ตอนที่ 342 เกราะดาราปราณฟ้า

ถึงแม้จี้เทียนซิงจะเริ่มตระหนักได้ว่าการตายของซื่อเหวินหยูนั้นแปลกประหลาดมาก

แต่ร่างไร้วิญญาณของซื่อเหวินหยูที่นอนอยู่บนเวทีก็เป็นข้อยืนยันต่อหน้าแขกเหรื่อหลายร้อยคนจากนิกายต่างๆ

ทุกคนเห็นชัดเจนว่าซื่อเหวินหยูตายหลังจากโดนฝ่ามือของจี้เทียนซิง

ที่คือข้อเท็จจริงที่ปรากฏ

จี้เทียนซิงมิอาจโต้เถียงได้เต็มปาก !

ผู้เฒ่าทั้งสี่ของนิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร

ทั้งหมดโคจรพลังลมปราณเตรียมจะลงมือ

หัตถ์ปราณ, คลื่นกระบี่,

เพลงหมัดที่แฝงไปด้วยปราณแท้อันมหาศาล

ทั้งหมดทั้งมวลระดมเข้าใส่จี้เทียนซิง หมายจะทำร้ายคร่ากุมเขาให้สิ้นฤทธิ์อย่างรวดเร็ว

คนทั้งสี่เป็นยอดฝีมือผู้ทรงพลังในขอบเขตปราณโอสถ

ปราณแท้ที่ปะทุจากร่างของพวกมันนั้นทรงอำนาจและน่าทึ่งมาก

เวทีที่มีรัศมียี่สิบเมตรนั้นเต็มไปด้วยพลังงานรุนแรงและดูโกลาหลมาก

ท่ามกลางการกรุ้มรุมของผู้เฒ่าทั้งสี่

จี้เทียนซิงถูกกดดันจนแทบหายใจไม่ออกจากคลื่นพลังลมปราณมากมาย

เขาตกอยู่ในวิกฤติเป็นตายในทันทีและสามารถตกตายได้ในพริบตา !

ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดหรือเก่งแค่ไหน

ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์ในขณะนี้

พลังของผู้เฒ่าทั้งสี่นั้นอยู่ห่างไกลเกินกว่าเขาหลายเท่า

เขาไม่มีเวลาพอที่จะหลบหนีหรือต่อต้าน

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

จี้เทียนซิงหยิบลูกบอลสีเงินลูกหนึ่งออกมาจากมิติ

ลูกบอลทรงกลมสีเงินเข้มนี้เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่ฉู่เทียนเซิงมอบให้เขาตอนที่ไปขอยืมโลงหยกวิญญาณ

ตอนที่อยู่ในหอคอยเจ็ดดาว จี้เทียนซิงไม่เคยใช้งานมันเพราะไม่มีอันตรายใดๆที่มากพอจะคุกคามชีวิตของเขาได้   แต่ในที่สุดโอกาสนั้นก็มาถึง

เขาถือลูกบอลสีเงินไว้ในมือขวา

โคจรปราณแท้ถ่ายเทเข้าไปในนั้นเพื่อเปิดใช้งาน

วู้ม !

ลูกบอลทรงกลมสีเงินส่องสว่างขึ้นเป็นแสงสีเงินอันพร่างพราวในทันทีและขยายวงกว้างเป็นก้อนลำแสงที่ล้อมรอบเขาไว้

"วูบ !"

เพียงครู่เดียว

ร่างกายของจี้เทียนซิงก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยชุดเกราะสีเงินเข้ม

ชุดเกราะนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันหาญกล้าและกดขี่ผู้คน

มันส่องแสงระยิบระยับดุจดั่งแสงสีเงินจากดวงดาวบนท้องฟ้าที่เปล่งประกายความลึกลับอันกว้างใหญ่ไพศาล

ชุดเกราะนี้ห่อหุ้มเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า พร้อมเกราะหมวก

เกราะแขนและถุงมือ รวมไปถึงรองเท้าอีกคู่หนึ่ง

ชุดเกราะนี้ไม่เพียงแค่ปกป้องเขาจากการโจมตีในทุกทิศทาง

แต่มันยังซ่อนอาวุธไว้ทุกที่ในร่างกายของเขาอีกด้วย

มีคมดาบสามเล่มซ่อนอยู่ในหมวก

มีคมมีดมากมายซ่อนอยู่ในเกราะแขน มีหนามแหลมซ่อนอยู่ในถุงมือ

แม้แต่ช่วงหัวเข่าของเกราะและใต้ฝ่าเท้าของรองเท้าก็ยังซ่อนคมดาบเอาไว้หลายอัน

โดยสรุปแล้วหลังจากที่จี้เทียนซิงได้ใส่ชุดเกราะนี้

เขาไม่เพียงแค่ได้รับการปกป้องเต็มพิกัด แต่ยังมีอาวุธรอบด้านอีกด้วย !

