ครึ่งก้าวปราณจิต
ซวนซวนบอกเล่าเรื่องราวของการประลองหลงซาน
ส่วนจี้เทียนซิงก็นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลังจากฟังซวนซวนแล้ว
ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วและดวงตาฉายแววครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องซวนซวน
มีเพียงศิษย์ใหม่ฝ่ายนอกเท่านั้นที่สามารถมีส่วนร่วมในการประลองหลงซานใช่ไหม ?”
“ถูกต้องแล้ว” ซวนซวนพยักหน้า
“ทุกครั้งที่มีการประลองหลงซาน
ทั้งนิกายเราและนิกายกระบี่ฟ้าจะส่งตัวแทนสามคนเข้าร่วมในการประลอง
ซึ่งทั้งสามคนนี้โดยปกติก็จะเป็นศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น”
ในจุดนี้จี้เทียนซิงไม่แปลกใจ
ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายไม่เกินสามเดือน
แน่นอนว่าพลังฝีมือย่อมมิได้แข็งแกร่งมากนัก ซึ่งในบรรดาฝ่ายนอกทั้งหมด
หอยุทธ์ฟงอวิ๋นคือศูนย์รวมศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด
เขาไตร่ตรองอย่างลับๆและถามว่า
“ศิษย์น้องซวนซวน ภูเขามังกรอยู่ที่ไหนหรือ ? แล้วทำไมนิกายกระบี่ฟ้าถึงต้องประลองกับนิกายเราเพื่อมันด้วย
?”
ซวนซวนจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและอธิบายว่า
“ภูเขามังกรอยู่ห่างออกไปสามร้อยไมล์ทางเหนือซึ่งเป็นกึ่งกลางระหว่างนิกายเรากับนิกายกระบี่ฟ้าพอดี”
“ตามตำนานว่ากันว่า เมื่อพันกว่าปีก่อนเคยมีมังกรตัวหนึ่งอยู่ในดินแดนดาราบรรพกาล
มันบ่มเพาะอยู่ในแนวเทือกเขานับพันปีจนกระทั่งสำเร็จมรรคผลก็จากไป”
“ดังนั้นเทือกเขาแห่งนี้จึงได้รับไอมังกรมาเป็นเวลาพันปีและกลายเป็นดั่งขุมทรัพย์จากมังกร
เทือกเขาก่อเกิดเป็นเส้นชีพจรวิญญาณที่ผลิตสินแร่สำหรับการหลอมสร้างและหินวิญญาณมากมาย
ต้นไม้ใบหญ้าในเทือกเขาก็ปนเปื้อนไปด้วยจิตวิญญาณและกลายเป็นสมุนไพรวิญญาณ ภูเขามังกรในปัจจุบันเป็นดั่งสวนโอสถตามธรรมชาติ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายเหล่านี้จี้เทียนซิงก็เข้าใจในทันที
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...!”
“ข้างในเทือกเขามีสินแร่ล้ำค่ามากมาย
ส่วนข้างนอกก็เป็นป่าสมุนไพรวิญญาณตามธรรมชาติ มันเป็นดั่งขุมสมบัติที่ประเมินคุณค่าไม่ได้
ไม่แปลกว่าทำไมนิกายกระบี่ฟ้าถึงต้องแข่งขันกับนิกายเรา”
ซวนซวนยิ้มอีกครั้งและกล่าวว่า
“ภูเขามังกรล้ำค่ายิ่ง
แต่ก็ยังมีสมบัติฟ้าดินที่มีชีพจรวิญญาณคล้ายคลึงกันนี้อยู่ในดินแดนดาราบรรพกาลอีกมาก
ที่จริงแล้วนิกายเราประชันขันแข่งกับนิกายกระบี่ฟ้าก็เพื่อยึดครองภูเขามังกรมากกว่าหนึ่งแห่ง
มันเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย”
“ในทุกๆ 2-3
ปี
ศิษย์ฝ่ายในของทั้งสองนิกายก็ต้องเข้าร่วมในศึกเทียนฉวนเพื่อช่วงชิงสิทธิ์ครอบครองขุมทรัพย์ล้ำค่าเช่นเดียวกัน…”
“อย่างไรก็ตาม สำหรับศึกเทียนฉวนนั้นมีผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมและคู่ควรเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
จี้เทียนซิงไมได้ถามอะไรมากเกินกว่านี้
เขาเพียงแค่ฟังเงียบๆและจดจำ
ต่อมาเขาก็สนทนากับซวนซวนเป็นเวลานานและถามเกี่ยวกับอาณาจักรเทียนเฉินอีกมากมาย
ซวนซวนเป็นคนใจเย็นและอดทน
นางตอบคำถามทุกข้อของจี้เทียนซิงอย่างละเอียดจนทำให้ชายหนุ่มเข้าใจถึงสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรได้มากขึ้น
โดยไม่รู้ตัว พระอาทิตย์ยามเย็นก็ตกดิน
จี้เทียนซิงและซวนซวนเดินออกจากห้องตำราพร้อมกันและโบกมือลากันหน้าประตู
เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เข้าไปในห้องลับและเริ่มรักษาตัว
ถึงแม้ว่ามองจากภายนอก
หน้าตาของเขาจะดูปกติและไม่มีบาดแผลใดๆ
แต่แท้จริงแล้วเขาถูกฝ่ามือขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยไปหลายครั้งและได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
จี้เทียนซิงนั่งในห้องลับและหยิบขวดหยกสีขาวสองขวดออกมาจากถุงมิติ
ขวดแรกบรรจุไว้ด้วยเม็ดยาหยกน้ำค้างสามเม็ดซึ่งเป็นโอสถรักษาบาดแผลที่ฉู่เทียนเซิงมอบเป็นรางวัลให้เขา
ส่วนขวดเล็กอีกขวดหนึ่งบรรจุไว้ด้วยเม็ดยาปราณทองคำที่เขาได้รับเป็นรางวัลตอนสิ้นเดือน
ก่อนหน้านี้เขากินไปเพียงเม็ดเดียวยังเหลืออีกเม็ดเก็บไว้
“ข้าควรกินเม็ดยาหยกน้ำค้างเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน
หลังจากหายแล้วอีกสองสามวันข้าค่อยบ่มเพาะพลังในขั้นถัดไป..”
หลังจากได้รับประสบการณ์ในภารกิจถ้ำปีศาจ
จี้เทียนซิงได้ผ่านห้วงความเป็นความตายและยังได้เห็นความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของยอดฝีมือขอบเขตปราณจิต
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนังแม่มดผู้ทรงและมหาปุโรหิต
เขาก็รู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเองได้อย่างลึกซึ้ง
เขากระตุ้นตัวเองอย่างลับๆเพื่อพัฒนาระดับพลังโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จนกระทั่งมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปะทะซึ่งหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจและตามหาประคำดารา อีกทั้งยังมีเบาะแสของบรรพบุรุษตระกูลจี้อีกด้วย
จากนั้นจี้เทียนซิงก็กินยาหยกน้ำค้างเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ทันทีที่มันไหลผ่านลำคอลงไป มันก็หอบอากาศอันเย็นสบายและอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วร่าง
จากนั้นก็ไหลเวียนอยู่ในเส้นชีพจรลมปราณอย่างเป็นธรรมชาติ
จี้เทียนซิงสามารถสัมผัสได้ถึงการไหลของอากาศที่เย็นสบายจากเม็ดยาหยกน้ำค้างซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยพลังมากมาย
อย่างไรก็ตาม
พลังอันรุนแรงของมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
มันทำให้เขารู้สึกสบายตัวเสียด้วยซ้ำ
เมื่อพลังอันมหาศาลได้หลั่งไหลเข้าสู่อวัยวะภายในของเขาตามเส้นชีพจร
ความรู้สึกเจ็บปวดและบอบช้ำภายในก็อันตธารหายไปทันที
ในพริบตาเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย
ราวกับว่าไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน !
ด้วยผลที่ได้ดุจยาเทพเจ้า
จี้เทียนซิงประหลาดใจไม่น้อยและขบคิดในใจว่า “ผลของเม็ดยาหยกน้ำค้างช่างวิเศษโดยแท้ มันห่างไกลเกินกว่าเม็ดยาทั่วไปมากนัก !”
“ข้าเกรงว่าเม็ดยาชนิดนี้มีเพียงหยุนเหยา
ไป๋หวู่เชินและอัจฉริยะระดับสูงเหล่านั้นเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ใช้”
เมื่อความเจ็บปวดของร่างกายผ่อนคลายลง
ประสิทธิภาพของเม็ดยาหยกน้ำค้างก็ช่วยซ่อมแซมอาการบาดเจ็บของเขาได้อย่างรวดเร็ว
เขาสลัดความคิดในหัวอย่างรวดเร็วและมุ่งเน้นไปที่การรักษาตนเองให้หายขาดเสียก่อน
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน
รัตติกาลผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จี้เทียนซิงรักษาอยู่ตลอดทั้งคืนและในเช้าวันถัดมาอาการบาดเจ็บก็หายไปถึงแปดส่วนแล้ว
!
