ตอนที่ 167

ครึ่งก้าวปราณจิต

ซวนซวนบอกเล่าเรื่องราวของการประลองหลงซาน

ส่วนจี้เทียนซิงก็นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

หลังจากฟังซวนซวนแล้ว

ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วและดวงตาฉายแววครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องซวนซวน

มีเพียงศิษย์ใหม่ฝ่ายนอกเท่านั้นที่สามารถมีส่วนร่วมในการประลองหลงซานใช่ไหม ?”

“ถูกต้องแล้ว” ซวนซวนพยักหน้า

“ทุกครั้งที่มีการประลองหลงซาน

ทั้งนิกายเราและนิกายกระบี่ฟ้าจะส่งตัวแทนสามคนเข้าร่วมในการประลอง

ซึ่งทั้งสามคนนี้โดยปกติก็จะเป็นศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น”

ในจุดนี้จี้เทียนซิงไม่แปลกใจ

ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายไม่เกินสามเดือน

แน่นอนว่าพลังฝีมือย่อมมิได้แข็งแกร่งมากนัก ซึ่งในบรรดาฝ่ายนอกทั้งหมด

หอยุทธ์ฟงอวิ๋นคือศูนย์รวมศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด

เขาไตร่ตรองอย่างลับๆและถามว่า

“ศิษย์น้องซวนซวน ภูเขามังกรอยู่ที่ไหนหรือ ? แล้วทำไมนิกายกระบี่ฟ้าถึงต้องประลองกับนิกายเราเพื่อมันด้วย

?”

ซวนซวนจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและอธิบายว่า

“ภูเขามังกรอยู่ห่างออกไปสามร้อยไมล์ทางเหนือซึ่งเป็นกึ่งกลางระหว่างนิกายเรากับนิกายกระบี่ฟ้าพอดี”

“ตามตำนานว่ากันว่า  เมื่อพันกว่าปีก่อนเคยมีมังกรตัวหนึ่งอยู่ในดินแดนดาราบรรพกาล

มันบ่มเพาะอยู่ในแนวเทือกเขานับพันปีจนกระทั่งสำเร็จมรรคผลก็จากไป”

“ดังนั้นเทือกเขาแห่งนี้จึงได้รับไอมังกรมาเป็นเวลาพันปีและกลายเป็นดั่งขุมทรัพย์จากมังกร

เทือกเขาก่อเกิดเป็นเส้นชีพจรวิญญาณที่ผลิตสินแร่สำหรับการหลอมสร้างและหินวิญญาณมากมาย

ต้นไม้ใบหญ้าในเทือกเขาก็ปนเปื้อนไปด้วยจิตวิญญาณและกลายเป็นสมุนไพรวิญญาณ ภูเขามังกรในปัจจุบันเป็นดั่งสวนโอสถตามธรรมชาติ”

เมื่อได้ยินคำอธิบายเหล่านี้จี้เทียนซิงก็เข้าใจในทันที

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...!”

“ข้างในเทือกเขามีสินแร่ล้ำค่ามากมาย

ส่วนข้างนอกก็เป็นป่าสมุนไพรวิญญาณตามธรรมชาติ มันเป็นดั่งขุมสมบัติที่ประเมินคุณค่าไม่ได้

ไม่แปลกว่าทำไมนิกายกระบี่ฟ้าถึงต้องแข่งขันกับนิกายเรา”

ซวนซวนยิ้มอีกครั้งและกล่าวว่า

“ภูเขามังกรล้ำค่ายิ่ง

แต่ก็ยังมีสมบัติฟ้าดินที่มีชีพจรวิญญาณคล้ายคลึงกันนี้อยู่ในดินแดนดาราบรรพกาลอีกมาก

ที่จริงแล้วนิกายเราประชันขันแข่งกับนิกายกระบี่ฟ้าก็เพื่อยึดครองภูเขามังกรมากกว่าหนึ่งแห่ง

มันเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย”

“ในทุกๆ 2-3

ปี

ศิษย์ฝ่ายในของทั้งสองนิกายก็ต้องเข้าร่วมในศึกเทียนฉวนเพื่อช่วงชิงสิทธิ์ครอบครองขุมทรัพย์ล้ำค่าเช่นเดียวกัน…”

“อย่างไรก็ตาม สำหรับศึกเทียนฉวนนั้นมีผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมและคู่ควรเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”

