ตอนที่ 209

ความลับในส่วนที่ลึกที่สุด

เมื่อได้เห็นองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยกระโดดลงหน้าผา

ทั้งจี้เทียนซิงและหยุนเหยาต่างก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

ทั้งสองต่างเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเหตุใดนางถึงได้หนีลงหน้าผาที่ทั้งมืดมิดและสูงชันจนมองไม่เห็นก้น

หรือการที่นางกระโดดลงจากหน้าผาอย่างเด็ดขาดเป็นเพราะนางเข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ใต้หน้าผาเป็นอย่างดีงั้นหรือ

?

หรือว่านางรู้ตัวว่าสู้หยุนเหยาไม่ได้ก็เลยหนีอย่างสิ้นคิด

?

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและขบคิดในใจว่าจะตามล่านางต่อไปดีหรือไม่

ทันใดนั้นเองหยุนเหยาก็เอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของจี้เทียนซิงพลางกระโดดลงหน้าผาทันที

ถึงแม้จะมีเพียงข้อมือที่ถูกหยุนเหยาคว้าจับ

แต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับเกิดความรู้สึกแปลกๆดั่งกระแสไฟแล่นผ่านไปทั่วร่าง

เขาถูกหยุนเหยาผู้เย็นชาจับมือ

!

ในช่วงเวลานี้เองเขาไม่มีกะจิตกะใจคิดฟุ้งซ่าน

ในหัวเต็มไปด้วยความประหลาดใจและวิตกกังวล

"สวรรค์ ! ศิษย์พี่ใหญ่ลากข้าลงหน้าผาจริงหรือนี่  ?  บ้าเอ้ย …..

พวกเรายังบินไม่ได้เสียหน่อย

หากพวกเราหุนหันเช่นนี้มิใช่ว่าเอาชีวิตน้อยๆมาทิ้งหรอกหรือ... ?”

ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังสติแตกที่ถูกหยุนเหยาฉุดลากลงหน้าผาลึก

หยุนเหยาก็ดูเหมือนจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ นางลอบส่งเสียงหาเขาว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องตกใจ  ข้ามีปีกวายุเพลิง พวกเราไม่มีอันตรายหรอก”

เมื่อสิ้นเสียงนางก็เอื้อมมือไปดึงปิ่นหยกสีขาวออกจากมวยผม

ครั้งแรกที่จี้เทียนซิงพบหน้าหยุนเหยา

เขาก็เห็นว่านางมักจะเสียบปิ่นปักผมนี้ไว้อยู่เสมอ มันเป็นปิ่นที่มีความละเอียดอ่อนและงดงามมาก

ปลายปิ่นถูกแกะสลักเป็นรูปนกที่เหมือนจริง

จี้เทียนซิงคิดอยู่เสมอว่าปิ่นปักผมอันนี้งดงามและเหมาะกับรูปลักษณ์ของนางมาก

มันขับเน้นให้นางยิ่งดูงดงามดุจนางฟ้า

แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าปิ่นปักผมนี้แท้จริงแล้วก็คืออุปกรณ์ชนิดหนึ่ง

เมื่อหยุนเหยาอัดพลังปราณลงไปในปิ่นปักผม

มันก็เปล่งแสงที่สุกสกาวออกมาทันที

“วู้ม !”

รูปนกแกะสลักที่ปลายปิ่นปักผมมีปฏิกิริยาทันที, มันราวกับมีชีวิต

จากนั้นกลุ่มลำแสงสีขาวก็ห่อพันเรือนร่างบอบบางของนางเอาไว้และมีปีกคู่หนึ่งโผล่ขึ้นมาที่กลางหลังของนาง

ปีกคู่นี้เป็นเหมือนปีกของสัตว์อสูรบินได้

ปีกข้างซ้ายเป็นสีแดงเพลิง ส่วนปีกข้างขวาเป็นสีขาวดุจหิมะ

หยุนเหยาสะบัดปีกวายุเพลิงเบาๆเพื่อชะลอการดิ่งลงพื้นของพวกเขาทั้งสอง

จี้เทียนซิงเหม่อมองไปที่ปีกวายุเพลิงอันงดงามของนางอย่างไม่วางตา

เขาอดไม่ได้ที่เผยสีหน้าอิจฉาเลื่อมใสออกมา

หยุนเหยากวาดสายตามองไปมองมารอบๆเพื่อหาร่องรอยขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยจนไม่ทันได้สังเกตแววตาของจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย

หน้าผาทั้งมืดมิดและไร้ซึ่งแสงสว่าง

ขอบผาก็ทั้งสูงชันและราบเรียบจนเป็นมุม 90

องศา

หยุนเหยากระพือปีกวายุเพลิงเพื่อลอยตัวอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งก็ยังไม่พบร่องรอยขององค์หญิงเสวี่ย

“หรือว่านางตกไปถึงก้นหน้าผา ? เช่นนั้นมิใช่ตายแล้วหรอกหรือ ?”

“เป็นไปไม่ได้ ! นางเป็นถึงจ้าวแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีสมบัติล้ำค่ามากมาย ... ”

หยุนเหยาวิเคราะห์ภายในใจอย่างเงียบงัน

จากนั้นก็ค่อยๆร่อนลงหน้าผาพร้อมกับจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงถูกนางคว้าข้อมือซ้ายเอาไว้กลางอากาศ

อีกทั้งร่างกายของเขาก็ไม่สมดุลดีและไม่อาจทรงตัวกลางอากาศได้ ดังนั้นมือขวาของเขาจึงเหยียดออกไปแกะแขนบอบบางของนางโดยไม่รู้ตัว

ท่วงท่านี้ดูชิดเชื้อสนิทสนมกันเป็นอย่างมากและมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้หากจะมีคนคิดฟุ้งซ่านหรือเข้าใจผิด  แต่ทว่า ในขณะนี้ทั้งสองอยู่ก้นหน้าผาลึกลงไปใต้พื้นดินย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น หรือหากพวกเขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนนี้ก็อาจแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้....

หลังจากนั้นไม่นานหยุนเหยาและจี้เทียนซิงก็ดิ่งลงมาหลายกิโลเมตรจนกระทั่งมาถึงพื้นของก้นหน้าผา

บรรยากาศรอบๆดำสนิทเหมือนน้ำหมึก

เงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า อีกทั้งยังมีอากาศที่เย็นเล็กน้อย

หลังจากเท้าแตะพื้น

จี้เทียนซิงก็ปล่อยมือจากแขนของหยุนเหยาและมองไปรอบๆ

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา

แม้ในสภาพแวดล้อมที่มืดมากก็ยังสามารถมองเห็นภาพรอบๆในระยะ 20 เมตรได้

นอกจากดวงตาแล้ว

เขายังสามารถใช้สัมผัสญาณเพื่อสัมผัสและตรวจจับสภาพแวดล้อมได้อีกด้วย

ในไม่ช้า

หลังจากที่จี้เทียนซิงแผ่สัมผัสญาณออกไปได้ไม่นาน

รัศมีการตรวจจับของเขาก็เริ่มลดลง

เพราะเขาเพิ่งตัดผ่านมายังขอบเขตปราณจิตได้ไม่นาน

พลังจิตวิญญาณของเขาจึงยังอ่อนด้อยอยู่

ทว่าหยุนเหยานั้นแข็งแกร่งกว่า

และสัมผัสญาณของนางก็ทรงพลังกว่ามากด้วย

นางสามารถแผ่จิตสัมผัสไปสำรวจได้ในรัศมีถึง 100

เมตร

ทั้งสองคนช่วยกันสำรวจสถานการณ์โดยรอบอย่างเงียบเชียบและไม่มีผู้ใดพูดจา

แต่พวกเขาก็ไม่ได้ห่างจากกันไกลนักเนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่ไม่คุ้นชินและอาจมีอันตรายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้

.........

