ความลับในส่วนที่ลึกที่สุด
เมื่อได้เห็นองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยกระโดดลงหน้าผา
ทั้งจี้เทียนซิงและหยุนเหยาต่างก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
ทั้งสองต่างเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเหตุใดนางถึงได้หนีลงหน้าผาที่ทั้งมืดมิดและสูงชันจนมองไม่เห็นก้น
หรือการที่นางกระโดดลงจากหน้าผาอย่างเด็ดขาดเป็นเพราะนางเข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ใต้หน้าผาเป็นอย่างดีงั้นหรือ
?
หรือว่านางรู้ตัวว่าสู้หยุนเหยาไม่ได้ก็เลยหนีอย่างสิ้นคิด
?
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและขบคิดในใจว่าจะตามล่านางต่อไปดีหรือไม่
ทันใดนั้นเองหยุนเหยาก็เอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของจี้เทียนซิงพลางกระโดดลงหน้าผาทันที
ถึงแม้จะมีเพียงข้อมือที่ถูกหยุนเหยาคว้าจับ
แต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับเกิดความรู้สึกแปลกๆดั่งกระแสไฟแล่นผ่านไปทั่วร่าง
เขาถูกหยุนเหยาผู้เย็นชาจับมือ
!
ในช่วงเวลานี้เองเขาไม่มีกะจิตกะใจคิดฟุ้งซ่าน
ในหัวเต็มไปด้วยความประหลาดใจและวิตกกังวล
"สวรรค์ ! ศิษย์พี่ใหญ่ลากข้าลงหน้าผาจริงหรือนี่ ? บ้าเอ้ย …..
พวกเรายังบินไม่ได้เสียหน่อย
หากพวกเราหุนหันเช่นนี้มิใช่ว่าเอาชีวิตน้อยๆมาทิ้งหรอกหรือ... ?”
ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังสติแตกที่ถูกหยุนเหยาฉุดลากลงหน้าผาลึก
หยุนเหยาก็ดูเหมือนจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ นางลอบส่งเสียงหาเขาว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องตกใจ ข้ามีปีกวายุเพลิง พวกเราไม่มีอันตรายหรอก”
เมื่อสิ้นเสียงนางก็เอื้อมมือไปดึงปิ่นหยกสีขาวออกจากมวยผม
ครั้งแรกที่จี้เทียนซิงพบหน้าหยุนเหยา
เขาก็เห็นว่านางมักจะเสียบปิ่นปักผมนี้ไว้อยู่เสมอ มันเป็นปิ่นที่มีความละเอียดอ่อนและงดงามมาก
ปลายปิ่นถูกแกะสลักเป็นรูปนกที่เหมือนจริง
จี้เทียนซิงคิดอยู่เสมอว่าปิ่นปักผมอันนี้งดงามและเหมาะกับรูปลักษณ์ของนางมาก
มันขับเน้นให้นางยิ่งดูงดงามดุจนางฟ้า
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าปิ่นปักผมนี้แท้จริงแล้วก็คืออุปกรณ์ชนิดหนึ่ง
เมื่อหยุนเหยาอัดพลังปราณลงไปในปิ่นปักผม
มันก็เปล่งแสงที่สุกสกาวออกมาทันที
“วู้ม !”
