ตอนที่ 99

ความกระสับกระส่ายไร้ที่มา

ในเมื่อซวนซวนมีเจตนาจะช่วยเหลือ

จี้เทียนซิงจะปฏิเสธได้อย่างไร ?

ชายหนุ่มตอบตกลง

หลังจากกล่าวขอบคุณนาง เขาก็ตามนางเข้าไปในสวนสมุนไพรและสดับรับฟังการแนะนำสมุนไพรแต่ละชนิด

“สมุนไพรสีม่วงเข้มนี้เรียกว่าไผ่ใจม่วง มันเป็นสมุนไพรวิญญาณที่หาได้ยากยิ่งและต้องใช้เวลาเติบโตถึงเก้าปีก่อนจะนำมาหลอมเป็นโอสถได้ มันสามารถนำมาปรุงเป็นโอสถวิเศษได้ทุกชนิด”

“ส่วนหญ้าสีน้ำเงินต้นนี้คือดอกไม้น้ำแข็ง มันจะเบ่งบานทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อปรับแต่งโอสถจันทร์น้ำแข็งและสามารถช่วยเพิ่มทักษะ

... "

ซวนซวนแนะนำสมุนไพรหลากหลายชนิดในขณะที่เดินไป

ทันใดนั้นจี้เทียนซิงก็บังเอิญเดินเข้าไปใกล้กับดอกไม้วิญญาณต้นหนึ่งและกำลังจะยื่นมือสัมผัส

ซวนซวนรีบเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็ว “เทียนซิง อย่าได้สัมผัสโดนหญ้ากร่อนกระดูก ! มันมีสีสันงดงามแต่ก็มีพิษสูง หากท่านแตะต้องมัน

เนื้อและกระดูกของท่านจะถูกกัดกร่อน !”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของนาง

จี้เทียนซิงก็รีบถอนมือออกมาอย่างรวดเร็วและเผยยิ้มแสดงความขอบคุณ

ซวนซวนกล่าวต่อไปว่า

“ที่จริงแล้วสมุนไพรกว่า 3,000 ชนิดในสวนนี้มีบางประเภทมีพิษและบางชนิดก็มีพิษสูงมาก”

“ในขณะที่ท่านมองดูสมุนไพรในสวนโอสถ ขออย่าสัมผัสกับสมุนไพรโดยประมาท

มิฉะนั้นท่านอาจได้รับพิษโดยไม่รู้ตัว”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและจดจำทุกประโยคที่นางพูด

ทั้งสองเดินในสวนสมุนไพรเหมือนเดินเล่น ด้วยความช่วยเหลือของซวนซวนทำให้จี้เทียนซิงจดจำสมุนไพรได้นับพันชนิดภายในวันเดียว

ทั้งสองพูดคุยกันมากมายในขณะที่เดินศึกษาสมุนไพร  ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นจึงคบหาเป็นมิตรสหาย

พอถึงช่วงเย็น

ซวนซวนต้องกลับที่พักดังนั้นทั้งสองจึงเดินออกจากสวนโอสถเคียงคู่กัน

นอกประตูสวน

ซวยซวนเผยยิ้มอ่อนหวานและโบกมือน้อยๆของนางเพื่อร่ำลาจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงยืนอยู่

ณ ทางเดินยาวที่มีต้นไม้เรียงรายและมองเงาหลังที่ค่อยๆลับตาไปของนาง   รอยยิ้มอันอ่อนโยนสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

"มันเป็นเรื่องแปลกทีเดียว....   ข้าเพิ่งรู้จักนางไม่ถึงวัน

ไฉนถึงได้รู้สึกผูกพันกับนางขนาดนี้ ? ยามนางจากไปข้ากลับรู้สึกโหวงๆและรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยนาง...

มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า ?”

ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบากับตัวเองด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจ

ถึงแม้ว่าซวนซวนจะงดงามอย่างยิ่งและบุคลิกท่วงท่าก็อ่อนโยนงามสง่าราวกับสตรีสูงศักดิ์  แต่จี้เทียนซิงก็รู้ตัวว่ามันเองไม่ใช่บุรุษประเภทที่ชอบพัวพันกับสาวงามจนเกินพอดี

อีกทั้งมันแน่ใจว่าตนเองไม่ได้คิดเกินเลยกับซวนซวน

ความรู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจของเขาเป็นความรู้สึกเหมือนพี่ชายที่ต้องการดูแลน้องสาวของตนเองให้ดี

ในขณะเดียวกันจิตใจของเขาก็ค่อนข้างสับสนและครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวตนและศักดิ์ฐานะของซวนซวน

ถึงแม้ว่าซวนซวนจะไม่เปิดเผยตัวตนของนาง

แต่จี้เทียนซิงก็รู้ว่านางไม่ใช่คนไม่ดี

นอกจากนี้ด้วยระดับพลังฝีมือของนางย่อมมิใช่ศิษย์สายนอก  เป็นไปได้สูงว่านางน่าจะเป็นศิษย์สายในหรือไม่ก็เป็นศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสท่านใดท่านหนึ่งในนิกาย

ซึ่งศิษย์สายในจะสวมเสื้อคลุมสีขาวที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น หากนางไม่ใช่ตัวตนที่พิเศษจริงๆย่อมไม่มีทางสวมใส่อาภรณ์ที่แตกต่างจากศิษย์คนอื่นๆ

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงสรุปว่าซวนซวนน่าจะเป็นศิษย์พิเศษสายใน

“ช่างเถอะ คิดให้มากความไปใย ? ปวดหัวเปล่าๆ

ในเมื่อข้ากับศิษย์น้องซวนซวนตกลงคบหาเป็นสหายกันแล้วทำไมต้องไปค้นหาตัวตนของนางด้วย

?”

หลังจากคิดไร้สาระอยู่พักหนึ่ง

จี้เทียนซิงก็ส่ายหัวและเดินไปตามทางที่มีต้นไม้เรียงรายอย่างสวยงามเพื่อกลับไปยังหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

หลังจากที่เขากลับมาถึงที่พัก

เซี่ยวเฟิงก็นำอาหารมาส่งให้พอดี  อาหารเย็นวันนี้คล้ายกับเมื่อวาน มีข้าวชามเดียวแต่น้ำซุปเปลี่ยนไป

จี้เทียนซิงกินอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยก็นั่งหลับตาอยู่ภายในห้องเพื่อทำสมาธิและเตรียมฝึกฝนอย่างหนักต่อไป

อย่างไรก็ตามเขานั่งบ่มเพาะอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง

ในหัวกลับปรากฏเรือนร่างและรอยยิ้มอ่อนหวานของซวนซวนขึ้นเป็นครั้งคราวราวกับภาพมายาจนยากที่ชายหนุ่มจะสงบใจลงได้

ดังนั้นเขาจึงนั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่างและเปิดอ่านตำราพันโอสถแทน

ผ่านไปสองชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว

มันเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วและหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เงียบสงัดอย่างมาก

จี้เทียนซิงนั่งอ่านตำราโอสถอยู่

จู่ๆเขาก็รุ้สึกตื่นตัวและมองไปนอกหน้าต่างพลางขมวดคิ้ว

ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาเฉียบคมมากและรู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งแอบมองเขาอยู่

ความรู้สึกที่ถูกจับจ้องเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายและยากที่จะสงบสติอารมณ์ลง

เขารีบวางตำราโอสถลงและเดินไปที่หน้าต่าง

“ฟุ่บ !”

นอกหน้าต่างเป็นท้องฟ้าอันมืดมิดยามราตรี

แต่บนหลังคาที่อยู่ไม่ไกลจากเขากลับมีเงาดำวูบไหวอยู่

“ใช่จริงๆ มีบางคนกำลังจับตามองดูข้า !”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว

ดวงตาสาดประกายเย็นเยือก เขาพุ่งไปคว้ากระบี่มังกรดำบนเตียงทันทีแล้วกระโดดออกจากหน้าต่างและวิ่งไปที่ที่มีเงาดำปรากฎขึ้น

เงาดำนั้นแผ่กลิ่นอายเย็นชาออกมาเล็กน้อย

จากนั้นวัตถุหนึ่งก็พุ่งออกมาจากความมืดมิด

"ชู่ว !"