ในเวลาต่อมาผู้เฒ่าทั้งสี่โจมตีพร้อมกันจนเกิดเสียงดัง

‘เป้ง  เป้ง

เป้ง’ จากการกระทบร่างจี้เทียนซิง

เขาสั่นไปทั่วร่างในทันที ทว่าร่างกายกลับเปล่งแสงสีเงินบาดลูกตาออกมา

เวทีวงแหวนกว้าง 20 เมตรเต็มไปด้วยริ้วลำแสงปราณแท้อันสดใส

ก่อเกิดเป็นความอึกทึกวุ่นวายในทันที

คนส่วนใหญ่ประเมินว่าจี้เทียนซิงที่ยังมิได้ตัดผ่านขอบเขตปราณโอสถ

ย่อมไม่สามารถหยุดการบุกโจมตีของผู้เฒ่าที่แข็งแกร่งในขอบเขตปราณโอสถทั้งสี่คนนี้ได้

ถึงแม้เขาจะมีชุดเกราะคุมกายและไม่ตกตายในทันที

แต่อย่างน้อยก็ต้องได้ผลกระทบอย่างรุนแรง

แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ

จี้เทียนซิงไร้รอยขีดข่วนและยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กลางเวทีเหมือนเดิม !

เกราะสีเงินที่เขาสวมใส่นั้นสามารถหยุดการโจมตีของผู้เฒ่าทั้งสี่ได้

!

ภาพนี้ทำให้แขกหลายร้อยคนต้องตกตะลึง

เทียนเจี้ยนจงสีหน้าเปลี่ยนไป

ประกายแห่งความประหลาดใจกระพริบผ่านดวงตาของมันพลางกระซิบแผ่วเบาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“ที่แท้ก็เป็นเกราะดารา

?”

"สารเลวฉู่เทียนเซิงมอบสมบัติให้เจ้าเด็กนี่  มันถึงขั้นมอบเกราะดาราให้จี้เทียนซิงเลยหรือ ? เป็นไปได้อย่างไร ?!“

คนอื่นๆอาจจะไม่รู้จักชุดเกราะนี้

แต่เทียนเจี้ยนจงรู้ดี มันเคยต่อสู้กับฉู่เทียนเซิงมาแล้วหลายครั้ง

มันย่อมรู้โดยธรรมชาติว่าชุดเกราะสีเงินเข้มชุดนี้เป็นหนึ่งในสุดยอดสมบัติของนิกายพันธมิตรสวรรค์, เกราะแห่งดวงดารา !

เกราะดาราเป็นสมบัติในระดับปราณฟ้า

มีเพียงยอดฝีมือในระดับปราณฟ้าขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถปรับแต่งหรือทำลายมันได้

แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธ์ระดับต่ำกว่าปราณฟ้าจะทำลายการป้องกันของเกราะดารา

จี้เทียนซิงที่ได้สวมเกราะดาราก็เป็นดั่งบุรุษผู้อยู่ยงคงกระพันในยามนี้

เว้นเสียแต่จะมีการโจมตีอันแข็งแกร่งในระดับปราณฟ้าจึงจะสามารถทำลายการป้องกันของเกราะดาราได้

เป็นเวลานานมาแล้ว, เกราะดาราเป็นสมบัติที่ฉู่เทียนเซิงพกติดตัวอยู่ตลอดเวลาไม่เคยห่าง

อีกทั้งยังไม่แสดงออกมาง่ายๆนัก

เทียนเจี้ยนจงคาดไม่ถึงอย่างแท้จริงว่าฉู่เทียนเซิงจะมอบสมบัติล้ำค่าเพียงนี้ให้แก่จี้เทียนซิง

!

การกระทำนี้หมายความว่าอย่างไร ?

มันหมายความว่าในสายตาของฉู่เทียนเซิง ความปลอดภัยและชีวิตของจี้เทียนซิงมีความสำคัญสูงสุด  เทียบเท่ากับผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ?!

ในเวลานี้ไม่เพียงแค่เทียนเจี้ยนจงเท่านั้นที่เต็มไปด้วยความตกใจ

แต่ผู้เฒ่าทั้งสี่บนเวทีก็ตะลึงงันเช่นกัน

ทั้งสี่คนจ้องมองไปที่ชุดเกราะดาราที่จี้เทียนซิงสวมใส่  ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำรามออกมา

"เจ้าเดรัจฉานน้อยตัวนี้มีสมบัติคุ้มกาย

!"

"ชุดเกราะของมันคืออะไรกันแน่ ? ถึงกลับสามารถต้านทานการโจมตีของพวกเราทั้งสี่ได้เชียวหรือ

?"

"ช่างหัวมัน ไม่ว่าจะเป็นชุดเกราะผีสางอันใดพวกเราก็ต้องสยบจี้เทียนซิงให้ได้โดยเร็วที่สุด

!"

"ถูกต้อง  สังหารมันซะ ล้างแค้นให้เหวินหยู !"