รูปนกแกะสลักที่ปลายปิ่นปักผมมีปฏิกิริยาทันที, มันราวกับมีชีวิต
จากนั้นกลุ่มลำแสงสีขาวก็ห่อพันเรือนร่างบอบบางของนางเอาไว้และมีปีกคู่หนึ่งโผล่ขึ้นมาที่กลางหลังของนาง
ปีกคู่นี้เป็นเหมือนปีกของสัตว์อสูรบินได้
ปีกข้างซ้ายเป็นสีแดงเพลิง ส่วนปีกข้างขวาเป็นสีขาวดุจหิมะ
หยุนเหยาสะบัดปีกวายุเพลิงเบาๆเพื่อชะลอการดิ่งลงพื้นของพวกเขาทั้งสอง
จี้เทียนซิงเหม่อมองไปที่ปีกวายุเพลิงอันงดงามของนางอย่างไม่วางตา
เขาอดไม่ได้ที่เผยสีหน้าอิจฉาเลื่อมใสออกมา
หยุนเหยากวาดสายตามองไปมองมารอบๆเพื่อหาร่องรอยขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยจนไม่ทันได้สังเกตแววตาของจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย
หน้าผาทั้งมืดมิดและไร้ซึ่งแสงสว่าง
ขอบผาก็ทั้งสูงชันและราบเรียบจนเป็นมุม 90
องศา
หยุนเหยากระพือปีกวายุเพลิงเพื่อลอยตัวอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งก็ยังไม่พบร่องรอยขององค์หญิงเสวี่ย
“หรือว่านางตกไปถึงก้นหน้าผา ? เช่นนั้นมิใช่ตายแล้วหรอกหรือ ?”
“เป็นไปไม่ได้ ! นางเป็นถึงจ้าวแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีสมบัติล้ำค่ามากมาย ... ”
หยุนเหยาวิเคราะห์ภายในใจอย่างเงียบงัน
จากนั้นก็ค่อยๆร่อนลงหน้าผาพร้อมกับจี้เทียนซิง
จี้เทียนซิงถูกนางคว้าข้อมือซ้ายเอาไว้กลางอากาศ
อีกทั้งร่างกายของเขาก็ไม่สมดุลดีและไม่อาจทรงตัวกลางอากาศได้ ดังนั้นมือขวาของเขาจึงเหยียดออกไปแกะแขนบอบบางของนางโดยไม่รู้ตัว
ท่วงท่านี้ดูชิดเชื้อสนิทสนมกันเป็นอย่างมากและมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้หากจะมีคนคิดฟุ้งซ่านหรือเข้าใจผิด แต่ทว่า ในขณะนี้ทั้งสองอยู่ก้นหน้าผาลึกลงไปใต้พื้นดินย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น หรือหากพวกเขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนนี้ก็อาจแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้....
หลังจากนั้นไม่นานหยุนเหยาและจี้เทียนซิงก็ดิ่งลงมาหลายกิโลเมตรจนกระทั่งมาถึงพื้นของก้นหน้าผา
บรรยากาศรอบๆดำสนิทเหมือนน้ำหมึก
เงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า อีกทั้งยังมีอากาศที่เย็นเล็กน้อย
หลังจากเท้าแตะพื้น
จี้เทียนซิงก็ปล่อยมือจากแขนของหยุนเหยาและมองไปรอบๆ
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา
แม้ในสภาพแวดล้อมที่มืดมากก็ยังสามารถมองเห็นภาพรอบๆในระยะ 20 เมตรได้
นอกจากดวงตาแล้ว
เขายังสามารถใช้สัมผัสญาณเพื่อสัมผัสและตรวจจับสภาพแวดล้อมได้อีกด้วย
ในไม่ช้า
หลังจากที่จี้เทียนซิงแผ่สัมผัสญาณออกไปได้ไม่นาน
รัศมีการตรวจจับของเขาก็เริ่มลดลง
เพราะเขาเพิ่งตัดผ่านมายังขอบเขตปราณจิตได้ไม่นาน
พลังจิตวิญญาณของเขาจึงยังอ่อนด้อยอยู่
ทว่าหยุนเหยานั้นแข็งแกร่งกว่า
และสัมผัสญาณของนางก็ทรงพลังกว่ามากด้วย
นางสามารถแผ่จิตสัมผัสไปสำรวจได้ในรัศมีถึง 100
เมตร
ทั้งสองคนช่วยกันสำรวจสถานการณ์โดยรอบอย่างเงียบเชียบและไม่มีผู้ใดพูดจา
แต่พวกเขาก็ไม่ได้ห่างจากกันไกลนักเนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่ไม่คุ้นชินและอาจมีอันตรายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้
.........