เสียงแหลมจากวัตถุบางอย่างกรีดผ่านอากาศและพุ่งไปที่ใบหน้าของจี้เทียนซิงด้วยพลังปราณอันแข็งแกร่งที่ฉาบเคลือบเอาไว้

จี้เทียนซิงตะลึงงันและชักกระบี่ขึ้นมาทันที  ด้วยเสียง ‘เคร้ง’ ที่ดังขึ้น

กระบี่มังกรดำปิดกั้นการโจมตีจากสิ่งนั้นและมันก็ร่วงลงกับพื้น

ในเวลานี้เขาเห็นมันชัดเจนขึ้น

มันเป็นอาวุธลับชนิดหนึ่ง

"ระยำ !  ผู้ใดลอบโจมตีข้า ?!”

จี้เทียนซิงแค่นเสียงเย็น

ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย

ฟุ่บ

!

จี้เทียนซิงพุ่งตัวออกไปด้วยพลังทั้งหมดเพื่อตามจับเงาร่างนั้นเพื่อดูว่าใครที่คิดโจมตีตนเอง

อย่างไรก็ตาม

เมื่อเขาไล่ตามร่างนั้นตั้งแต่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นไปถึงจนถึงในป่าหลังภูเขาก็พบว่ามันได้หายไปแล้ว

จี้เทียนซิงไม่ยอมเลิกรา

เขาควงกระบี่มังกรดำฟาดฟันกิ่งไม้รายทางที่ขวางทางอย่างดุเดือด

แต่หลังจากค้นหาอยู่พักใหญ่ๆก็ยังไม่พบร่องรอยของเงาร่างนั้นแม้แต่น้อย

เขาทำได้เพียงถอนหายใจและกลับที่พัก

เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็นั่งลงบนเตียงและขมวดคิ้ว

“คนๆนั้นแอบจับตามองข้า

พอข้าไหวตัวทันมันก็ซัดอาวุธลับเข้าใส่เพื่อโจมตี ...  มันหมายชีวิตข้าแน่นอนแต่ไม่กล้าทำอย่างเปิดเผย  เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่อยากเปิดเผยร่องรอยและศักดิ์ฐานะ..."

“ดังนั้น บุคคลผู้นี้ต้องเป็นคนในนิกายพันธมิตรสวรรค์แน่นอน

อีกทั้งยังมีพลังในเขตแดนเชื่อมปราณอีกด้วย !”

“แต่ข้าก็เพิ่งเข้านิกายมาได้แค่สองวัน

ข้าไม่มีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดมาก่อน ทำไมถึงได้มีคนคิดร้าย ?”

จี้เทียนซิงครุ่นคิดและวิเคราะห์เป็นเวลานานแต่ก็ไม่มีเงื่อนงำแม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็สงบใจลง

จากนั้นก็เข้าไปฝึกฝนในห้องลับ

เมื่อวานนี้ครูฝึกตู้หวู่มอบเคล็ดวิชาฉิงซ่งฉบับคัดลอกให้กับทุกคน

มันเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะเบื้องต้นของนิกายพันธมิตรสวรรค์

จี้เทียนซิงเปิดเคล็ดวิชาฉิงซ่งเพื่อดูรายละเอียดและพบว่านี่เป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะในระดับสูง

ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะถูกสืบทอดเป็นมรดกมานับพันปีของนิกายพันธมิตรสวรรค์

แต่เนื้อความและขั้นตอนการฝึกก็ยังสมบูรณ์ครบถ้วน

หากได้ฝึกฝนตามเคล็ดวิชานี้อย่างขยันขันแข็ง

รับรองได้ว่ารากฐานพลังยุทธ์ของผู้ฝึกจะต้องแข็งแกร่งแน่นอน

อย่างไรก็ตาม

หลังจากจี้เทียนซิงอ่านผ่านตาแล้วเขาก็โยนมันไว้ข้างๆและไม่คิดจะฝึกฝนแม้แต่น้อย

สำหรับจี้เทียนซิง

วิถีใจกระบี่เป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เหมาะสมและน่าสนใจที่สุด เขามุ่งมั่นที่จะฝึกฝนวิถีใจกระบี่ขั้นที่สามและคิดจะไปถึงเขตแดนเชื่อมปราณให้ได้ภายในหกเดือน

......

เช้าวันรุ่งขึ้นจี้เทียนซิงก็บ่มเพาะเสร็จและเดินออกจากห้องลับ

หลังจากทำกิจวัตรประจำวันเสร็จ

เขาก็เดินออกจากห้องพร้อมถือตำราพันโอสถติดตัวไปด้วยและเตรียมมุ่งหน้าไปยังสวนโอสถวิญญาณเพื่อรอพบซวนซวน

แก๊ง

แก๊ง !

ในเวลานี้เองเสียงระฆังของจากในห้องโถงใหญ่ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จี้เทียนซิงหยุดชะงักและเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังห้องโถงพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆอย่างรวดเร็ว

หลังจากทุกคนมารวมกันในห้องโถงครบถ้วน

พวกเขาก็เห็นครูฝึกชุดดำสามคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว

สองคนแรกคือฮั่นเฉียวเซิงและต้าหวู่

ส่วนอีกคนหนึ่งจี้เทียนซิงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

ใบหน้าของครูฝึกเปล่งประกายแปลกๆ

แววตาดูเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความโกรธ

ทุกคนรู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ

พวกเขาจึงยืนเกร็งอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและไม่กล้าส่งเสียงดัง

ดวงตาของฮั่นเฉียวเซิงกวาดผ่านบรรดาศิษย์ทั้งหมดและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เมื่อวาน.....

เพื่อจะให้พวกเจ้าได้รู้จักกับสมุนไพรชนิดต่างๆ ข้าจึงบอกต่อพวกเจ้าว่าสามารถเข้าไปศึกษาในสวนโอสถได้

แต่ข้าไม่ได้บอกว่าให้เด็ดมันออกมาจากสวน !”

“เมื่อวานนี้นอกจากซื่อจิงเฉิงกับอี้โม่แล้ว

ที่เหลืออีก 8 คนได้เข้าไปในสวนโอสถวิญญาณทั้งหมด

หนึ่งในนั้นละเมิดกฎและหยิบผลหยางขาวออกมาโดยพลการ !”

“ผู้ดูแลมู่ที่รับผิดชอบในสวนโอสถวิญญาณก็อยู่ที่นี่แล้ว

ผู้ใดที่ขโมยผลหยางขาวออกไปจากสวนก็ขอให้แสดงตัวขึ้นและสารภาพมาแต่โดยดี !”

ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันที

พวกเขาทั้งหมดหันไปมองหน้ากันเลิกลั่กและอยากรู้ว่าใครเป็นผู้ขโมยสมุนไพร

ผู้ดูแลมู่ส่งเสียงตะโกนออกมาว่า

“ผลหยางขาวเป็นสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่ายิ่ง  มันเบ่งบานทุกๆสิบปีและกว่าจะออกผลให้เก็บเกี่ยวก็ต้องรออีกยี่สิบปี

! พวกเจ้าเป็นถึงศิษย์หอยุทธ์ฟงอวิ๋นแต่กลับประพฤติตัวเยี่ยงโจร

กล้าขโมยผลหยางขาวไปเก็บเป็นสมบัติส่วนตัว

สร้างความอับอายให้แก่หอยุทธ์อันดับหนึ่งของสายนอกยิ่งนัก !”

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า  ผู้ใดก็ตามที่ขโมยผลหยางขาวขอให้ยืนขึ้นและยอมรับผิดแต่โดยดี

ข้าจะลงโทษสถานเบา !”

“มิเช่นนั้นข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนนั่งอยู่ที่นี่เป็นการลงโทษ

!”

ศิษย์ทุกคนหันไปมองหน้ากันพลางกระซิบแผ่วเบาแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดยืนขึ้นสารภาพผิด

จี้เทียนซิงก็เป็นอีกคนที่งุนงงไม่น้อยแต่ก็ยังวางตัวเป็นปกติ

ฮั่นเฉียวเซิงเงียบไปพักใหญ่ๆก็เห็นว่ายังไม่มีผู้ใดยอมรับสารภาพ

เขาจึงตะโกนออกมาว่า “ครูฝึกตู้

เจ้าพาผู้ดูแลมู่ไปค้นห้องของศิษย์ทั้งแปดคนเดี๋ยวนี้ !”

ตู้หวู่พยักหน้าและออกจากห้องโถงพร้อมกับผู้ดูแลสวนโอสถมู่เพื่อมุ่งหน้าไปค้นตามห้องพักของศิษย์ทั้งหมดยกเว้นซื่อจิงเฉิงและอี้โม้ทันที