สิ้นเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราด

สี่ผู้เฒ่าพลันยกมือขึ้นโคจรลมปราณโจมตีปิดล้อมจี้เทียนซิงอีกระลอก

ทันใดนั้นเอง

น้ำเสียงเจื้อยแจ้วไพเราะของสตรีนางหนึ่งลอยมากับสายลมเย็นหอบหนึ่ง

ดังก้องไปทั่วห้องโถง

"นิกายกระบี่ฟ้าช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

พวกท่านคิดจะก่อสงครามกับพวกเราเช่นนั้นหรือ

?"

ฟุ่บ !

สิ้นเสียงเย็นชา เงาร่างสีขาวสายหนึ่งพลันโผล่ขึ้นบนเวทีราวกับภูติพรายเพื่อปกป้องจี้เทียนซิง

สตรีผู้นี้ก็คือหยุนเหยานั่นเอง

นางสวมอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ ดวงหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

ในมือกุมกระบี่ที่ชักออกจากฝักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่มีผู้ทราบ

ถึงแม้ตอนนี้นางจะเผชิญหน้ากับสี่ผู้เฒ่าของนิกายกระบี่ฟ้าเพียงลำพัง

แต่นางก็มิได้สะดุ้งสะเทือน

อารมณ์ของนางสงบเยือกเย็นราวกับบัวหิมะที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์

ผู้คนนับไม่ถ้วนในห้องโถงล้วนแต่ทอดถอนใจด้วยความชื่นชมต่อรูปลักษณ์ที่ไม่มีผู้ใดเสมือนเหมือนของนาง

หลังจากนั้น

เสียงเล็กแหลมด้วยความโกรธเกรี้ยวอีกสายหนึ่งก็ดังขึ้น

"ไอ้พวกบ้า น่ารังเกียจนัก

คิดจะใส่ความศิษย์พี่เทียนซิงของข้าก็ต้องผ่านมือข้าไปก่อน !”

ฟุ่บ !

สิ้นเสียงโมโหขุ่นเคือง

เด็กชายตัวน้อยในอาภรณ์สีขาวเส้นผมสีแดงก็หอบเอาสายลมเพลิงพุ่งไปที่เวทีอย่างห้าวหาญ

มันยืนหยัดอยู่เคียงข้างจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเดือดดาลเต็มพิกัด

ในมือกุมกระบี่สีม่วงเล่มหนึ่งที่ยาวเท่ากับส่วนสูงของมัน  ดวงตาจับจ้องมองไปที่สี่ผู้เฒ่านิกายกระบี่ฟ้าอย่างโกรธเคือง

ทันใดนั้นบรรยากาศบนเวทีก็ตึงเครียดถึงขีดสุด

จิตสังหารและเจตนาฆ่าฟันแผ่กระจายอลอวลไปทั่ว

เหล่าผู้ดูแลของนิกายกระบี่ฟ้าฉวยโอกาสนี้รีบขึ้นไปบนเวที

นำร่างของซื่อเหวินหยูออกไป

จี้เทียนซิง

หยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์เผชิญหน้ากับสี่ผู้เฒ่าอย่างไม่ยำเกรง

ไอสงครามของทั้งสามแผ่พุ่งออกมาอย่างรุนแรง พร้อมจะห้ำหั่นได้ทุกเมื่อ

เมื่อได้เห็นภาพนี้ผู้คนมากมายจากกองกำลังระดับสอง-สาม

เช่นเดียวกับประมุขและหัวหน้าศิษย์อื่นๆต่างก็รู้สึกชื่นชมในใจ

นิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นนิกายอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน

แม้แต่ศิษย์ทั้งสามของนิกายก็ยังเต็มไปด้วยความห้าวหาญและความเย่อหยิ่งถือดีที่คนทั่วไปไม่สามารถเทียบเคียงได้

เมื่อได้เห็นฉากนี้

แววตาของเทียนเจี้ยนจงก็เปล่งประกายและลอบสบใจ มันคิดในใจลับๆว่า “เฮอะ

พวกเจ้าทั้งสามคิดช่วยเหลือกันงั้นหรือ ?

เช่นนี้ก็ดี ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าได้กลับออกไป !”

ฉากหน้ามันยังคงแสร้งทำเป็นโศกเศร้าพลางตะโกนอย่างหดหู่

“จี้เทียนซิง

หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เจ้าต้องชดใช้ชีวิตศิษย์รักของข้า !”

"หยุนเหยา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า

จงล่าถอยไปให้ข้าประมุขเดี๋ยวนี้ หากยังดื้อรั้นก็อย่าได้โทษว่าข้าหนักมือ !”

หยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์มีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับจี้เทียนซิง

ทั้งสามมาด้วยกันก็ย่อมกลับด้วยกัน

พวกเขาจะทิ้งจี้เทียนซิงไว้เพียงลำพังได้อย่างไร ?

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็เห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดของเทียนเจี้ยนจง

!