ในไม่ช้า
ครึ่งชั่วยามก็ผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็สำรวจจนทั่ว
ก้นหน้าผาแห่งนี้เป็นพื้นที่เปิดโล่งเกือบหนึ่งพันเมตร
พื้นดินเป็นชั้นหินแข็งและมีก้อนกรวดกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก
นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว
ในพื้นที่นี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด
รวมไปถึงร่องรอยขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยอีกด้วย......
นอกจากนี้หยุนเหยาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าละแวกนี้ไร้ซึ่งกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
หลังจากขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งนางก็คาดเดาเหตุผลได้
“ศิษย์น้องเทียนซิง
ที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจเลย นางและสมุนไม่เคยมาที่นี่”
จี้เทียนซิงเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงและถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า
“งั้นนางก็หนีไปก่อนแล้ว ? บ้าน่า พวกเราเห็นนางกระโดดลงมาจากหน้าผาชัดๆ ! หรือว่าระหว่างที่นางดิ่งลงมาก็หายตัวไปในอากาศงั้นหรือ ? เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร”
“ถูกต้องแล้ว” หยุนเหยาพยักหน้าแล้วอธิบายว่า
“นางหลบหนีกลางอากาศจริงๆ แม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อ
แต่นางก็ทำได้เพราะร่มหมอกปีศาจ”
จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า
“ร่มหมอกปีศาจ ?”
“ใช่แล้ว
มันเป็นเครื่องเวทย์ระดับสวรรค์” หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบต่อไปว่า “มันเป็นอุปกรณ์เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีพลังอันน่าเหลือเชื่อ”
“เป็นเวลาเกือบจะหนึ่งร้อยปีแล้วที่มหาปุโรหิตแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ลอบเข้ามาในนิกายหลายต่อหลายครั้ง
และทุกครั้งหลังจากที่ท่านอาจารย์ค้นพบมัน
มันก็จะหลบหนีได้อย่างปลอดภัยอยู่ร่ำไปด้วยร่มหมอกปีศาจนี้”
หยุดชั่วคราวนางก็กล่าวต่อไปว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด นางแม่มดนั่นย่อมต้องใช้ร่มหมอกปีศาจหลบหนีไปจากภูเขามังกรเรียบร้อยแล้ว”
“แบบนี้นี่เอง... น่าเสียดายนักที่ปล่อยให้นางรอดไปได้
!” จี้เทียนซิงถอนหายใจด้วยความเสียดาย
หยุนเหยากล่าวอย่างเยือกเย็นว่า
“ไม่ต้องคิดมาก เจ้าจะมีโอกาสในอนาคต”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและสรุปว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ เบาะแสทั้งหมดนั้นจบลงที่บนหน้าผาและกลิ่นอายของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เหลืออยู่ในเหมืองนั้นก็สรุปแล้วว่าเป็นขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย นางล่อพวกเรามาสุดขอบหน้าผาและซุ่มโจมตีเรา”
“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดี ? กลับทางเดิมไปหาผู้อาวุโสชูงั้นหรือ ?”
หยุนเหยาส่ายหัวเล็กน้อยและผินใบหน้างามมองไปที่บริเวณอันมืดมิดเบื้องหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบว่า
“มีบางสิ่งแปลกๆตรงนั้น เจ้าตามข้ามา”
จี้เทียนซิงงุนงงแต่ก็รีบเดินตามนางไปที่จุดนั้นทันที
ทั้งสองคนเดินไปเกือบร้อยเมตรจนมาถึงกำแพงหิน เมื่อเข้ามาใกล้จี้เทียนซิงก็พบว่ามีถ้ำอันมืดมิดถ้ำหนึ่งอยู่บนกำแพงหิน
มันมีรูที่เป็นเหมือนประตูทางเดิน
มันมืดมากจนไม่ทราบว่าจะนำไปสู่สถานที่แห่งใด แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ นี่เป็นเส้นทางที่มนุษย์สร้างขึ้นและร่องรอยนั้นก็เก่าแก่มาก
อย่างน้อยก็มีอายุมาแล้วหลายร้อยปี
จี้เทียนซิงเข้าใจความหมายของหยุนเหยาในทันทีและอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
“ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขามังกรลูกนี้สินะ”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved