เรื่องราวยิ่งกลายเป็นรุนแรงมากขึ้น
ตอนนี้จี้เทียนซิงคือศิษย์ฝ่ายนอกเพียงผู้เดียวที่ถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์
มันทำให้เขาสามารถเข้าออกที่ใดก็ได้ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์
ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักที่ชูไฮว่ซานพักอาศัยทันที เมื่อมาถึงนอกประตูตำหนักเขาก็ได้ยินเสียงของชูไฮว่ซานและหยุนเหยาดังลอดออกมา
“รายงานผู้อาวุโสชู
ศิษย์จี้เทียนซิงขอเข้าพบขอรับ”
จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะที่ประตูห้องโถงใหญ่พลางตะโกนแจ้ง
เห็นได้ชัดว่าชูไฮว่ซานก็ตกตะลึงไม่น้อย
เขารีบตอบรับทันทีว่า “เข้ามา !”
จี้เทียนซิงเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่และได้เห็นคนสามคนยืนอยู่ข้างในนั้น
นอกจากหยุนเหยาและชูไฮว่ซานก็ยังมีฮั่นเฉียวเซิงรั้งอยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังเดินเข้ามาใกล้
ชูไฮว่ซานก็กล่าวถามว่า “จี้เทียนซิง อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ ?”
หยุนเหยาและฮั่นเฉียวเซิงต่างก็หันไปมองเขาเช่นกัน
ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความกังวล
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า
“ขอบคุณผู้อาวุโสชูที่เป็นห่วง ศิษย์ได้พักฟื้นและเยียวยาบาดเจ็บเป็นเวลาเจ็ดวัน
ตอนนี้หายดีแล้วขอรับ”
“อืม ดีมาก” ชูไฮว่ซานพยักหน้าอย่างโล่งอกและกล่าวต่อไปด้วยความสงสัยว่า
“แล้วเจ้ามาหาข้าทำไม ? เกิดอะไรขึ้น ? หรือว่า… มีทรัพยากรบ่มเพาะชนิดใดที่เจ้าจำเป็นต้องใช้งั้นหรือ
?”
จี้เทียนซิงรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า
“มิใช่ขอรับผู้อาวุโสชู
ศิษย์ได้ยินมาว่าภูเขามังกรกำลังเกิดเรื่องแปลกขึ้น ดังนั้นข้าจึงมาพบท่านเพื่อถามว่ามีอะไรที่ข้าจะพอช่วยได้หรือไม่”
ชูไฮว่ซานอ้าปากค้าง
จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา “ยอดเยี่ยมมาก
!”
“ภูเขามังกรนั่นถูกฝ่ายนอกเรายึดครอง แต่เจ้านับว่าทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ฝ่ายนอก
เจ้ามีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสถานการณ์ส่วนรวม หาได้ยากนัก !”
ฮั่นเฉียวเซิงพยักหน้าและกล่าวว่า
“ยิ่งมีความสามารถมากก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากตามไปด้วย จี้เทียนซิง
เจ้ามีความคิดในเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ยังเยาว์ ภายภาคหน้าเจ้าจะสามารถรับผิดชอบต่อเรื่องใหญ่ๆได้ในอนาคต...
”
เมื่อได้ยินคำยกย่องเชิดชูของชูไฮว่ซานและฮั่นเฉียวเซิง
จี้เทียนซิงเพียงกล่าวถ่อมตนเล็กน้อย
ต่อมาชูไฮว่ซานและหยุนเหยาก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขามังกร
หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ข่าวเรื่องศิษย์รับใช้ทั้งสิบคนหายตัวไปในเหมืองแพร่กระจายไปทั่วนิกายแล้ว”
“ที่จริงแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ท่านประมุขก็ได้มีคำสั่งให้พ่อบ้านสองคนไปประจำการที่ภูเขามังกรเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
แต่ว่าพ่อบ้านทั้งสองคนนั้นก็หายตัวไปเช่นกัน
ไม่มีเบาะแสใดๆแล้วก็ยังไม่มีรายงานเรื่องผู้เสียชีวิต”
เมื่อได้ยินข่าวนี้จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หากมีเพียงแค่ศิษย์รับใช้สิบคนหายตัวไปย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย
แต่ทว่า
การที่พ่อบ้านสองคนที่ประจำการบนภูเขามังกรหายตัวนั้นมันแทบจะเป็นคนละเรื่อง นี่เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงมาก
ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถขึ้นเป็นพ่อบ้านของนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้นั้น
อย่างน้อยๆก็ต้องมีพลังในระดับปราณจิตขั้นแรก
นอกจากนี้ยอดฝีมือระดับปราณจิตก็นับว่ามีจำนวนไม่มากนักภายในนิกาย
ดังนั้นการที่พ่อบ้านหายตัวไปถึงสองคนในคราวเดียวย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป
นี่เป็นการยั่วยุที่มากเกินไปจากใครบางคน !
หากนี่เป็นการกระทำของนิกายกระบี่ฟ้าจริงๆ
นิกายพันธมิตรสวรรค์ย่อมไม่อยู่เฉยแน่ พวกเขาจะต้องตอบโต้ทันที !
ต่อมา
ชูไฮว่ซานก็บอกกล่าวข้อมูลบางอย่างในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ เพื่อให้ทุกคนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูเขามังกร
จากนั้นชูไฮว่ซานและหยุนเหยาก็ตัดสินใจเดินทางออกไปสำรวจภูเขามังกรด้วยตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำการสรุปเรื่องราวโดยยึดจากคำบอกเล่า
พวกเขาไม่พบเบาะแสใดๆเลยว่าเหตุการณ์นี้เป็นฝีมือของผู้ใดและใครอยู่เบื้องหลัง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะออกเดินทาง
จี้เทียนซิงก็รีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ผู้อาวุโสชู ศิษย์ขอตามไปด้วย
ข้าอยากมีส่วนร่วมในการทำประโยชน์ให้กับนิกาย”
ชูไฮว่ซานขมวดคิ้วด้วยความลังเลและกล่าวว่า
“จี้เทียนซิง
อาการบาดเจ็บของเจ้าเพิ่งจะเริ่มดีขึ้น การต้องออกเดินทางคงไม่สะดวกกระมัง
อีกอย่างเรื่องนี้ก็ยังค่อนข้างคลุมเครือ ข้าเกรงว่าอาจจะมีความเสี่ยงไม่น้อย... ”
สำหรับเขาแล้ว
ตอนนี้จี้เทียนซิงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของฝ่ายนอกและในอนาคตย่อมกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในคนสำคัญของนิกาย
เขาไม่ต้องการให้จี้เทียนซิงออกไปเสี่ยง
หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาย่อมเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับนิกายพันธมิตรสวรรค์
อย่างไรก็ตาม
หยุนเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “อาวุโสชู ก่อนหน้านี้ศิษย์เทียนซิงเคยช่วยข้าทำภารกิจสำเร็จจนได้รับรางวัลจากท่านประมุข”
“ตอนนี้ภูเขามังกรเป็นเหมือนบ้านของนิกายเราแล้ว
ครั้งนี้พวกเราเพียงแค่ไปหาเบาะเสาะเรื่องที่เกิดขึ้น
มันไม่น่าจะมีอันตรายร้ายแรงใดๆ ให้เขาติดตามพวกเราไปเถอะ”
“ยิ่งไปกว่านั้น
ในเมื่อจี้เทียนซิงหวังดีและมีความเป็นห่วงต่อนิกาย เราไม่อาจปฏิเสธความกระตือรือร้นของเขาได้”
ในเมื่อหยุนเหยาเอ่ยปากโน้มน้าว
ชูไฮว่ซานย่อมไม่คัดค้านอย่างแน่นอน เขาพยักหน้าและเดินนำออกจากห้องโถงใหญ่
จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปยังปักษาวิญญาณเพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปยังภูเขามังกร
ชูไฮว่ซานออกเดินทางเพียงลำพัง
ส่วนจี้เทียนซิงติดสอยห้อยตามไปบนกระเรียนวิญญาณของหยุนเหยา
ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
สัตว์อสูรวิญญาณบินได้ทั้งสองตัวก็บินมาร่วมสามร้อยไมล์และขึ้นสู่ยอดเขาของภูเขามังกร
บนเวทีมังกรจันทร์ยังคงมีสภาพเหมือนเมื่อแปดวันก่อนในการประลอง
พื้นดินยังคงปกคลุมไปด้วยหลุมลึกและรอยปริแตก
ชูไฮว่ซานพาจี้เทียนซิงและหยุนเหยาเดินลงไปตามไหล่เขาตามเส้นทางหินสีฟ้าเพื่อสำรวจภูเขาโดยรอบ
จี้เทียนซิงคิดว่าหลังจากที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ครอบครองภูเขามังกรแล้ว
พวกเขาจะปลูกพืชสมุนไพรและสร้างสวนโอสถให้ภูเขากลับมาสมบูรณ์งดงามดังเดิม
แต่ทว่า
ตลอดทางที่เขาเดินมาก็เห็นศิษย์เพียงไม่กี่คนที่กระจัดกระจายกันปลูกสมุนไพร
ซึ่งพืชสมุนไพรเหล่านั้นล้วนแต่เป็นประเภทที่เติบโตเร็วและเก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้น
จี้เทียนซิงก็เดินตามชูไฮว่ซานลงไปในหลุมที่อยู่กลางภูเขาและมุ่งหน้าต่อไปจนถึงส่วนลึกใต้พื้นดินในภูเขา
เมื่อพวกเขาไปถึงบริเวณพื้นที่ของเส้นชีพจรภูเขาก็ได้เห็นเหล่าศิษย์รับใช้มากมายที่กำลังง่วนอยู่กับการทำเหมืองแร่
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามชูไฮว่ซานทันทีว่า
“ผู้อาวุโสชู หลังจากพวกเราได้ภูเขากลับคืนมาแล้ว
ไฉนถึงไม่มีการบูรณะสวนโอสถและปลูกป่าขึ้นมาใหม่เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้เหมือนปีก่อนๆเล่า
?”
