ตอนที่ 206

เรื่องราวยิ่งกลายเป็นรุนแรงมากขึ้น

ตอนนี้จี้เทียนซิงคือศิษย์ฝ่ายนอกเพียงผู้เดียวที่ถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์

มันทำให้เขาสามารถเข้าออกที่ใดก็ได้ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์

ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักที่ชูไฮว่ซานพักอาศัยทันที  เมื่อมาถึงนอกประตูตำหนักเขาก็ได้ยินเสียงของชูไฮว่ซานและหยุนเหยาดังลอดออกมา

“รายงานผู้อาวุโสชู

ศิษย์จี้เทียนซิงขอเข้าพบขอรับ”

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะที่ประตูห้องโถงใหญ่พลางตะโกนแจ้ง

เห็นได้ชัดว่าชูไฮว่ซานก็ตกตะลึงไม่น้อย

เขารีบตอบรับทันทีว่า “เข้ามา !”

จี้เทียนซิงเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่และได้เห็นคนสามคนยืนอยู่ข้างในนั้น

นอกจากหยุนเหยาและชูไฮว่ซานก็ยังมีฮั่นเฉียวเซิงรั้งอยู่ด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังเดินเข้ามาใกล้

ชูไฮว่ซานก็กล่าวถามว่า “จี้เทียนซิง อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ ?”

หยุนเหยาและฮั่นเฉียวเซิงต่างก็หันไปมองเขาเช่นกัน

ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความกังวล

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า

“ขอบคุณผู้อาวุโสชูที่เป็นห่วง ศิษย์ได้พักฟื้นและเยียวยาบาดเจ็บเป็นเวลาเจ็ดวัน

ตอนนี้หายดีแล้วขอรับ”

“อืม ดีมาก” ชูไฮว่ซานพยักหน้าอย่างโล่งอกและกล่าวต่อไปด้วยความสงสัยว่า

“แล้วเจ้ามาหาข้าทำไม ? เกิดอะไรขึ้น ? หรือว่า… มีทรัพยากรบ่มเพาะชนิดใดที่เจ้าจำเป็นต้องใช้งั้นหรือ

?”

จี้เทียนซิงรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า

“มิใช่ขอรับผู้อาวุโสชู

ศิษย์ได้ยินมาว่าภูเขามังกรกำลังเกิดเรื่องแปลกขึ้น ดังนั้นข้าจึงมาพบท่านเพื่อถามว่ามีอะไรที่ข้าจะพอช่วยได้หรือไม่”

ชูไฮว่ซานอ้าปากค้าง

จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา “ยอดเยี่ยมมาก

!”

“ภูเขามังกรนั่นถูกฝ่ายนอกเรายึดครอง แต่เจ้านับว่าทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ฝ่ายนอก

เจ้ามีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสถานการณ์ส่วนรวม หาได้ยากนัก !”

ฮั่นเฉียวเซิงพยักหน้าและกล่าวว่า

“ยิ่งมีความสามารถมากก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากตามไปด้วย  จี้เทียนซิง

เจ้ามีความคิดในเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ยังเยาว์ ภายภาคหน้าเจ้าจะสามารถรับผิดชอบต่อเรื่องใหญ่ๆได้ในอนาคต...

เมื่อได้ยินคำยกย่องเชิดชูของชูไฮว่ซานและฮั่นเฉียวเซิง

จี้เทียนซิงเพียงกล่าวถ่อมตนเล็กน้อย

ต่อมาชูไฮว่ซานและหยุนเหยาก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขามังกร

หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ข่าวเรื่องศิษย์รับใช้ทั้งสิบคนหายตัวไปในเหมืองแพร่กระจายไปทั่วนิกายแล้ว”

“ที่จริงแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ท่านประมุขก็ได้มีคำสั่งให้พ่อบ้านสองคนไปประจำการที่ภูเขามังกรเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

แต่ว่าพ่อบ้านทั้งสองคนนั้นก็หายตัวไปเช่นกัน

ไม่มีเบาะแสใดๆแล้วก็ยังไม่มีรายงานเรื่องผู้เสียชีวิต”

เมื่อได้ยินข่าวนี้จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หากมีเพียงแค่ศิษย์รับใช้สิบคนหายตัวไปย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย

แต่ทว่า

การที่พ่อบ้านสองคนที่ประจำการบนภูเขามังกรหายตัวนั้นมันแทบจะเป็นคนละเรื่อง  นี่เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงมาก

ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถขึ้นเป็นพ่อบ้านของนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้นั้น

อย่างน้อยๆก็ต้องมีพลังในระดับปราณจิตขั้นแรก

นอกจากนี้ยอดฝีมือระดับปราณจิตก็นับว่ามีจำนวนไม่มากนักภายในนิกาย

ดังนั้นการที่พ่อบ้านหายตัวไปถึงสองคนในคราวเดียวย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไป

นี่เป็นการยั่วยุที่มากเกินไปจากใครบางคน !

