ตอนที่ 254

ก่อนการต่อสู้ครั้งใหญ่

เรื่องราวทำนองนี้จี้เทียนซิงเคยอ่านจากตำราบันทึกประวัติศาสตร์ของทวีปลมปราณฟ้ามาก่อนและมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามตำราประวัติศาสตร์เพียงแนะนำประวัติโดยสังเขปของมหาจักรพรรดิทั้งสี่เท่านั้น

ซึ่งยังไม่ละเอียดพอ

เมื่อตอนนี้ได้ยินฉู่เทียนเซิงอธิบายด้วยตนเองจึงทำให้เขาได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบของแผ่นดินใหญ่

จากนั้นฉู่เทียนเซิงก็กล่าวต่อไปว่า

“เขตตะวันออกของแผ่นดินใหญ่จ้งโจวก็คือมหาสมุทรตงไห่ไร้สิ้นสุดซึ่งถูกครอบครองโดยเผ่าวารี

มีตระกูลมังกรเป็นจักรพรรดิและผู้นำสูงสุด”

“ในสมัยโบราณ ก่อนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะก่อตั้งขึ้น

เผ่าวารีได้ขยับขยายอำนาจมาถึงเขตใต้ พวกมันเคยยึดครองดินแดนของพวกเราและสังหารผู้คนไปนับร้อยล้านชีวิต

โชคดีที่มหาจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นและออกนำทัพต่อสู้กับเผ่าวารีผู้รุกรานจนขับไล่พวกมันให้ถอยร่นกลับไปยังเขตตะวันออก”

“บัดนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบ 10,000 ปีแล้ว

เผ่าวารีกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ถูกแบ่งแยกและมีการตั้งกฏเกณฑ์กันอย่างชัดเจน

ไม่มีฝ่ายใดรุกรานซึ่งกันและกัน เรื่องนี้นับเป็นความดีความชอบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคนั้นที่สมานสามัคคีกันเป็นอย่างดี”

หยุดชั่วครู่

ฉู่เทียนเซิงก็เบนสายตามองไปยังทิศเหนือและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ทางเหนือนั้นดุร้ายกระหายเลือดและทะเยอทะยานยิ่งกว่า

พวกมันพยายามหลีกหนีความหนาวเย็นของเขตเหนือ ในสมัยโบราณ เผ่าปีศาจโลดแล่นไปทั่วทุกที่บนแผ่นดินใหญ่

พวกมันออกล่าและปล้นสะดมจนไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกมันสังหารผู้บริสุทธิ์ไปกี่ชีวิตแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรานั้นอ่อนแอที่สุดและถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจข่มเหงรังแกมากที่สุดเช่นกัน”

“มันเป็นเพราะการคงอยู่ของราชสำนักที่คอยเป็นกันชนปกป้องคุ้มครองพวกเรา

พวกเขาทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจที่กรีฑาทัพลงสู่ทางใต้และบีบให้พวกมันยังคงติดอยู่ในเขตเหนืออันหนาวเหน็บต่อไป

หากไร้ซึ่งราชสำนักข้าเกรงว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราคงถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกปีศาจไปนานแล้ว

จวบจนวันนี้พวกเราและเผ่าปีศาจก็ยังคงมีความแค้นลึกล้ำดุจมหาสมุทร”

“ส่วนทางทิศตะวันตกที่ห่างไกลออกไปจากแผ่นดินใหญ่ก็น่ากังวลไม่น้อย

ที่นั่นคือสถานที่แห่งความโกลาหลที่มีหลากหลายเผ่าพันธุ์มารวมตัวกัน

แต่ก็มีเพียงเผ่าอสูรเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุดและเป็นผู้นำของพวกมัน  ช่วงนี้เป็นช่วงที่สงบสุขระหว่างมนุษย์และอสูร

พวกเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติซึ่งเป็นผลมาจากบุญญาธิการและความยิ่งใหญ่ของราชสำนัก”

“นับตั้งแต่สมัยโบราณ เผ่าอสูรถูกเผ่าปีศาจกดขี่ข่มเหงเป็นอันดับสองรองจากเผ่าพันธุ์มนุษย์

ดังนั้นเนื้อหาประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์เราจึงมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกับของเผ่าอสูร”

หลังจากฟังคำอธิบายของฉู่เทียนเซิง

จี้เทียนซิงก็ยิ่งมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของทวีปลมปราณฟ้า

ตลอดจนรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของราชสำนักจ้งโจว

เขาพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ท่านอาจารย์ เช่นนี้ก็หมายความว่านับตั้งแต่เริ่มต้นประวัติศาสตร์มา เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราอาศัยอยู่ในพื้นที่แคบๆอันน่าหวาดผวาและต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกรังแกและการทำร้ายโดยเผ่าพันธุ์อื่นทั้งหมด

?”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้า

“มิผิด !”