ชูไฮว่ซานยิ้มเล็กน้อยและอธิบายว่า
“ภูเขามังกรถูกทำลายเช่นนี้ หากนิกายเราคิดจะฟื้นฟูและบูรณะขึ้นมาใหม่
มันจะไม่เพียงแค่กินทรัพยากรมนุษย์และทรัพย์สินที่ต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเท่านั้น แต่มันยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆก็นับสิบปี”
“และในระหว่างสิบปีจะมีการประลองหลงซานที่ช่วงชิงสิทธิ์ของที่แห่งนี้อีกครั้ง
และคงเป็นไปไม่ได้ที่นิกายเราจะชนะได้ทุกครั้งถูกไหม ? ถึงที่สุดแล้วหากนิกายกระบี่ฟ้าเป็นฝ่ายชนะ
การที่พวกเราอุตส่าห์ลงทุนบูรณะขึ้นมาใหม่จะประโยชน์อันใด ? สุดท้ายก็ถูกพวกมันทำลายเหมือนตอนนี้เสียเปล่าๆ เหนื่อยฟรี”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและตระหนักได้ในทันที ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนิกายพันธมิตรสวรรค์ถึงไม่สนใจจะฟื้นฟูภูเขาให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม
แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ค่อนข้างสับสนจึงถามว่า
“ถึงแม้การบูรณะฟื้นฟูจะค่อนข้างยากลำบากจนไม่คุ้มที่จะทำ
แต่การที่พวกเราขุดคุ้ยทรัพยากรอย่างหนักเช่นนี้จะแตกต่างอันใดกับที่นิกายกระบี่ฟ้าเคยทำมาก่อน
?”
ชูไฮว่ซานส่ายหัวเล็กน้อยและหัวเราะพลางกล่าวว่า
“ฮ่าๆๆ เจ้าก็คิดมากไป มันย่อมต่างกันอยู่แล้ว
นิกายกระบี่ฟ้าขุดทรัพยากรและแร่ธาตุทุกอย่างที่ขวางหน้านั่นคือการทำลายเส้นชีพจรวิญญาณของภูเขา
ส่วนพวกเรานั้นรวบรวมแต่ทรัพยากรโดยที่ไม่พยายามไปยุ่งเส้นชีพจร”
“นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าภูเขามังกรจะมีเส้นชีพจรวิญญาณหนาแน่นดั่งสมบัติล้ำค่า
แต่ในดินแดนดาราบรรพกาลอันกว้างใหญ่นี้ก็ยังมีเส้นชีพจรวิญญาณอีกมากมาย
ต่อให้มันต้องถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ในวันหนึ่งวันใด พวกเราก็ย่อมหาเส้นชีพจรวิญญาณใหม่มาทดแทนได้อย่างแน่นอน
เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
หลังจากฟังคำอธิบายของชูไฮว่ซาน
จี้เทียนซิงก็เข้าใจทัศนคติของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่มีต่อภูเขามังกรทันที เขาเลิกถามเรื่องนี้อีก
ขณะนั้นเอง
ชูไฮว่ซานก็กล่าวกับจี้เทียนซิงและหยุนเหยาว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปดูแหล่งขุดแร่ในจุดอื่นๆและไปพบพ่อบ้านที่ประจำการอยู่บนเขาเสียก่อน
พวกเจ้าทั้งสองลองออกสำรวจดูเผื่อจะพบเบาะแสอื่นๆ”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved