ฟิว ไม่มีผู้ใดเข้ามาบังคับควบคุม

แน่นอนว่าการที่ฮั่นเฉียวเซิงเพิ่งประกาศภารกิจของเดือนนี้รวมถึงเนื้อหาเรียนรู้สัปดาห์ไปแล้วนั้นทำให้ทุกคนรู้ว่าหนทางช่างยากลำบากและกดดันมาก  พวกเขาจะเสียเวลาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

จี้เทียนซิงและเนี่ยห่าวเดินเคียงคู่กันออกจากห้องโถงใหญ่และพูดคุยกันอีกสองสามคำ

จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

ในที่สุดจี้หลิงก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปหาฮั่นเฉียวเซิงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการปรุงยา

ซึ่งอีกฝ่ายก็ใจดีต่อจี้หลิงมากและยินดีตอบข้อซักถามตลอดจนอธิบายพื้นฐานเบื้องต้น

เมื่อจี้หลิงได้รับคำตอบที่พึงพอใจก็กล่าวขอบคุณฮั่นเฉียวเซิงและกลับไปที่ห้อง

จี้เทียนซิงกลับมาที่ห้องและหยิบตำราพันโอสถออกมาอ่านเปิดอ่านอย่างถี่ถ้วน

...........

ยามบ่ายผ่านพ้นไปโดยไม่รู้ตัว

พอถึงช่วงค่ำก็มีศิษย์ทั่วไปนำอาหารมาแจกจ่ายให้ที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น  เห็นได้ชัดว่าการดูแลศิษย์ของหอยุทธ์นั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก

เพียงแค่มองจากอาหารเย็น

ถึงแม้จะมีอาหารไม่กี่อย่าง

เพียงข้าวสวยชามเดียวและซุปหนึ่งหม้อเท่านั้น แต่ส่วนผสมของอาหารก็นับว่าล้ำค่ามาก

ข้าวเป็นข้าววิญญาณที่ผลิตในฟาร์มของนิกาย อีกทั้งเนื้อสัตว์ก็ยังเป็นเนื้อสัตว์อสูรวิญญาณที่เปี่ยมด้วยพลังงาน

การได้รับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำทุกวันจะช่วยปรับแต่งร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งศิษย์ทั่วที่นำอาหารมาส่งให้จี้เทียนซิงนั้นเป็นเด็กชายอายุราวๆ

12-13 ปี ร่างสูงผอมดูเฉลียวฉลาด มันมีชื่อว่าเซี่ยวเฟิง

ยามที่มันแรกพบหน้าจี้เทียนซิงกลับมีท่าทางระแวดระวังเหมือนกับว่ามันเกรงกลัวศิษย์อัจฉริยะของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเป็นอย่างมาก

แต่จี้เทียนซิงก็ไม่ถือและปฏิบัติกับมันอย่างเป็นกันเอง

ชายหนุ่มสอบถามเรื่องราวภายในนิกายทั่วๆไปจากมันและได้ข้อมูลมาไม่น้อย

ปรากฏว่าศิษย์ทั่วไป(ศิษย์รับใช้)มีสถานะที่ต่ำมากในนิกายพันธมิตรสวรรค์และพวกมันทุกคนมักจะถูกศิษย์หลักเรียกใช้งานดั่งข้าทาส

โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์อัจฉริยะบางคนดูถูกศิษย์รับใช้อย่างมาก

บางครั้งไม่พอใจอะไรเล็กน้อยก็จะไประบายอารมณ์หรือกระทั่งดุด่าทุบตีอย่างไร้มนุษยธรรม

เซี่ยวเฟิงเล่าให้จี้เทียนซิงฟังว่า

ครั้งหนึ่งมันเคยไปส่งอาหารให้แก่ศิษย์ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นผู้หนึ่ง

มันบังเอิญไอออกมาเล็กน้อยระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังกินอาหารอยู่

ซึ่งศิษย์ผู้นั้นก็ทุบตีมันจนปางตายและนอนซมอยู่ติดเตียงถึงครึ่งเดือน

ดังนั้น

สำหรับศิษย์รับใช้ที่ต้องการมีศักดิ์ศรีและอิสระจะมีทางออกเพียงสองวิธีเท่านั้น

วิธีแรกเข้าถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงและผ่านการประเมินเพื่อเข้าเป็นศิษย์สายนอกให้ได้  หรืออดทนทำงานอย่างหนักจนครบระยะเวลาสิบปีก็จะถูกปลดจากสำนักและสามารถกลับสู่โลกปุถุชนได้

สรุปแล้วการเป็นสมาชิกในนิกายพันธมิตรสวรรค์แม้จะดูสูงส่งและเป็นที่ต้องการของทุกคน

แต่มันก็มีกฎเกณฑ์มากมายและมีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นทุกที่

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้วจี้เทียนซิงก็รุ้สึกว่าพลังลมปราณได้รับการเติมเต็มจนเพียงพอที่จะเริ่มบ่มเพาะได้แล้ว

ชายหนุ่มเข้าไปห้องลับส่วนตัวและเริ่มฝึกฝนอย่างหนัก

หลังจากผ่านค่ำคืนแห่งการฝึกฝน

เช้าวันรุ่งขึ้นเขารู้สึกว่าความสามารถโดยรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและตัวอ่อนกระบี่ในร่างก็เติบโตขึ้นเช่นกัน

“สภาพแวดล้อมของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ

แม้กระทั่งห้องลับของตระกูลจี้ก็ยังไม่อาจเทียบชั้นได้  บ่มเพาะที่นี่ให้ผลดีกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว !”

“ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าจะมีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ห้า

แต่ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้

ข้าอาจจะตัดผ่านไปยังเขตแดนเชื่อมปราณได้ภายในครึ่งปีจริงๆก็เป็นได้ !”

จี้เทียนซิงคิดในใจหลังออกจากการบ่มเพาะ

เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและความคาดหวังสำหรับตัดผ่านเขตแดนพลังในอีกหกเดือนข้างหน้า

“เมื่อวานได้อ่านตำราพันโอสถ

ถึงแม้ข้าจะจดจำสมุนไพรนับร้อยชนิดได้แล้วแต่หากยังไม่เคยเห็นของจริง

สักวันหนึ่งอาจจะลืมเลือนก็เป็นได้

วันนี้ข้าควรไปที่สวนโอสถวิญญาณเพื่อเปรียบเทียบของจริงกับในตำรา”