“ด้วยเหตุนี้ราชสำนักจ้งโจวจึงเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ตี้จวินในทุกยุคทุกสมัยประดุจดั่งเทพเซียนผู้ปกปักษ์รักษาพวกเรา

สถานะของพระองค์นั้นสูงส่งและประเสริฐล้ำจนแทบจะเรียกได้ว่าพระเจ้า !”

หลังกล่าวถึงตอนนี้ฉู่เทียนเซิงก็เงียบไปครู่ใหญ่

ดวงตาจ้องมองไปยังหยุนเหยาด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง

อย่างไรก็ตาม

หยุนเหยาไม่ตอบสนองและสีหน้าของนางก็ยังคงเย็นชาไม่แยแส

ไม่ว่าสถานะของตี้จวินนั้นจะศักดิ์สิทธิ์เพียงใดหรือโอรสสวรรค์ผู้ทรงเกียรตินั้นจะยิ่งใหญ่แค่ไหน

นางก็ไม่สนใจ

เมื่อฉู่เทียนเซิงเห็นว่าบุคลิกท่วงท่าของหยุนเหยายังคงหนักแน่นมั่นคง

เขาก็เลิกพูดเรื่องนี้และกล่าวต่อไปว่า “หยุนเหยา

เรื่องที่ควรพูดอาจารย์ก็ได้พูดไปหมดแล้ว  สำหรับเรื่องนี้เจ้าก็จงพิจารณาด้วยตัวเองเถิด”

“เจตจำนงของตี้จวินมิอาจต่อต้าน

อย่างน้อยเจ้าและสตรีมากพรสวรรค์อีกสองนางก็ต้องยอมรับในการคัดเลือกของราชสำนักและโอรสสวรรค์

แต่หากเจ้าไม่ต้องการเข้าสู่ราชสำนักในฐานะนางสนมก็ช่างมันซะ ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่สวรรค์จะนำพา”

คำพูดของเขาได้ข้อสรุปสุดท้ายสำหรับเรื่องนี้

หยุนเหยาโค้งคารวะทันที

“ขอบคุณท่านอาจารย์ !”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้ารับและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

จากนั้นจี้เทียนซิงก็เอ่ยปากถามว่า

“ท่านอาจารย์ศิษย์ขอเรียนถาม ไม่ทราบว่าเรื่องราวในสุสานบนภูเขามังกรไปถึงไหนแล้วขอรับ

?”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ฉู่เทียนเซิงก็ขมวดคิ้วและส่ายหัว

"เมื่อวานนี้ข้าได้ไปเห็นมันกับตาแล้ว มหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง

มันเหนือล้ำเกินกว่าที่ยอดฝีมือระดับปราณฟ้าในอาณาจักรเทียนเฉินจะทำอะไรได้

มันเต็มไปด้วยความซับซ้อนและทรงพลังอยากหาได้ยากยิ่งนัก”

“ต่อให้ข้าประมุขตบะแก่กล้ากว่านี้ก็ยังไม่อาจทำอะไรข่ายปราณระดับสวรรค์แห่งนั้นได้”

จี้เทียนซิงคาดเดาถึงผลลัพธ์นี้เอาไว้แล้วจึงไม่ได้แปลกใจหรือประหลาดใจนัก เขายกคิ้วขึ้นอย่างเคร่งขรึมและถามว่า "ท่านอาจารย์

ในเมื่อนิกายเราไม่สามารถทำลายมหาข่ายปราณได้ เช่นนั้นทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินก็คงไม่มีผู้ใดทำได้อีกแล้ว  พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ ?”

