ตอนที่ 139

การประเมินผลสิ้นเดือน

อี้โม่และซื่อจิงเฉิงพูดจาเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

ราวกับหยินหยางคู่ผสาน

ส่วนศิษย์คนอื่นๆเพียงจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยท่าทางไม่พึงประสงค์และยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น

ทันใดนั้นใบหน้าของจี้เทียนซิงก็มืดมน

ดวงตาจ้องมองไปที่คนทั้งสองพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนนี่ดีแต่นินทาเสียดสีชาวบ้าน

ยังมีหน้ามาแสดงความเห็นยุยงให้แตกแยกอีกหรือ ?”

“ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เป็นวันประเมินผลสิ้นเดือนแต่พวกเจ้าเอาแต่พร่ำไร้สาระเป็นตัวตลก

ไม่กลัวว่าวันนี้ล้มเหลวแล้วจะถูกชาวบ้านทับถมบ้างหรือไง ?”

อี้โม่และซื่อจิงเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปและจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยความขุ่นเคือง

“บัดซบ น้ำหน้าอย่างเจ้านับเป็นตัวอะไร ? กล้าตำหนิพวกข้างั้นหรือ !?”

“เหอะ ! เจ้าถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬร่วมสิบวันยังมีหน้ามาเข้ารับการประเมินอีก

? ข้าเกรงว่าเจ้าไม่มีเวลาแม้แต่จะฝึกฝนปรุงยาด้วยซ้ำ

!”

“คอยดูเถอะ

หลังจากเจ้าปรุงยาล้มเหลวต่อหน้าครูฝึกฮั่นในที่สาธารณะ

เจ้าจะยังมีหน้าอยู่ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้อีกมั้ย !”

จี้เทียนซิงหรี่ตามองคนทั้งสองอย่างเหยียดหยามพลางกล่าวว่า

“เหอะๆ การปรุงยาของข้าก็แค่พอไปวัดไปวาได้

แต่ลิ้นของพวกเจ้าดูเหมือนจะคล่องกว่าการปรุงยามากนัก”

อี้โม่และซื่อจิงเฉิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิและมั่นใจในศาสตร์แห่งการปรุงยามากกว่าศาสตร์ใดๆ

เมื่อโดนดูถูกจากคำพูดของจี้เทียนซิง พวกเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธเคือง

“จี้เทียนซิง

ฝีปากกล้านักนะ

เจ้ากำลังรนหาที่ตาย !”

“สารเลว !”

เมื่อสิ้นเสียงของพวกเขาก็มีศิษย์อีกสองคนเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่

หนึ่งในนั้นก็คือเนี่ยห่าว

เขาเห็นจี้เทียนซิงจึงเดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นก็แสดงความกังวลออกมา

เมื่อได้เห็นใบหน้าของอี้โม่และซื่อจิงเฉิงเต็มไปด้วยความโกรธ

เนี่ยห่าวคาดเดาได้ทันทีว่าพวกเขากำลังทะเลาะกับจี้เทียนซิงอีกแล้ว

ดังนั้นเขาจึงตบไหล่ของจี้เทียนซิงเบาๆและกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า

“พี่จี้ อย่าไปยุ่งกับพวกมันเลย รกสมองเปล่าๆ”

จี้เทียนซิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“ถูกของเจ้า สุนัขบ้าสองตัวกำลังไล่กัดผู้คน

ข้าไม่อยากกัดตอบเพราะข้าเป็นมนุษย์”

เนี่ยห่าวยิ้มเยาะขึ้นมาทันทีและเหลือบมองไปที่อี้โม่กับซื่อจิงเฉิง

ทำให้ใบหน้าของพวกเขาเขียวคล้ำและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น

แต่พวกเขาก็ไม่กล้าลงมือ

หลังจากนั้นฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เดินเข้ามาถึงที่ประตูห้องโถงหลัก ด้านหลังของพวกเขาติดตามมาด้วยชายหนุ่มผู้หนึ่งในเสื้อคลุมสีฟ้า

จี้เทียนซิงเห็นบุคลผู้นี้และจดจำได้ในทันที

เพราะคนผู้นี้ก็คือลู่หมิงหยาง !

ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่เดินผ่านเข้ามาในห้องโถงใหญ่และทำให้ศิษย์ทุกคนหยุดการสนทนาทันที  จากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศเสียงดังว่า “ข้าเดาว่าพวกเจ้าทุกคนย่อมทราบข่าวแล้วว่าจี้หลิงถูกขับไล่ออกจากนิกาย”

“ตั้งแต่วันนี้ไปลู่หมิงหยางจะเข้าร่วมหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ข้าขอให้พวกเจ้าสามัคคีและฝึกฝนร่วมกันอย่างปรองดอง”

ฮั่นเฉียวเซิงเพียงแค่แนะนำสั้นๆ เขาไม่ได้พูดว่าเพราะอะไรลู่หมิงหยางถึงกลับเข้ามาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

หลังจากแนะนำลู่หมิงหยางเสร็จก็ประกาศอีกครั้งว่า

“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือนและเป็นวันสิ้นสุดการเรียนรู้ในเดือนนี้อีกด้วย”

“ตลอดทั้งเดือนนี้ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าได้ศึกษาวิถีแห่งโอสถและสมุนไพรอย่างละเอียดแล้ว   วันนี้ผลการทดสอบของพวกเจ้าจะเป็นตัวชี้วัดว่าร่ำเรียนมาพอหรือยัง”

หลังจากกล่าวจบ

ฮั่นเฉียวเซิงก็แบ่งศิษย์ทั้งสิบคนออกเป็นสองแถวนั่งตรงข้ามกันที่ห้องโถงใหญ่

ตู้หวู่หยิบเตาปรุงยาสิบเตาออกมาจากแหวนมิติและวัตถุดิบในการหลอมโอสถ

3 ชนิดเพื่อแจกจ่ายให้กับศิษย์ทุกคน

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศเสียงดังว่า “เริ่มการปรุงยาได้ทันที  พวกเจ้าต้องปรุงยาสะสมวิญญาณ, ยาหยกฟ้าและยาบำรุงใจ สามชนิด มีเวลาจำกัดสองชั่วโมง หากถึงกำหนดเส้นตายแล้วยังหลอมเป็นเม็ดยาไม่สำเร็จก็ถือว่าล้มเหลวและจะถูกลงโทษ

! หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง

ข้าจะจัดอันดับพวกเจ้าตามคุณภาพของเม็ดยาที่พวกเจ้าสกัดออกมา !”

หลังจากฮั่นเฉียวเซิงกล่าวจบ  การประเมินก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

จี้เทียนซิงเริ่มตั้งสมาธิอย่างไม่รอช้า

เช่นเดียวกับศิษย์อีกเก้าคนที่เหลือ แม้ว่าจะมีเวลาจำกัดอันน้อยนิด

แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนจนลนลาน

อันดับแรก

เขาเริ่มตรวจสอบและทำความสะอาดเตาปรุงยา จากนั้นก็ขจัดเอาสิ่งเจือปนออก ก่อนที่จะเปิดอาคมในเตา

เขาทาบฝ่ามือไปที่เตาปรุงยาและอัดปราณแท้เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้อาคมทำงาน

หลังจากไฟเริ่มคงที่

เตาปรุงยาก็เริ่มมีอุญหภูมิเข้าที่ เขาจึงใส่สมุนไพรลงไปในเตา

ขั้นตอนทั้งหมดในการปรุงยาประทับลึกอยู่ในใจของเขาหมดแล้วจากการชี้แนะอย่างใกล้ชิดของเซี่ยงหวู่จี้  เขาเริ่มปรับแต่งเม็ดยาสะสมวิญญาณเป็นชนิดแรก

เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ

พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตั้งสมาธิอย่างใจจดใจจ่อในการปรุงยาจนทำให้บรรยากาศทั่วห้องโถงใหญ่กลายเป็นอึดอัดกดดัน

ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ยืนอยู่กลางห้อง

สายตาจับจ้องไปยังศิษย์ทั้งสิบคนอย่างเงียบงัน

.............

เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงหนึ่งชั่วโมงแรก

จากการสังเกตของครูฝึกทั้งสอง

พวกเขาก็เริ่มเห็นปฏิกิริยาของศิษย์ทุกคน

อี้โม่และซื่อจิงเฉิงเกิดในตระกูลผู้หลอมโอสถ พวกเขามีพื้นฐานและความสามารถสูงล้ำ

การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเรียบง่ายและราบรื่นราวกับมิได้กดดันมากนักกับการปรุงยาระดับนี้  เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีประสบการณ์มากกว่าทุกคน

กระบวนการต่างๆจึงรวดเร็วที่สุดเป็นสองอันดับแรก

ส่วนศิษย์คนอื่นๆแม้จะมีอาการเกร็งและกดดันจนดูเงอะงะเก้กัง

แต่ฮั่นเฉียวเซิงก็ดูออกว่าพวกเขาได้ศึกษาและฝึกฝนกันมาอย่างดีแล้ว ขาดแต่เพียงประสบการณ์เท่านั้น

ส่วนพฤติกรรมของจี้เทียนซิงกลับทำให้ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ค่อนข้างประหลาดใจ

พวกเขาทั้งสองคิดว่าจี้เทียนซิงที่ถูกขังไว้ในถ้ำวายุทมิฬร่วมสิบกว่าวันย่อมไม่มีเวลาพอที่จะศึกษาและฝึกฝนการปรุงยาได้มากนัก

เดิมทีพวกเขามั่นใจว่าจี้เทียนซิงคงต้องสอบตกในครั้งนี้

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาก็คือการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วปราดเปรียวของจี้เทียนซิง

นอกจากนี้ขั้นตอนและเทคนิคในการปรุงยาของเขาก็ค่อนข้างยอดเยี่ยม

เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการชี้แนะจากคนผู้นั้นเป็นแน่

ครูฝึกทั้งสองหันไปมองหน้ากันและได้เห็นรอยยิ้มในดวงตาของอีกฝ่าย

จากนั้นสายตาของพวกเขาทั้งสองก็ไปตกอยู่ที่ลู่หมิงหยาง การแสดงออกของมันดูไม่คล่องตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

ในขณะที่กำลังปรุงยาก็ยังต้องใช้ตำราควบคู่ไปด้วย

เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ฝึกการปรุงยาเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม

เขาเพิ่งเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้ไม่นานจึงทำได้ไม่ดีอย่างที่ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่คาดหวังไว้

พวกเขามีคำตอบแล้ว การประเมินครั้งนี้ผู้ที่รั้งท้ายย่อมเป็นลู่หมิงหยางแน่นอน

กำหนดเวลาสองชั่วโมงใกล้จะมาถึงโดยไม่รู้ตัว ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายซื่อจิงเฉิงที่ปรุงยาได้รวดเร็วที่สุดก็กำลังจะปรุงยาชนิดที่สาม

ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลงเมื่อมองไปยังศิษย์คนอื่นๆและเห็นว่าไม่มีใครเร็วเท่าเขา  มุมปากของเขาจึงยกโค้งขึ้นอย่างเย้ยหยัน

หลังจากนั้นไม่นานอี้โม่ก็เริ่มปรุงยาบำรุงใจตามมาเป็นอันดับสอง

เขาหันไปมองคนอื่นๆและเห็นว่าซื่อจิงเฉิงปรุงยาเสร็จหมดเรียบร้อยแล้วทั้งสามชนิดจึงขมวดคิ้วแสดงให้เห็นถึงความเป็นปรปักษ์

เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ได้เห็นศิษย์คนอื่นๆเป็นคู่แข่งแม้แต่น้อย

พวกเขามองเพียงกันและกันเป็นคู่แข่งในศาสตร์นี้

หลังจากนั้นไม่นานจี้เทียนซิงก็ปรุงยาเสร็จเป็นคนที่สาม  ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข

หน้าผากของเขามีเหงื่อผุดขึ้นและใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย

เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อปรุงยาทั้งสามชนิด

เขาสูญเสียทั้งพลังปราณและจิตวิญญาณที่ใช้ควบคุมไฟอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกอ่อนล้า  แต่ในครั้งนี้เขามั่นใจว่าเม็ดยาทั้งสามที่หลอมออกมาย่อมมีคุณภาพสูงกว่าที่หลอมในตำหนักไท่อันเมื่อวานแน่นอน

!