ตอนที่ 132

ความล้มเหลว

ห้องลับ, ประตูสีขาวส่องสว่างไปด้วยแสงสีขาวที่วูบวาบบาดสายตา

ฉู่เทียนเซิงยังไม่ได้รีบร้อนเดินผ่านประตูเข้าไปแต่มองจี้หลิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังและกล่าวว่า  “จี้หลิง เรื่องนี้สำคัญมาก มันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิกายพันธมิตรสวรรค์

เมื่อเจ้าลงไปใต้ดินแล้ว เจ้าทำได้เพียงทำตามที่ข้าพูดเท่านั้น ไม่ต้องมอง ! ไม่ต้องวอกแวกและไม่ต้องถามใดๆทั้งสิ้น ! ที่สำคัญคือเจ้าห้ามทำให้เรื่องนี้ให้รั่วไหลแม้แต่น้อย

เข้าใจหรือไม่ ?!"

จี้หลิงเดาว่าฉู่เทียนเซิงกำลังจะเผยความลับอันใหญ่หลวงของนิกายออกมา  อารมณ์ของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

แต่พื้นผิวยังคงวางสีหน้าสงบราบเรียบ

เขาพยักหน้าให้ฉู่เทียนเซิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

"ขอท่านประมุขวางใจ

ศิษย์จะไม่ถามอะไรที่ไม่บังควรและจะไม่เผยแพร่ความลับนี้ออกไปแน่นอน !"

จี้หลิงกล่าวหนักแน่นพร้อมกับสาบานเพื่อแสดงถึงความซื่อสัตย์ภักดีที่มีต่อฉู่เทียนเซิง

ฉู่เทียนเซิงพอใจมากต่อปฏิกิริยาและทัศนคติของจี้หลิง สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงอย่างมาก

เซี่ยงหวู่จี้หรี่ตาและชำเลืองมองจี้หลิงอยู่หลายครั้งด้วยความสงสัยว่า

ภายในใจของชายหนุ่มผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่

“ไป

เข้าไปข้างในได้แล้ว

เชิญท่านอาจารย์อา”

ท้ายที่สุด

ฉู่เทียนเซิงก็เป็นคนแรกที่ก้าวเท้าผ่านประตูแสงเข้าไป

เมื่อประตูส่องแสงสีขาว

เงาร่างของเขาก็หายวับไปทันที จี้หลิงติดตามไปอย่างใกล้ชิดจากด้านหลังและเข้าไปในประตู

ส่วนเซี่ยงหวู่จี้อยู่ท้ายสุด

เมื่อคนทั้งสามเข้าสู่ถ้ำใต้ดิน

ความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องลับ จากนั้นประตูแสงที่เป็นทางผ่านก็หายไปอย่างช้าๆ

......

อึก.....อือ...

จี้เทียนซิงเปล่งเสียงครวญครางและฟื้นขึ้นมา เขาไม่รู้ว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว

ครึ่งวันหรือหนึ่งวัน ?

เขารู้เพียงว่าเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงเหมือนมีดตัดผ่ากลางหน้าอก

ทุกลมหายใจร้อนแรงดั่งอัคคีแผดเผา

ปากและจมูกเต็มไปด้วยคราบโลหิตที่แห้งกรังเปรอะเปื้อน

"แค่ก......…แค่ก !"

เขาไอออกมาสองครั้ง

ปากและจมูกเกิดฟองเลือดสีแดงเข้มออกมา

เพียงแค่เคลื่อนไหวร่างกายเล็กน้อยก็รุ้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจนเหงื่อเย็นผุดออกมา

เขาดิ้นรนและต้องการจะลุกขึ้น

แต่ก็เจ็บปวดอย่างยิ่งจนไม่สามารถชันกายให้ลุกได้

ด้วยความสิ้นหวัง

เขาทำได้เพียงนอนแผ่บนพื้นเย็นๆต่อไปเท่านั้น

ในใจคิดทบทวนถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“นี่ข้ายังไม่ตาย........ ?   นังผู้หญิงชุดดำชั่วช้าสารเลวนั่นหายไปไหนกัน

?”

“หลังจากฝ่ามือนั้นของนางทำให้ข้าเจ็บปวดเกิดบรรยายจนหมดสติไป”

เขามองไปที่หน้าอก

เสื้อคลุมสีฟ้าที่ถูกแผดเผาหมดสิ้นเผยให้เห็นถึงชั้นลำแสงสีฟ้าบางๆสายหนึ่งที่อยู่ข้างใน  แต่ทว่าแสงของเกราะมังกรน้ำแข็งนั้นเริ่มสลัว

เห็นได้ชัดว่ามันเสียหาย

“โชคยังดีที่ข้ามีเกราะมังกรน้ำแข็งคุ้มกายไว้

มันช่วยสลายพลังโจมตีไปได้หลายส่วน มิฉะนั้นข้าคงจบชีวิตไปนานแล้ว !”

จี้เทียนซิงถอนหายใจลับๆและเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลง

หลังจากนอนแผ่อยู่หลายสิบนาที

ในที่สุดเขาก็พอจะฟื้นพลังกายกลับคืนมาได้เล็กน้อยจึงค่อยๆลุกขึ้นไปนั่งที่มุม

เขามองไปมารอบๆ

และเห็นสภาพแวดล้อมที่เละเทะปั่นป่วน ผนังและพื้นเต็มไปด้วยรอยแตกและมีหลุมบ่อขนาดใหญ่

นอกจากนี้ยังมีประตูเหล็กสีดำซึ่งถูกพลังบางอย่างบิดจนโค้งงออย่างผิดรูป

จี้เทียนซิงตื่นตระหนกและรู้สึกว่าผู้หญิงชุดดำคนนั้นทั้งโหดเหี้ยมและทรงพลัง   นางถึงขั้นมีพลังทำลายล้างที่น่ากลัวเช่นนี้

!

“บัดซบ นังเผ่าประหลาดชุดดำนั่นไร้เหตุผลสิ้นดี !”

เขาสบถแผ่วเบาและหยิบเม็ดยาฟื้นฟูออกจากถุงมิติและกลืนลงไป

จากนั้นเขาก็เริ่มดูดซับผลของเม็ดยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ  ภายในถ้ำยังคงมืดมืดและเงียบงัน

ลมหนาวพัดผ่านมาอย่างต่อเนื่องและส่งผ่านมายังห้องหิน

หลังจากนั้นประมาณหกชั่วโมง, ครึ่งวันผ่านไปจี้เทียนซิงก็หยุดการดูดซับเม็ดยาเพื่อรักษาอาการเนื่องจากอาการบาดเจ็บภายในเริ่มทรงตัว

และคงไม่มีปัญหาร้ายแรงในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม

เขาจำเป็นต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บอย่างน้อยๆก็ครึ่งเดือน จี้เทียนซิงมองไปด้านนอกถ้ำและขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “ข้าถูกขังมา 12 วันแล้ว อีก 3 วันก็จะถึงเวลาทดสอบของหอยุทธ์.... เหอเหอ

แต่ตอนนี้ข้ากลับถูกลงโทษอยู่ที่นี่ สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งนัก...”

เขาหัวเราะเยาะสมเพชตัวเองและกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“ผู้หญิงชุดดำสวมหน้ากากผู้นั้นเป็นคนต่างเผ่า

ข้าไม่รู้ว่านางมีแผนการร้ายอะไรถึงได้ลอบเข้ามาในนิกาย

หวังว่าทางนิกายคงทราบเรื่องแล้วและตามล่าขับไล่นางออกไป !”

“หวังว่าเค่อเค่อจะฟื้นขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า

จี้หลิงมันจะได้รับโทษอย่างสาสม !”

หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งอารมณ์ของจี้เทียนซิงก็สงบลงอย่างช้าๆ

จากนั้นเขาก็ฝึกฝนต่อไป

......

กลางดึก  ยอดเขาเมฆาสีชาด

ภายในห้องลับลึกเข้าไปในตำหนัก

ประตูลับส่องแสงสว่างและร่างทั้งสามก็ค่อยๆเดินกลับออกมาจากประตูอาคมบานหนึ่ง

ทั้งสามนี้คือฉู่เทียนเซิง

เซี่ยงหวู่จี้และจี้หลิง

อย่างไรก็ตามใบหน้าของฉู่เทียนเซิงบิดเบี้ยวอัปลักษณ์  ดวงตาของเขามืดมนและเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?  เป็นไปไม่ได้ !!” เขากระซิบในใจอย่างไม่เต็มใจและไม่อาจทำใจเชื่อได้

ใบหน้าของจี้หลิงยิ่งน่าเกลียดกว่า

แววตาเหม่อลอยว่างเปล่าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

เขายืนก้มหน้าอยู่ข้างๆฉู่เทียนเซิงและดูเหมือนว่าสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว  มวลอารมณ์จมดิ่งลงสู่ก้นเหว

ส่วนเซี่ยงหวู่จี้

สีหน้ายิ่งมืดมนดูไม่จืด ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ

ลำแสงจากประตูอาคมกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสามเดินออกจากห้องลับของฉู่เทียนเซิงอย่างเงียบงันและไปที่ห้องโถงตำหนักฉิงเทียน

แสงสว่างในห้องโถงตำหนักนั้นมืดครึ้ม

มีเพียงไฟหินบนผนังที่ส่องแสงสลัวๆเท่านั้น

บรรยากาศยิ่งมืดมนหดหู่ต่อคนทั้งสามเป็นทบทวี

ฉู่เทียนเซิงสูดหายใจลึก

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงแผ่วกับจี้หลิงว่า “จี้หลิง เจ้าถอยไปก่อน กลับไปยังหอยุทธ์ฟงอวิ๋นซะ”

“เรื่องในวันนี้เจ้าต้องไม่เปิดเผยต่อผู้ใดทั้งสิ้น

มิฉะนั้นจะถูกลงโทษสถานหนัก จำไว้ให้ดี !”

ใบหน้าของจี้หลิงดูอึดอัดคับข้อง

เขาทำได้เพียงแค่ก้มหน้าและประสานมือคารวะ

“ศิษย์เข้าใจ

ศิษย์ขอตัว”

หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินออกจากตำหนักฉิงเทียน

มุ่งหน้าไปยังหอยุทธ์ฟงอวิ๋นด้วยความเศร้าสลด

ขณะนี้

ภายในตำหนักฉิงเทียนอันกว้างใหญ่ก็เหลือเพียงเซี่ยงหวู่จี้กับฉู่เทียนเซิงเท่านั้น

บรรยากาศและกลิ่นอายรอบๆค่อนข้างหดหู่สิ้นหวัง

ฉู่เทียนเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะโค้งคำนับเซี่ยงหวู่จี้แล้วกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์อา เป็นศิษย์ไม่ดีเอง

ศิษย์มิอาจเริ่มวางข่ายอาคมใหม่ได้สำเร็จดังที่เคยกล่าวไว้ ขอท่านโปรดลงโทษด้วย !”

เซี่ยงหวู่จี้มองด้วยหางตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“เหอะ !....  เจ้าเป็นถึงประมุขนิกาย ตาเฒ่าอย่างข้าจะเอาปัญญาและความกล้าจากไหนมาลงโทษ

?  ให้ข้าสั่งเจ้าละทิ้งตำแหน่งประมุขรึไง ?!”

“น่าขายหน้านัก ! ก่อนจะเข้าไปในมหาข่ายอาคมก็โอ้อวดเสียดิบดี

เราผู้เฒ่าถามย้ำเจ้ากี่ครั้งแล้ว

เจ้าหนูคนนี้ใช่คนที่เจ้าตามหาไม่ผิดตัวแน่นอนใช่ไหม ?”

“แล้วผลลัพธ์เมื่อครู่คือผีสางอันใด ตอบข้าซิ !  จี้หลิงของเจ้า

เพียงแค่เปิดมหาข่ายอาคมยังทำไม่ได้เลย !  เจ้าแน่ใจนะว่าเขามีสายเลือดกระบี่ลี้ลับ ?  แล้วเมื่อกี้มันสายเลือดลมตดเหรอ

? เก้ามังกรผนึกมารไม่มีปฏิกิริยาต่อเขาแม้แต่น้อย

!”

“ตอนนี้เป็นไงล่ะ เกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว

ข่ายอาคมไม่เขยื้อน แต่ข้าต้องเสียหินพลังปราณไปฟรีๆนับยี่สิบก้อน !”

“ที่สำคัญ ถึงแม้ว่าลักษณะท่วงท่าของจี้หลิงจะดูอบอุ่นซื่อสัตย์จริงใจ

แต่เขารู้ความลับทั้งหมดและสถานการณ์คับขันที่บอบบางที่สุดของนิกายเข้าแล้ว

เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้ไว้ใจได้ !?  ฮึ่ย  น่าโมโหนัก !”

เมื่อพูดถึงช่วงสุดท้ายเซี่ยงหวู่จี้ก็โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ทั่วทั้งใบหน้าที่ชราเหี่ยวย่นของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย

แม้กระทั่งหนวดเคราสีขาวก็ยังลอยขึ้นเหนืออากาศ

“ฉู่เทียนเซิง

! ตอนนี้เจ้าตอบเราผู้เฒ่ามา

เจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ?  เจ้าจะรับประกันได้อย่างไรว่าจี้หลิงคนนี้จะไม่เปิดเผยความลับของนิกายต่อบุคลอื่น

?”