ฉู่เทียนเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า

“ต่อให้ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายมหาข่ายปราณได้ แต่สุสานพันปีและภูเขามังกรก็ยังถือเป็นสมบัติของนิกายเราอยู่ดี

ข้าสั่งการให้เหล่าผู้อาวุโสอยู่ในภูเขามังกรต่อไปเพื่อค้นคว้าหาเบาะแสของมัน ข้าเชื่อมั่นว่าด้วยสติปัญญาและความสามารถของปรมาจารย์ข่ายอาคมในนิกายเรา

สักวันหนึ่งจะต้องเปิดมันได้อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้

จี้เทียนซิงก็พยักหน้าและไม่ถามต่ออีก

ฉู่เทียนเซิงโบกมือและกล่าวกับทั้งสองว่า

“หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วพวกเจ้าก็กลับไปพักผ่อนได้  หยุนเหยา, เรื่องแผนการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจ

เจ้าต้องวางแผนให้รอบคอบและคิดดูให้ดีว่าจะต้องใช้ศิษย์สาวกของนิกายไปปฏิบัติการมากน้อยเพียงใด”

“ศิษย์ทราบแล้วท่านอาจารย์ !” หยุนเหยาคารวะอีกฝ่ายและเดินออกจากห้องโถงพร้อมกับจี้เทียนซิง

หลังเดินออกจากตำหนักฉิงเทียน

ทั้งสองก็ยืนอยู่ที่จัตุรัสด้านนอกและหยุดเดินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

หยุนเหยามองหน้าจี้เทียนซิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ศิษย์น้องเทียนซิง เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะส่งคนไปสำรวจถ้ำปีศาจก่อนและจะไม่เริ่มลงมือจนกว่าจะทราบข่าวแน่ชัดแล้ว

เรื่องนี้ไม่อาจรีบร้อนด่วนสรุปได้ อย่างน้อยๆคงใช้เวลาสักสามวัน

ถึงเวลานั้นข้าจะส่งข่าวบอกเจ้าเอง”

จี้เทียนซิงพยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไป

หลังจากกลับมาถึงตำหนักเทียนซิงเขาก็เดินไปทักทายสาวใช้และศิษย์รับใช้

จากนั้นก็ตรงไปยังห้องลับเพื่อปิดด่านบ่มเพาะ

จากเหตุการณ์ล่าสุดทำให้ในใจของเขารู้สึกกดดันมากขึ้น

เขากระหายที่จะแข็งแกร่งให้มากยิ่งกว่านี้

สิ่งสำคัญคือการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในเดือนหน้าและการต่อสู้กับไป๋หวู่เชิน

เขามีเวลาเหลือไม่ถึงหนึ่งเดือนซึ่งช่วงนี้ก็ยังมีภารกิจที่ต้องออกไปข้างนอกอีกหลายครั้ง

หลังจากเข้าไปในห้องลับเขาก็นั่งคุกเข่าและหยิบหินวิญญาณออกมาวางไว้บนฝ่ามือ

นับตั้งแต่ที่เขาได้รับหินวิญญาณมาร่วมร้อยก้อน เขาพบว่าหินวิญญาณมีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อต่อการบ่มเพาะ

หินวิญญาณมีพลังปราณอัดแน่นที่บริสุทธิ์มาก

อีกทั้งยังปราศจากสิ่งสกปรกเจือปน มันสามารถดูดซับได้โดยตรงระหว่างบ่มเพาะและสกัดกลั่นเป็นพลังปราณให้แก่ผู้ฝึกได้ทันที

ดังนั้นการบ่มเพาะโดยใช้หินวิญญาณนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าการใช้โอสถวิเศษเสียอีก

ในไม่ช้าจี้เทียนซิงก็หยิบหินวิญญาณออกมาและแปลงพวกมันเป็นพลังปราณเข้าสู่ร่างกายเพื่อส่งผ่านไปยังเส้นชีพจรกระบี่ทั้งเก้า

ด้วยพลังของหินวิญญาณก็ทำให้เขาเริ่มบรรเทาจุดฝังเข็มของเส้นชีพจรกระบี่เส้นที่สองได้สำเร็จ

เมื่อตกอยู่ในภวังค์แห่งการบ่มเพาะ

ชายหนุ่มจึงมิอาจทราบได้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ร่างกายและจิตใจทั้งหมดผสานกันด้วยความมุ่งมั่นในการบรรเทาจุดฝังเข็ม

ผ่านไปสองวันโดยไม่รู้ตัว

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ประสบความสำเร็จในการบรรเทาจุดฝังเข็ม

ซึ่งมันทำให้เส้นชีพจรที่พิเศษเหนือใครของเขากว้างขึ้นและหนาแน่นยิ่งขึ้น

มันสามารถกักเก็บและใช้เป็นเส้นทางไหลผ่านของพลังปราณจำนวนที่มากกว่าคนทั่วไปได้

นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

มันทำให้เขาค่อยๆเคลื่อนไปสู่ขอบเขตปราณจิตขั้นที่สาม​