หากนี่เป็นการกระทำของนิกายกระบี่ฟ้าจริงๆ

นิกายพันธมิตรสวรรค์ย่อมไม่อยู่เฉยแน่ พวกเขาจะต้องตอบโต้ทันที !

ต่อมา

ชูไฮว่ซานก็บอกกล่าวข้อมูลบางอย่างในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ เพื่อให้ทุกคนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูเขามังกร

จากนั้นชูไฮว่ซานและหยุนเหยาก็ตัดสินใจเดินทางออกไปสำรวจภูเขามังกรด้วยตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำการสรุปเรื่องราวโดยยึดจากคำบอกเล่า

พวกเขาไม่พบเบาะแสใดๆเลยว่าเหตุการณ์นี้เป็นฝีมือของผู้ใดและใครอยู่เบื้องหลัง

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะออกเดินทาง

จี้เทียนซิงก็รีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ผู้อาวุโสชู ศิษย์ขอตามไปด้วย

ข้าอยากมีส่วนร่วมในการทำประโยชน์ให้กับนิกาย”

ชูไฮว่ซานขมวดคิ้วด้วยความลังเลและกล่าวว่า

“จี้เทียนซิง

อาการบาดเจ็บของเจ้าเพิ่งจะเริ่มดีขึ้น การต้องออกเดินทางคงไม่สะดวกกระมัง

อีกอย่างเรื่องนี้ก็ยังค่อนข้างคลุมเครือ ข้าเกรงว่าอาจจะมีความเสี่ยงไม่น้อย... ”

สำหรับเขาแล้ว

ตอนนี้จี้เทียนซิงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของฝ่ายนอกและในอนาคตย่อมกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในคนสำคัญของนิกาย

เขาไม่ต้องการให้จี้เทียนซิงออกไปเสี่ยง

หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาย่อมเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับนิกายพันธมิตรสวรรค์

อย่างไรก็ตาม

หยุนเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “อาวุโสชู ก่อนหน้านี้ศิษย์เทียนซิงเคยช่วยข้าทำภารกิจสำเร็จจนได้รับรางวัลจากท่านประมุข”

“ตอนนี้ภูเขามังกรเป็นเหมือนบ้านของนิกายเราแล้ว

ครั้งนี้พวกเราเพียงแค่ไปหาเบาะเสาะเรื่องที่เกิดขึ้น

มันไม่น่าจะมีอันตรายร้ายแรงใดๆ ให้เขาติดตามพวกเราไปเถอะ”

“ยิ่งไปกว่านั้น

ในเมื่อจี้เทียนซิงหวังดีและมีความเป็นห่วงต่อนิกาย เราไม่อาจปฏิเสธความกระตือรือร้นของเขาได้”

ในเมื่อหยุนเหยาเอ่ยปากโน้มน้าว

ชูไฮว่ซานย่อมไม่คัดค้านอย่างแน่นอน เขาพยักหน้าและเดินนำออกจากห้องโถงใหญ่

จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปยังปักษาวิญญาณเพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปยังภูเขามังกร

ชูไฮว่ซานออกเดินทางเพียงลำพัง

ส่วนจี้เทียนซิงติดสอยห้อยตามไปบนกระเรียนวิญญาณของหยุนเหยา

ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

สัตว์อสูรวิญญาณบินได้ทั้งสองตัวก็บินมาร่วมสามร้อยไมล์และขึ้นสู่ยอดเขาของภูเขามังกร

บนเวทีมังกรจันทร์ยังคงมีสภาพเหมือนเมื่อแปดวันก่อนในการประลอง

พื้นดินยังคงปกคลุมไปด้วยหลุมลึกและรอยปริแตก

ชูไฮว่ซานพาจี้เทียนซิงและหยุนเหยาเดินลงไปตามไหล่เขาตามเส้นทางหินสีฟ้าเพื่อสำรวจภูเขาโดยรอบ

จี้เทียนซิงคิดว่าหลังจากที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ครอบครองภูเขามังกรแล้ว

พวกเขาจะปลูกพืชสมุนไพรและสร้างสวนโอสถให้ภูเขากลับมาสมบูรณ์งดงามดังเดิม

แต่ทว่า

ตลอดทางที่เขาเดินมาก็เห็นศิษย์เพียงไม่กี่คนที่กระจัดกระจายกันปลูกสมุนไพร

ซึ่งพืชสมุนไพรเหล่านั้นล้วนแต่เป็นประเภทที่เติบโตเร็วและเก็บเกี่ยวได้รวดเร็ว

ไม่นานหลังจากนั้น

จี้เทียนซิงก็เดินตามชูไฮว่ซานลงไปในหลุมที่อยู่กลางภูเขาและมุ่งหน้าต่อไปจนถึงส่วนลึกใต้พื้นดินในภูเขา

เมื่อพวกเขาไปถึงบริเวณพื้นที่ของเส้นชีพจรภูเขาก็ได้เห็นเหล่าศิษย์รับใช้มากมายที่กำลังง่วนอยู่กับการทำเหมืองแร่

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามชูไฮว่ซานทันทีว่า

“ผู้อาวุโสชู หลังจากพวกเราได้ภูเขากลับคืนมาแล้ว

ไฉนถึงไม่มีการบูรณะสวนโอสถและปลูกป่าขึ้นมาใหม่เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้เหมือนปีก่อนๆเล่า

?”

ชูไฮว่ซานยิ้มเล็กน้อยและอธิบายว่า

“ภูเขามังกรถูกทำลายเช่นนี้ หากนิกายเราคิดจะฟื้นฟูและบูรณะขึ้นมาใหม่

มันจะไม่เพียงแค่กินทรัพยากรมนุษย์และทรัพย์สินที่ต้องลงทุนเป็นจำนวนมากเท่านั้น  แต่มันยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆก็นับสิบปี”

“และในระหว่างสิบปีจะมีการประลองหลงซานที่ช่วงชิงสิทธิ์ของที่แห่งนี้อีกครั้ง

และคงเป็นไปไม่ได้ที่นิกายเราจะชนะได้ทุกครั้งถูกไหม ?  ถึงที่สุดแล้วหากนิกายกระบี่ฟ้าเป็นฝ่ายชนะ

การที่พวกเราอุตส่าห์ลงทุนบูรณะขึ้นมาใหม่จะประโยชน์อันใด ? สุดท้ายก็ถูกพวกมันทำลายเหมือนตอนนี้เสียเปล่าๆ เหนื่อยฟรี”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและตระหนักได้ในทันที  ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนิกายพันธมิตรสวรรค์ถึงไม่สนใจจะฟื้นฟูภูเขาให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ค่อนข้างสับสนจึงถามว่า

“ถึงแม้การบูรณะฟื้นฟูจะค่อนข้างยากลำบากจนไม่คุ้มที่จะทำ

แต่การที่พวกเราขุดคุ้ยทรัพยากรอย่างหนักเช่นนี้จะแตกต่างอันใดกับที่นิกายกระบี่ฟ้าเคยทำมาก่อน

?”

ชูไฮว่ซานส่ายหัวเล็กน้อยและหัวเราะพลางกล่าวว่า

“ฮ่าๆๆ เจ้าก็คิดมากไป มันย่อมต่างกันอยู่แล้ว

นิกายกระบี่ฟ้าขุดทรัพยากรและแร่ธาตุทุกอย่างที่ขวางหน้านั่นคือการทำลายเส้นชีพจรวิญญาณของภูเขา

ส่วนพวกเรานั้นรวบรวมแต่ทรัพยากรโดยที่ไม่พยายามไปยุ่งเส้นชีพจร”

“นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าภูเขามังกรจะมีเส้นชีพจรวิญญาณหนาแน่นดั่งสมบัติล้ำค่า

แต่ในดินแดนดาราบรรพกาลอันกว้างใหญ่นี้ก็ยังมีเส้นชีพจรวิญญาณอีกมากมาย

ต่อให้มันต้องถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ในวันหนึ่งวันใด พวกเราก็ย่อมหาเส้นชีพจรวิญญาณใหม่มาทดแทนได้อย่างแน่นอน

เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป”

หลังจากฟังคำอธิบายของชูไฮว่ซาน

จี้เทียนซิงก็เข้าใจทัศนคติของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่มีต่อภูเขามังกรทันที  เขาเลิกถามเรื่องนี้อีก

ขณะนั้นเอง

ชูไฮว่ซานก็กล่าวกับจี้เทียนซิงและหยุนเหยาว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปดูแหล่งขุดแร่ในจุดอื่นๆและไปพบพ่อบ้านที่ประจำการอยู่บนเขาเสียก่อน

พวกเจ้าทั้งสองลองออกสำรวจดูเผื่อจะพบเบาะแสอื่นๆ”