ในไม่ช้า

ครึ่งชั่วยามก็ผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็สำรวจจนทั่ว

ก้นหน้าผาแห่งนี้เป็นพื้นที่เปิดโล่งเกือบหนึ่งพันเมตร

พื้นดินเป็นชั้นหินแข็งและมีก้อนกรวดกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก

นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว

ในพื้นที่นี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด

รวมไปถึงร่องรอยขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยอีกด้วย......

นอกจากนี้หยุนเหยาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าละแวกนี้ไร้ซึ่งกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

หลังจากขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งนางก็คาดเดาเหตุผลได้

“ศิษย์น้องเทียนซิง

ที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจเลย นางและสมุนไม่เคยมาที่นี่”

จี้เทียนซิงเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงและถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า

“งั้นนางก็หนีไปก่อนแล้ว ? บ้าน่า พวกเราเห็นนางกระโดดลงมาจากหน้าผาชัดๆ !  หรือว่าระหว่างที่นางดิ่งลงมาก็หายตัวไปในอากาศงั้นหรือ ? เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร”

“ถูกต้องแล้ว” หยุนเหยาพยักหน้าแล้วอธิบายว่า

“นางหลบหนีกลางอากาศจริงๆ แม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อ

แต่นางก็ทำได้เพราะร่มหมอกปีศาจ”

จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า

“ร่มหมอกปีศาจ ?”

“ใช่แล้ว

มันเป็นเครื่องเวทย์ระดับสวรรค์”  หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบต่อไปว่า  “มันเป็นอุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีพลังอันน่าเหลือเชื่อ”

“เป็นเวลาเกือบจะหนึ่งร้อยปีแล้วที่มหาปุโรหิตแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ลอบเข้ามาในนิกายหลายต่อหลายครั้ง

และทุกครั้งหลังจากที่ท่านอาจารย์ค้นพบมัน

มันก็จะหลบหนีได้อย่างปลอดภัยอยู่ร่ำไปด้วยร่มหมอกปีศาจนี้”

หยุดชั่วคราวนางก็กล่าวต่อไปว่า

“หากข้าเดาไม่ผิด นางแม่มดนั่นย่อมต้องใช้ร่มหมอกปีศาจหลบหนีไปจากภูเขามังกรเรียบร้อยแล้ว”

“แบบนี้นี่เอง...  น่าเสียดายนักที่ปล่อยให้นางรอดไปได้

!” จี้เทียนซิงถอนหายใจด้วยความเสียดาย

หยุนเหยากล่าวอย่างเยือกเย็นว่า

“ไม่ต้องคิดมาก เจ้าจะมีโอกาสในอนาคต”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและสรุปว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่ เบาะแสทั้งหมดนั้นจบลงที่บนหน้าผาและกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เหลืออยู่ในเหมืองนั้นก็สรุปแล้วว่าเป็นขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย  นางล่อพวกเรามาสุดขอบหน้าผาและซุ่มโจมตีเรา”

“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดี ? กลับทางเดิมไปหาผู้อาวุโสชูงั้นหรือ ?”

หยุนเหยาส่ายหัวเล็กน้อยและผินใบหน้างามมองไปที่บริเวณอันมืดมิดเบื้องหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบว่า

“มีบางสิ่งแปลกๆตรงนั้น เจ้าตามข้ามา”

จี้เทียนซิงงุนงงแต่ก็รีบเดินตามนางไปที่จุดนั้นทันที

ทั้งสองคนเดินไปเกือบร้อยเมตรจนมาถึงกำแพงหิน เมื่อเข้ามาใกล้จี้เทียนซิงก็พบว่ามีถ้ำอันมืดมิดถ้ำหนึ่งอยู่บนกำแพงหิน

มันมีรูที่เป็นเหมือนประตูทางเดิน

มันมืดมากจนไม่ทราบว่าจะนำไปสู่สถานที่แห่งใด  แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ นี่เป็นเส้นทางที่มนุษย์สร้างขึ้นและร่องรอยนั้นก็เก่าแก่มาก

อย่างน้อยก็มีอายุมาแล้วหลายร้อยปี

จี้เทียนซิงเข้าใจความหมายของหยุนเหยาในทันทีและอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา

“ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขามังกรลูกนี้สินะ”