ตอนที่ 374

ตอนที่

374 หากเป็นเช่นนั้น

ข้าก็จะสะบั้นชะตากรรมให้สิ้น !

จี้เทียนซิงทราบอย่างชัดเจน

ถึงแม้นิกายพันธมิตรสวรรค์จะเป็นขุมพลังผู้ทรงอิทธิพลของอาณาจักรเทียนเฉินแต่ก็ยังเป็นหนึ่งในอาณัติของลานจักรพรรดิจ้งโจว

โอรสสวรรค์ได้รับคำสั่งให้มาเยือนนิกายพันธมิตรสวรรค์

นับเป็นแขกผู้ทรงเกียรติสูงสุด นิกายทำได้เพียงดูแลเอาใจอีกฝ่ายให้มากที่สุด

การมาเยือนอาณาจักรเทียนเฉินของโอรสสวรรค์ในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เป็นประธานคนกลางในสถานการณ์ความขัดแย้งโดยรวม

แต่ยังมาเพื่อพบปะกับหยุนเหยา, ผู้สมัครว่าที่นางสนมในอนาคต

นิกายพันธมิตรสวรรค์มิอาจเพิกเฉยต่อคำสั่งของลานจักรพรรดิ

หยุนเหยาจำเป็นต้องเข้าร่วมพิธีคัดเลือกนางสนมโดยโอรสวรรค์

ทุกคนภายในนิกายต่างรับรู้กันดีว่าจี้เทียนซิงและหยุนเหยาเป็นคู่สร้างคู่สมที่สมบูรณ์แบบ

พวกเขาเหมาะสมกันในทุกๆด้าน

แต่ทว่า

โอรสสวรรค์มาเพื่อคัดเลือกนางสนมก็เท่ากับมาแย่งหยุนเหยาไปจากจี้เทียนซิง

เซี่ยงหวู่จี้เข้าใจในจุดนี้ดีและคำนึงถึงความรู้สึกของเขา

กลัวว่าชายหนุ่มในวัยกำดัดย่อมหุนหันเลือดร้อน ยากที่จะระงับอารมณ์ได้

ดังนั้นมันจึงวางแผนล่อลวงให้จี้เทียนซิงรั้งอยู่ในตำหนักไท่อันหนึ่งเดือน

จนกว่าโอรสสวรรค์จะกลับไป มิให้สองฝ่ายได้ประจัญหน้ากัน

หนึ่งเดือนต่อมา ไม่ว่าหยุนเหยาจะยอมเป็นนางสนมหรือไม่

โอรสสวรรค์ก็สมควรออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ไปแล้ว

หากเป็นอย่างที่เซี่ยงหวู่จี้คิดคำนวณไว้

อย่างน้อยๆจี้เทียนซิงก็น่าจะไม่มีเรื่องมีราวขัดแย้งกับโอรสสวรรค์

นี่คือเจตนาที่ดีของเซี่ยงหวู่จี้ที่จี้เทียนซิงเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมจริงจังและโค้งคำนับไปที่เซี่ยงหวู่จี้

“ขอบพระคุณพระอาจารย์ปู่ที่แจ้งข่าวนี้แก่ข้า"

เซี่ยงหวู่จี้หยักหน้าเล็กน้อยและรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง

มันแก่ปูนนี้แล้วมีหรือจะดูไม่ออกว่าศิษย์ตรงหน้ารู้สึกอย่างไร ?

คนกล่าวต่อไปด้วยเสียงอ่อยว่า

“เฮ้อ

เจ้าหนู  เราผู้เฒ่าก็หวังว่าคู่รักจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน

ข้าก็อยากจะเห็นเจ้ากับสาวน้อยหยุนเหยาได้ลงเอย ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ครองรักกัน”

"แต่ลานจักรพรรดิเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวง

โอรสสวรรค์เป็นทายาทผู้ทรงเกียรติ สูงส่งและเจิดจรัส  หากเทียนจือเลือกหยุนเหยาจริงๆ

นั่นก็คือโชคชะตาของนาง"

“เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องไม่เลือดขึ้นหน้าและห้ามทำอะไรหุนหันบุ่มบ่ามเด็ดขาด  ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน

ไม่ว่าเจ้าจะทรงพลังอำนาจเพียงใด เจ้าก็มิอาจต่อกรกับลานจักรพรรดิจ้งโจวได้ !”

"เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งดั่งเทพกระบี่

หากทำได้เช่นนั้นต่อให้สิบลานจักรพรรดิก็จะต้องคุกเข่าก้มหัวให้เจ้าอย่างสุภาพนอบน้อม

!”

ได้ยินคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้  จี้เทียนซิงก็พยักหน้าเข้าใจและไม่พูดอะไรมาก

แต่ภายในดวงตาของเขากลับอัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุแห่งความแน่วแน่และไม่ยอมแพ้

คิดในใจอย่างลับๆว่า

“หากชะตากรรมของข้ากับศิษย์พี่จะเต็มไปด้วยอุปสรรคและยากที่จะได้ครองคู่กัน  เช่นนั้นข้าก็ยิ่งไม่ยอมแพ้

ข้าจะสะบั้นชะตากรรมบัดซบนั้นให้สิ้น !”

"ข้าจะกลายเป็นเทพเทวาแห่งวิชากระบี่ ข้าจะเป็นผู้แข็งแกร่งดุจเทพกระบี่ให้จงได้

!”

ยามนี้ เซี่ยงหวู่จี้ก็เดินมาตบไหล่เขาเบาๆและกล่าวปลอบโยนว่า

“อย่าเพิ่งคิดมาก

มันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้

ตอนนี้เจ้าปล่อยมังกรน้อยกับจิ้งจอกน้อยออกมาก่อน จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนซะ"

"ห้าวันให้หลังเมื่อโอรสสวรรค์มาถึงนิกาย

ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน"

จี้เทียนซิงพยักหน้าและแกะถุงมิติจากเอว

ส่งให้เซี่ยงหวู่จี้

หลังจากกล่าวคำอำลาเขาก็หันหลังเดินออกจากลานกว้างและออกจากตำหนักไท่อันอย่างรวดเร็ว

“เฮ้อ............”

เซี่ยงหวู่จี้ถือถุงมิติและยืนอยู่ใต้ชายคา

เฝ้ามองเงาหลังของศิษย์โปรดตัวน้อยที่กำลังลับสายตาอย่างมิอาจช่วยอะไรได้   คนส่ายหัวไปมาและถอนหายใจยาวอย่างหนักหน่วง

"เทียนซิงเอ๋ยเทียนซิง  ทุกชีวิตล้วนถูกสวรรค์ลิขิตไว้ ป้าซี*(八字)ยากที่จะเปลี่ยนแปลง  ยากดีมีจนฟ้าดินล้วนเป็นผู้กำหนด

แต่เหตุใดสวรรค์ถึงได้ขัดขวางความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้ด้วย ?”

"เทียนซิง ถ้าเจ้าคิดจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า

เป็นสุดยอดฝีมือแห่งแดนดิน เพียงสุดยอดพรสวรรค์ที่เจ้ามีนั้นยังไม่เพียงพอ แต่เจ้าจะต้องรับมือกับเรื่องนี้ให้ผ่านไปให้ได้

!”

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงได้เดินจากไปแล้วอย่างรวดเร็ว

ย่อมไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจและคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์หนักอึ้ง

ยิ่งไปกว่านั้น

ต่อให้เขาได้ยินคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้จริง คิดว่าคนอย่างเขาจะยอมรับชะตากรรมเช่นนี้หรือ

?

............

หลังจากนั้นไม่นานจี้เทียนซิงก็กลับมาถึงลานเทียนซิง

แม้ตอนที่ได้ทราบข่าวว่าโอรสสวรรค์กำลังจะมาถึง

มันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายและกระสับกระส่ายเล็กน้อย

แต่เมื่อได้กลับมาถึงลานเทียนซิง หัวใจของเขาก็สงบลงได้และกล่าวกับตัวเองว่า

“โอรสสวรรค์เกิดมาเพียบพร้อมมากด้วยพรสวรรค์และความสามารถที่หาตัวจับยาก

เพียงอายุแค่ยี่สิบปีก็ตัดผ่านไปถึงขอบเขตปราณฟ้า  มันนับเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“แต่คนอย่างข้าก็มิด้อยไปกว่ามันแน่  ! ข้าได้หลอมรวมโลหิตเทพกระบี่

ข้ายังมีโอกาสที่จะไปถึงขอบเขตปราณฟ้าได้ก่อนอายุยี่สิบปีเช่นกัน !"

เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง

ชั่งน้ำหนักและคิดวิเคราะห์อย่างเงียบงัน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง

“ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์พี่ใหญ่ต้องไม่สนใจตำแหน่งนางสนมและอาจจะมิได้ชอบพอโอรสสวรรค์ก็เป็นได้  ข้าเชื่อว่านางจะไม่แต่งให้มันเป็นแน่”

“ถึงแม้มันจะมาเยือน

แต่ก็เพียงอยู่อาศัยแค่สิบวันครึ่งเดือน เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกใดๆขึ้น"

"ต่อให้มันตกหลุมรักศิษย์พี่และคิดจะเลือกนางเป็นสนม

ข้าก็ไม่มีวันยอมให้มันพานางไปแน่ !”

นึกถึงเรื่องนี้

หัวใจของจี้เทียนซิงก็สงบลงด้วยความมุ่งมั่น

เขาส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป

จากนั้นก็เริ่มบ่มเพาะอย่างหนัก

..............

ตำหนักเมฆขาว

ภายในห้องอันเย็นชาและสง่างามห้องหนึ่ง

หยุนเหยาในอาภรณ์ขาวกำลังนั่งอยู่กลางจัตุรัสที่ทำจากหินหยกเย็นพันปี  นั่งคุกเข่า สองมือเกาะกุมไว้ด้วยกัน

ปิดตาลงนั่งสมาธิอย่างเงียบเชียบ

แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง

ส่องผ่านอาบไล้ร่างของนางผ่านหน้าต่าง ทำให้นางถูกปกคลุมไปด้วยแสงสลัวของดวงดาว

เรือนร่างดูพร่ามัว

ตอนนี้เป็นเวลาดึกสงัด ไร้ซึ่งสรรพเสียง

มีเพียงความเงียบเข้าครอบคลุมตำหนักเมฆขาวของนาง

ทันใดนั้นนกน้อยสีฟ้าตัวหนึ่งที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือก็บินเข้ามาข้างใน

ผ่านทางด้านหน้าต่าง

นกตัวนี้มีลักษณะกลม กลมกระทั่งศีรษะ

ขนสีฟ้าของมันสดใสและเปล่งประกาย แผ่รัศมีที่มองไม่เห็นบางอย่างออกมา

ดวงตาสีน้ำตาลของมันนั้นหากเพ่งมองให้ดีจะพบว่าเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและคล่องแคล้ว

"พั่บ  พั่บ พั่บ !"

นกสีฟ้าบินวนเวียนอยู่รอบสนามหญ้า กวาดสายตาแหลมคมมองไปรอบๆอยู่หลายครั้งจนได้เห็นหยุนเหยาอยู่ภายในห้อง

แววตาของมันฉายแววความสุข

จากนั้นมันก็โผบินผ่านช่องตะแกรงหน้าต่าง

แต่ทว่าช่องว่างของกระจังหน้าต่างมีขนาดเล็กและแคบ

มันต้องบิดตัวอย่างเอนจอนาถและพยายามดันอยู่หลายครั้งกว่าจะลอดผ่านเข้ามาได้

เมื่อเข้าไปในห้องมันก็กระพือปีกอย่างร่าเริงและบินไปหาหยุนเหยาอย่างตื่นเต้นพลางร่ำร้องว่า

เหยาเหยา !  เหยาเหยา !

นกสีฟ้าบินไปหาหยุนเหยาและส่งเสียงร้องเรียกชื่อเล่นของนาง

ลักษณะอาการของนกน้อยตัวนี้ดูเหมือนเด็กสาวตัวน้อยที่อายุราวๆสิบขวบปี  น้ำเสียงของมันร่าเริงและเป็นมิตรมาก

หยุนเหยาตื่นตัวขึ้นในทันที

ดวงตาคู่งามเปิดขึ้นและหันไปมองต้นเสียงจนได้พบนกน้อยสีฟ้าที่อยู่เบื้องหน้านาง  หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งดวงหน้างามหมดจดของนางก็แสดงรอยยิ้มเหนือความคาดหมายขึ้น

"เสี่ยวหลิงเหนี่ยว  เจ้ามาที่นี่ทำไม ? เจ้าถูกตระกูลใช้มาส่งข่าวหรือ ?”

"อื้ม

อื้ม !"  เสี่ยวหลิงเหนี่ยวพยักหน้าอย่างรวดเร็ว โผบินขึ้นไปที่โต๊ะหินข้างๆหยุนเหยาและหุบปีกลงด้วยท่าทางที่ดูอ่อนเพลีย

"ไอ๊.....   ข้าบินจากวังหยุนหลิง (วังวิญญาณเมฆาเป็นตระกูลของหยุนเหยา)

มาตลอดห้าวันห้าคืนเลย เริ่มปวดเอวแก่แล้วเนี่ย......   ขอ

ขอพักหายใจหายคอก่อนเน้อ..."

เมื่อได้เห็นท่าทางน่ารักน่าตีของเสี่ยวหลิงเหนี่ยว

หยุนเหยาก็อดไม่ได้ที่จะต้องผุดยิ้มบางด้วยความเอ็นดูออกมา

ฟุ่บ

!

นางสะบัดนิ้วขาวเนียนเบาๆคราหนึ่ง

ส่งเป็นลำแสงปราณแท้ฉีดเข้าสู่ร่างของเสี่ยวหลิงเหนี่ยว

ทันใดนั้นมันก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่เอ่อล้นและกระชุ่มกระชวยขึ้น

"เสี่ยวหลิงเหนี่ยว

ว่ามาสิ

ครั้งนี้ใครส่งเจ้ามา ?"

นกน้อยยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่ายปีกแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

"เหยาเหยา นี่เป็นข้อความจากแม่ของเจ้า"

"อ้อ ?”

“ข้อความจากท่านแม่

?  ไหนอ่านให้ฟังหน่อย”

หยุนเหยาเลิกคิ้วขึ้น

แววตามีร่องรอยความสุข นางเหยียดมือเรียวงามออกไปลูบคางเสี่ยวหลิงเนี่ยวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

จากนั้นเสี่ยวหลิงเหนี่ยวก็เลียนแบบน้ำเสียงของนายหญิงหยุน

พูดไปอย่างจริงจังว่า “เหยาเหยา

อาณาจักรเทียนเฉินในช่วงนี้ดูเหมือนจะมีสถานการณ์ที่ไม่สงบสุขนัก

แม่เป็นห่วงเจ้าจากใจจึงได้ส่งเสี่ยวหลิงเหนี่ยวออกไปส่งข้อความถึงเจ้า”

"เมื่อเดือนที่แล้วเป็นวันเกิดครบรอบสามร้อยปีของท่านย่าเจ้า

จักรพรรดินีได้พาเทียนจือมาที่วังวิญญาณเมฆาของเราเพื่อร่วมแสดงความยินดี"

"หลังจากงานเลี้ยงจบลง องค์จักรพรรดินีและเทียนจือได้พูดคุยเกี่ยวกับการเลือกนางสนมเป็นการส่วนตัวกับแม่

พระองค์รักชอบเจ้ามากและพยายามโน้มน้าวให้เจ้าแต่งเป็นนางสนมให้แก่เทียนจือ"

เมื่อได้ยินถึงประโยคนี้

รอยยิ้มบนใบหน้าของหยุนเหยาก็หายวับไปโดยพลัน ดวงตาของนางกลายเป็นเคร่งขรึมลงเล็กน้อย

เสี่ยวหลิงเหนี่ยวพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงของนายหญิงหยุน

“แม่รู้ว่าเจ้ากับเทียนจือรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก

แม้พระองค์จะแสดงท่าทีรักชอบต่อเจ้าเพียงใดแต่เจ้าก็มิได้สนใจนัก"

"แม่ทราบดี

หากมิใช่เพราะต้องการซ่อนตัวจากพระองค์

เจ้าคงไม่หนีออกไปจากแผ่นดินกลาง

ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนกันดารอย่างอาณาจักรเทียนเฉินเป็นแน่"

"เหยาเหยา แม่เป็นแม่ของเจ้าย่อมไม่คิดเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้เจ้าตกลง

นับประสาอะไรกับจะบังคับขืนใจเจ้า

เจ้าเป็นธิดาคนโตของตระกูลหยุน

เจ้าจะต้องสืบทอดตำแหน่งจ้าววังวิญญาณเมฆาต่อไปในอนาคต  ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ที่เจ้าเลือก”

"ปีหน้าจะเป็นพิธีแต่งงานของเทียนจือ

หากเจ้ายังกังวลต่อเรื่องนี้ก็จงกลับมาที่ตระกูลเรา หลบหน้าพระองค์สักหนึ่งปี  แม่เชื่อว่าต่อให้เป็นตี้จวินก็คงไม่กล้าหาเรื่องกับวังวิญญาณเมฆาของตระกูลหยุนเราอย่างเปิดเผย”

*******

ป้าซี*(八字)

สี่เสาหลักแห่งโชคชะตาซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ

"บาซิซี่" ซึ่งหมายถึง "แปดตัวอักษร" หรือ "แปดคำ" ในภาษาจีนเป็นแนวคิดโหราศาสตร์จีนที่บอกถึงชะตาหรือชะตากรรมของบุคคลหนึ่ง

ไปจนถึงปีเกิดเดือนวันและชั่วโมงปี โหราศาสตร์ประเภทนี้ยังใช้ในญี่ปุ่นและเกาหลี