จี้เทียนซิงไมได้ถามอะไรมากเกินกว่านี้

เขาเพียงแค่ฟังเงียบๆและจดจำ

ต่อมาเขาก็สนทนากับซวนซวนเป็นเวลานานและถามเกี่ยวกับอาณาจักรเทียนเฉินอีกมากมาย

ซวนซวนเป็นคนใจเย็นและอดทน

นางตอบคำถามทุกข้อของจี้เทียนซิงอย่างละเอียดจนทำให้ชายหนุ่มเข้าใจถึงสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรได้มากขึ้น

โดยไม่รู้ตัว  พระอาทิตย์ยามเย็นก็ตกดิน

จี้เทียนซิงและซวนซวนเดินออกจากห้องตำราพร้อมกันและโบกมือลากันหน้าประตู

เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เข้าไปในห้องลับและเริ่มรักษาตัว

ถึงแม้ว่ามองจากภายนอก

หน้าตาของเขาจะดูปกติและไม่มีบาดแผลใดๆ

แต่แท้จริงแล้วเขาถูกฝ่ามือขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยไปหลายครั้งและได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

จี้เทียนซิงนั่งในห้องลับและหยิบขวดหยกสีขาวสองขวดออกมาจากถุงมิติ

ขวดแรกบรรจุไว้ด้วยเม็ดยาหยกน้ำค้างสามเม็ดซึ่งเป็นโอสถรักษาบาดแผลที่ฉู่เทียนเซิงมอบเป็นรางวัลให้เขา

ส่วนขวดเล็กอีกขวดหนึ่งบรรจุไว้ด้วยเม็ดยาปราณทองคำที่เขาได้รับเป็นรางวัลตอนสิ้นเดือน

ก่อนหน้านี้เขากินไปเพียงเม็ดเดียวยังเหลืออีกเม็ดเก็บไว้

“ข้าควรกินเม็ดยาหยกน้ำค้างเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน

หลังจากหายแล้วอีกสองสามวันข้าค่อยบ่มเพาะพลังในขั้นถัดไป..”

หลังจากได้รับประสบการณ์ในภารกิจถ้ำปีศาจ

จี้เทียนซิงได้ผ่านห้วงความเป็นความตายและยังได้เห็นความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของยอดฝีมือขอบเขตปราณจิต

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนังแม่มดผู้ทรงและมหาปุโรหิต

เขาก็รู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเองได้อย่างลึกซึ้ง

เขากระตุ้นตัวเองอย่างลับๆเพื่อพัฒนาระดับพลังโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

จนกระทั่งมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปะทะซึ่งหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจและตามหาประคำดารา  อีกทั้งยังมีเบาะแสของบรรพบุรุษตระกูลจี้อีกด้วย

จากนั้นจี้เทียนซิงก็กินยาหยกน้ำค้างเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

ทันทีที่มันไหลผ่านลำคอลงไป มันก็หอบอากาศอันเย็นสบายและอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วร่าง

จากนั้นก็ไหลเวียนอยู่ในเส้นชีพจรลมปราณอย่างเป็นธรรมชาติ

จี้เทียนซิงสามารถสัมผัสได้ถึงการไหลของอากาศที่เย็นสบายจากเม็ดยาหยกน้ำค้างซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยพลังมากมาย

อย่างไรก็ตาม

พลังอันรุนแรงของมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

มันทำให้เขารู้สึกสบายตัวเสียด้วยซ้ำ

เมื่อพลังอันมหาศาลได้หลั่งไหลเข้าสู่อวัยวะภายในของเขาตามเส้นชีพจร

ความรู้สึกเจ็บปวดและบอบช้ำภายในก็อันตธารหายไปทันที

ในพริบตาเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย

ราวกับว่าไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน !

ด้วยผลที่ได้ดุจยาเทพเจ้า

จี้เทียนซิงประหลาดใจไม่น้อยและขบคิดในใจว่า “ผลของเม็ดยาหยกน้ำค้างช่างวิเศษโดยแท้  มันห่างไกลเกินกว่าเม็ดยาทั่วไปมากนัก !”

“ข้าเกรงว่าเม็ดยาชนิดนี้มีเพียงหยุนเหยา

ไป๋หวู่เชินและอัจฉริยะระดับสูงเหล่านั้นเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ใช้”

เมื่อความเจ็บปวดของร่างกายผ่อนคลายลง

ประสิทธิภาพของเม็ดยาหยกน้ำค้างก็ช่วยซ่อมแซมอาการบาดเจ็บของเขาได้อย่างรวดเร็ว

เขาสลัดความคิดในหัวอย่างรวดเร็วและมุ่งเน้นไปที่การรักษาตนเองให้หายขาดเสียก่อน

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

รัตติกาลผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จี้เทียนซิงรักษาอยู่ตลอดทั้งคืนและในเช้าวันถัดมาอาการบาดเจ็บก็หายไปถึงแปดส่วนแล้ว

!

นอกจากนี้พลังวิเศษของเม็ดยาหยกน้ำค้างก็เพิ่งถูกใช้ไปเพียงห้าส่วนเท่านั้นและยังคงไหลเวียนอย่างต่อเนื่องในร่างกายของเขา

ด้วยประสิทธิภาพที่ไม่ธรรมดาของเม็ดยาหยกน้ำค้างทำให้เขาตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มไม่ได้บ่มเพาะพลังและยังคงปรับแต่งผลวิเศษของเม็ดยาต่อไปเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้หายขาด

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยามต่อมา

อาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งแต่ทว่า พลังของเม็ดยาก็ยังคงอยู่

เพื่อไม่ให้สูญเสียประสิทธิภาพของเม็ดยาล้ำค่านี้

จี้เทียนซิงยังโคจรวิถีใจกระบี่เพื่อชักนำฤทธิ์ของเม็ดยาหยกน้ำค้างไปไว้ที่ชีพจรกระบี่เพื่อเตรียมปรับแต่งกายาของตนต่อไป

ก่อนหน้านี้จี้เทียนซิงมีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้ขั้นที่

7 และเส้นชีพจรหลักทั้ง 9 ของเขา มี 3 เส้นที่บรรเทาไปสู่ชีพจรกระบี่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยความช่วยเหลือจากฤทธิ์ยาที่เหลืออยู่

เขาบ่มเพาะติดต่อกันสองวันก็สามารถบรรเทาชีพจรกระบี่เส้นที่ 4 ได้สำเร็จ !

โดยปกติแล้วเส้นชีพจรลมปราณนั้นจะเป็นสีแดงเข้มและเป็นช่องทางที่พลังลมปราณไหลผ่าน แต่สำหรับจี้เทียนซิงนั้นต่างออกไป หลังจากที่เส้นชีพจรของเขาถูกบรรเทาไปสู่ชีพจรกระบี่

มันเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม

ซึ่งเส้นชีพจรกระบี่ของเขานั้นไม่เพียงแค่ทานและแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเท่านั้น

แต่มันยังสามารถรองรับพลังปราณที่ไหลผ่านได้มากกว่า  ความแตกต่างระหว่างจี้เทียนซิงที่มีชีพจรกระบี่กับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีเส้นชีพจรปกตินั้นราวกับแม่น้ำใหญ่และลำธารเล็กๆเลยทีเดียว

!

“เพียงแค่ผลตกค้างของเม็ดยาหยกน้ำค้างก็สามารถช่วยบรรเทาชีพจรกระบี่ให้ข้าเพิ่มได้อีก

น่าเหลือเชื่อนัก !”

จี้เทียนซิงตระหนักถึงพลังของเม็ดยาหยกน้ำค้างได้อย่างลึกซึ้ง

เขาตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“หากเป็นเช่นนี้

ข้าจะกินเม็ดยาที่เหลืออีกสองเม็ดและเริ่มบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่ที่เหลือต่อเลยเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

!”

เมื่อคิดได้ชายหนุ่มก็กินเม็ดยาหยกน้ำค้างที่เหลืออีกสองเม็ดทันที มันกลายเป็นกระแสลมเย็นที่ปั่นป่วนเล็กน้อย จากนั้นก็ไหลรินเข้าสู่ร่างของเขาด้วยเสียงแผ่วเบาดั่งสายน้ำไหลผ่านแม่น้ำ

เขาหลับตาตั้งสมาธิทุ่มเทในการบรรเทาเส้นชีพจรหลักสู่ชีพจรกระบี่ด้วยความปีติยินดี

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นลง, เวลาได้ผ่านไปอย่างเงียบงัน

สามวัน

สี่วัน

ในที่สุดเวลาก็ผ่านไปอีกห้าวัน

เมื่อจี้เทียนซิงปรับแต่งพลังของเม็ดยาหยกน้ำค้างทั้งสองเม็ดได้จนหมด

มันก็ล่วงเลยมาอีกเก้าวันให้หลัง

เมื่อมาถึงจุดนี้

เขาก็ประสบความสำเร็จในการบรรเทาชีพจรกระบี่ได้อีก 4 เส้น

รวมทั้งหมดตอนนี้เขามีชีพจรกระบี่ 8 เส้นแล้ว

!

พลังยุทธ์ของเขาพัฒนาและเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ตอนนี้เขาเหลือเพียงครึ่งก้าวเท่านั้นก็จะทะลวงด่านเข้าสู่ขอบเขตปราณจิต !