นอกจากนี้พลังวิเศษของเม็ดยาหยกน้ำค้างก็เพิ่งถูกใช้ไปเพียงห้าส่วนเท่านั้นและยังคงไหลเวียนอย่างต่อเนื่องในร่างกายของเขา
ด้วยประสิทธิภาพที่ไม่ธรรมดาของเม็ดยาหยกน้ำค้างทำให้เขาตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มไม่ได้บ่มเพาะพลังและยังคงปรับแต่งผลวิเศษของเม็ดยาต่อไปเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้หายขาด
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยามต่อมา
อาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งแต่ทว่า พลังของเม็ดยาก็ยังคงอยู่
เพื่อไม่ให้สูญเสียประสิทธิภาพของเม็ดยาล้ำค่านี้
จี้เทียนซิงยังโคจรวิถีใจกระบี่เพื่อชักนำฤทธิ์ของเม็ดยาหยกน้ำค้างไปไว้ที่ชีพจรกระบี่เพื่อเตรียมปรับแต่งกายาของตนต่อไป
ก่อนหน้านี้จี้เทียนซิงมีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้ขั้นที่
7 และเส้นชีพจรหลักทั้ง 9 ของเขา มี 3 เส้นที่บรรเทาไปสู่ชีพจรกระบี่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยความช่วยเหลือจากฤทธิ์ยาที่เหลืออยู่
เขาบ่มเพาะติดต่อกันสองวันก็สามารถบรรเทาชีพจรกระบี่เส้นที่ 4 ได้สำเร็จ !
โดยปกติแล้วเส้นชีพจรลมปราณนั้นจะเป็นสีแดงเข้มและเป็นช่องทางที่พลังลมปราณไหลผ่าน แต่สำหรับจี้เทียนซิงนั้นต่างออกไป หลังจากที่เส้นชีพจรของเขาถูกบรรเทาไปสู่ชีพจรกระบี่
มันเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม
ซึ่งเส้นชีพจรกระบี่ของเขานั้นไม่เพียงแค่ทานและแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเท่านั้น
แต่มันยังสามารถรองรับพลังปราณที่ไหลผ่านได้มากกว่า ความแตกต่างระหว่างจี้เทียนซิงที่มีชีพจรกระบี่กับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีเส้นชีพจรปกตินั้นราวกับแม่น้ำใหญ่และลำธารเล็กๆเลยทีเดียว
!
“เพียงแค่ผลตกค้างของเม็ดยาหยกน้ำค้างก็สามารถช่วยบรรเทาชีพจรกระบี่ให้ข้าเพิ่มได้อีก
น่าเหลือเชื่อนัก !”
จี้เทียนซิงตระหนักถึงพลังของเม็ดยาหยกน้ำค้างได้อย่างลึกซึ้ง
เขาตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“หากเป็นเช่นนี้
ข้าจะกินเม็ดยาที่เหลืออีกสองเม็ดและเริ่มบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่ที่เหลือต่อเลยเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
!”
เมื่อคิดได้ชายหนุ่มก็กินเม็ดยาหยกน้ำค้างที่เหลืออีกสองเม็ดทันที มันกลายเป็นกระแสลมเย็นที่ปั่นป่วนเล็กน้อย จากนั้นก็ไหลรินเข้าสู่ร่างของเขาด้วยเสียงแผ่วเบาดั่งสายน้ำไหลผ่านแม่น้ำ
เขาหลับตาตั้งสมาธิทุ่มเทในการบรรเทาเส้นชีพจรหลักสู่ชีพจรกระบี่ด้วยความปีติยินดี
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นลง, เวลาได้ผ่านไปอย่างเงียบงัน
สามวัน
สี่วัน
ในที่สุดเวลาก็ผ่านไปอีกห้าวัน
เมื่อจี้เทียนซิงปรับแต่งพลังของเม็ดยาหยกน้ำค้างทั้งสองเม็ดได้จนหมด
มันก็ล่วงเลยมาอีกเก้าวันให้หลัง
เมื่อมาถึงจุดนี้
เขาก็ประสบความสำเร็จในการบรรเทาชีพจรกระบี่ได้อีก 4 เส้น
รวมทั้งหมดตอนนี้เขามีชีพจรกระบี่ 8 เส้นแล้ว
!
พลังยุทธ์ของเขาพัฒนาและเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ตอนนี้เขาเหลือเพียงครึ่งก้าวเท่านั้นก็จะทะลวงด่านเข้าสู่ขอบเขตปราณจิต !
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved