ตอนที่ 114

หากมิใช่เพราะปราณกระบี่ของเจ้า

“หากฝึกสำเร็จจะสามารถสำแดงพลังทำลายที่น่ากลัวเช่นนี้ได้งั้นหรือ

?”

สีหน้าของจี้เทียนซิงเปลี่ยนไป

ในใจเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“หากตาแก่เหม็นปะทุพลังเต็มร้อย มิใช่ว่าตำหนักไท่อันจะพังพินาศในพริบตาเลยหรือ

?”

“ตาแก่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ! นี่เขาบรรลุเขตแดนยุทธ์ระดับไหนกันแน่ ?  ปราณจิต ? หรือจะเป็นเขตแดนปราณฟ้าในตำนาน ?”

หลังจากนั้นไม่นานอารมณ์ที่พุ่งพล่านของเขาก็สงบลง เขาไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีก และปิดตาลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นึกถึงสายลมและสายฟ้า

“ถึงแม้ว่ากระบวนท่าวายุอัสนีกระหน่ำจะมิได้ซับซ้อนเท่ากับคมมีดพันขนนก

แต่จุดเด่นของมันก็เน้นถึงพลังทำลายและวิธีการ…”

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

เซี่ยงหวู่จี้ยืนอยู่ใต้ชายคาและมองจี้เทียนซิงอย่างสงบ

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

จี้เทียนซิงลืมตาขึ้นและเดินไปที่ลานกว้างอย่างสงบ

จากนั้นก็โคจรพลังลมปราณในร่าง

“เช้ง  เช้ง  เช้ง !”

ปราณกระบี่สามสายปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

แสงสีทองเข้มส่องประกายยามราตรีอันมืดมิด

จี้เทียนซิงใช้สองมือและสองนิ้วร่ายรำเพลงกระบี่

เขาโบกมือวาดเป็นเส้นสายอันลี้ลับเพื่อควบคุมปราณกระบี่ทั้งสาม

“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

!”

ปราณกระบี่ส่งเสียงแตกหักอันแหลมคมและวนเวียนรอบตัวเขาในระยะสามเมตร

พวยพุ่งการโจมตีออกไปในทุกมุมและทุกทิศทาง

วูบ

วูบ วูบ !

การเคลื่อนไหวมือของชายหนุ่มที่โบกสะบัดเริ่มเร็วและเร็วขึ้นเรื่อยๆ

จนเกิดเป็นริ้วลำแสงที่พัวพันกันจนเห็นได้ชัดตา

เมื่อความเร็วของปราณกระบี่ทั้งสามที่ถูกกรีดวาดไปมาอันซับซ้อนเริ่มมาถึงขีดจำกัด

ความรวดเร็วดั่งการโจมตีของสายฟ้าฟาดก็ปรากฏขึ้น

คลื่นพลังที่เหวี่ยงซัดออกไปในทุกทิศทางก็เริ่มรุนแรงขึ้นเป็นทบทวี

ตูม

ตูม ตูม .... !

สิบลมหายใจผ่านไปอย่างรวดเร็วและปราณกระบี่สามสายก็โจมตีออกไปนับพันครั้งติดต่อกัน

จี้เทียนซิงร่ายรำเพลงกระบี่คมมีดพันขนนกเสร็จสิ้นแล้ว  แต่มันก็สูบใช้พลังลมปราณของชายหนุ่มมากเกินไปจนใบหน้าเริ่มซีดเซียว

ดังนั้นเขาจึงโบกมือเรียกปราณกระบี่ทั้งสามกลับมาหา

มันล่องลอยอยู่กลางอากาศ

ถึงแม้ว่าเขาจะต้องใช้พลังและระยะเวลาเป็นสองเท่าในการควบคุมปราณกระบี่กว่าจะโจมตีออกไปได้พันครั้ง

แต่ก็นับว่าเขาสำเร็จกระบวนท่านี้ไปได้ 7-8

ส่วนแล้ว

เนื่องจากพื้นฐานบ่มเพาะของเขายังอ่อนแอและปราณกระบี่ก็มิได้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับคลื่นพลังกระบี่ของเซี่ยงหวู่จี้  อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่เขตแดนพลังของเขาหนาแน่นและสูงพอ

เขาจะบรรลุในระดับเดียวกันกับเซี่ยงหวู่จี้ได้แน่อน

ในเวลานี้เอง

เซี่ยงหวู่จี้กล่าวอย่างเงียบงัน

“ไอ้หนู

เจ้าต้องใช้เวลามากกว่าข้าถึงสองเท่ากว่าจะจู่โจมออกไปได้พันครั้ง

แต่กระนั้นพลังทำลายของปราณกระบี่ก็ยังนับว่าอ่อนแออยู่เล็กน้อย  เอาเถอะ ถือว่าหยวนๆไปก็แล้วกันว่าเจ้าเรียนรู้กระบวนท่าคมมีดพันขนนกได้แล้ว”

“เจ้าเพิ่งเห็นข้าแสดงเพลงกระบี่เพียงครั้งเดียวก็ทำได้สำเร็จ

นับว่าได้สักสามคะแนนก็แล้ว...  ส่วนความเข้าใจและพรสวรรค์โดยธรรมชาติของเจ้าก็งั้นๆ

พอถูไถกว่าศิษย์คนอื่นๆ !”

ถึงแม้เซี่ยงหวู่จี้จะกล่าวเช่นนี้

แต่ลึกๆแล้วเขาค่อนข้างพอใจในตัวจี้เทียนซิงมาก

เขาตระหนักว่าจี้เทียนซิงสามารถเรียนรู้คมมีดพันขนนกได้จากการมองเพียงครั้งเดียว

ซึ่งพรสวรรค์เหล่านี้หาได้ยากยิ่งจากบรรดาศิษย์นับพันของนิกายพันธมิตรสวรรค์

นอกจากนี้โดยปกติแล้วเซี่ยงหวู่จี้ก็ไม่ค่อยกล่าวชมผู้ใดมากนัก

จี้เทียนซิงที่ได้รับคำชมว่า

‘งั้นๆ’ จากปากของเซี่ยงหวู่จี้

เรียกได้ว่าเหนือล้ำกว่าศิษย์สาวกของนิกายพันธมิตรสวรรค์ส่วนใหญ่เลยทีเดียว

เซี่ยงหวู่จี้ยกคิ้วขึ้นและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า

“เอาล่ะ งั้นก็ร่ายกระบวนท่าที่สองต่อเลย”

“วายุอัสนีกระหน่ำก็จะคล้ายคลึงกับคมมีดพันขนนก

แต่มันล้ำลึกยิ่งกว่า”

จี้เทียนซิงก็เข้าใจในจุดนี้เช่นกัน

เขาผงกศีรษะและมีสีหน้าจริงจังขึ้นอีกไม่น้อย

หลังจากหายใจเข้าลึกๆเขาก็ระดมปราณกระบี่

“เช้ง เช้ง !”

ปราณกระบี่ทองคำสามสายกลายเป็นสอง

และเปลี่ยนรูปร่างจากขนาดเท่า ‘ไม้จิ้มฟัน’ ไปเป็น ‘มีดสั้น’

“วายุอัสนีกระหน่ำ !”

จี่เทียนซิงโคจรเคล็ดวิชาด้วยมือทั้งสองข้างในทันทีและกระแทกปราณกระบี่ทั้งสองเล่มไปเบื้องหน้า

“ฟิ้ว  ฟิ้ว

!”

พวกมันบินออกไปสามเมตรทั้งซ้ายและขวา

จากนั้นก็ระเบิดขุมพลังอันรุนแรงออกมากระแทกลงบนพื้นดิน

"ปัง !"

บังเกิดเสียงทื่อดังขึ้น  แสงกระบี่สีทองหลอมรวมกันด้วยสายลมอันรุนแรง และปรากฏเป็นเส้นสายของอัสนีที่ยาวเท่ากับตะเกียบตกกระทบลงมาบนพื้นหินอย่างรุนแรง

พื้นหินสีน้ำเงินที่แข็งแรงเกิดรอยปริแตกยาวครึ่งเมตรและทำให้เศษหินเล็กๆกระเด็นหลุดออกมา

หลังจากแสดงกระบวนท่าวายุอัสนีกระหน่ำเสร็จ

จี้เทียนซิงก็ชักนำปราณกระบี่สองเล่มกลับเข้าร่าง

เมื่อก้มลงมองไปที่รอยแตกยาวครึ่งเมตรบนพื้นเขาก็เกาหัวแกร่กๆ

เนื่องจากเส้นสายอัสนีที่เซี่ยงหวู่จี้ใช้ออกนั้นระเบิดพื้นหินจนเป็นหลุมกว้างสามเมตร

แต่สายฟ้าจากปราณกระบี่ของเขานั้นมีขนาดเล็กมากและทำให้เกิดรอยแตกเพียงเล็กน้อย

ช่องว่างระหว่างเขากับเซี่ยงหวู่จี้นั้นห่างชั้นกันอย่างน้อยๆก็สองสามเท่า

!

“วายุอัสนีกระหน่ำของตาแก่เหม็นสามารถก่อรูปสายฟ้าที่ผ่าลงมาจนพื้นดินและตำหนักยังต้องสั่นสะเทือน”

“พลังของเขาราวกับเป็นสายฟ้าจากท้องนภาที่แท้จริง

ส่วนของข้านั้นยังกับปลาไหลไฟฟ้าที่ป่วยเป็นโรค....”

“เฮ้อ...

ไม่รู้ว่าต้องฝึกหนักอีกกี่ปีถึงจะเทียบเท่าตาแก่เหม็นผู้นี้ได้”

จี้เทียนซิงทอดถอนใจและบ่นพึมพำกับตัวเอง

จากนั้นก็เดินกลับไปหาเซี่ยงหวู่จี้ที่ใต้ชายคาด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้งพลางกล่าวอย่างหดหู่ว่า

“ผู้อาวุโส

เคล็ดวายุอัสนีกระหน่ำที่ข้าสำแดงเมื่อครู่นี้.... นับว่าผ่านไหม ?”

เซี่ยงหวู่จี้หันหน้าไปจ้องมองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า

“ผ่านมารดาเจ้าสิ !  เจ้าไม่เห็นขนาดและรูปร่างของมันหรือไง ? ใช้ออกมาเองแท้ๆ !”

“วายุอัสนีกระหน่ำที่ข้าใช้นั้นราวกับสายฟ้าจากท้องนภา

ส่วนของเจ้ามันเหมือนกับลมตดชัดๆ !”

“เอ่อ...... ” จี้เทียนซิงหน้าแดงก่ำและทำได้เพียงยิ้มแห้งๆแก้เก้อเท่านั้น

“เหอะ !  เซี่ยงหวู่จี้แค่นเสียงเย็น

จากนั้นก็เก็บสีหน้าเย้ยหยันกลับไปและกล่าวอย่างสบายๆว่า “แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเจ้าก็ยังเรียกลมตดออกมาได้

นับว่าเจ้าสำเร็จแล้ว หากเทียบกับซวนซวนน้อยยังนับดีกว่ามาก

นางฝึกกับข้าสามครั้งยังเรียกลมตดออกมาไม่ได้อย่างเจ้า”

แม้ว่าเซี่ยงหวู่จี้จะใช้คำว่าลมตดอยู่บ่อยๆเพื่อชมจี้เทียนซิงอ้อมๆ

แต่ความสนใจของชายหนุ่มกลับไม่ได้อยู่ในประเด็นนี้อีกแล้วเมื่อเซี่ยงหวู่จี้กล่าวถึงซวนซวน

เขาถามว่า

“ผู้อาวุโส ท่านเป็นอาจารย์ปู่ของซวนซวนงั้นหรือ ?”

“ถูกต้อง พูดแล้วเรื่องมันยาว......” เซี่ยงหวู่จี้ตอบจากจิตใต้สำนึก

แต่กล่าวไปได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดพูด

เขาหันเหหัวเรื่องและจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยสีหน้าขุ่นเคืองพลางกล่าวว่า

“ว่าแต่เจ้าเถอะ

สารเลวน้อย เจ้ารังแกนางหรือเปล่า ?”

“แค่กๆ …ไม่

ไม่อย่างแน่นอน!”  จี้เทียนซิงโบกไม้โบกมือซ้ำแล้วซ้ำอีกและกล่าวยืนยัน

“ก็ดี เอาล่ะ กลับเข้าเรื่อง” เซี่ยงหวู่จี้ขมวดคิ้วและกล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะสำเร็จสองกระบวนท่าแรก

แต่เจ้าก็ต้องหมั่นฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมัน”

“เมื่อใดที่เจ้าสำแดงสองกระบวนท่านี้ในเขตแดนที่สูงกว่าได้

ข้าจะสอนกระบวนท่าอื่นๆให้”

จี้เทียนซิงโค้งคำนับอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่สอนสั่ง ผู้เยาว์ซาบซึ้งมาก !”

เซี่ยงหวู่จี้จ้องมองชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ว่า

“เหอๆ แค่ขอบคุณมันไม่พอหรอกไอ้หนู !”

“อืม... เอาแบบนี้เป็นไง

เจ้าออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นตั้งแต่พรุ่งนี้และย้ายมาอยู่ในตำหนักไท่อัน

ทำความสะอาดห้องหับและดูแลสมุนไพรให้ข้าทุกวัน…”

โดยไม่รอให้ตาเฒ่าพูดจบ

จี้เทียนซิงหน้าซีดเผือดและรีบชี้ไปบนท้องฟ้าพลางกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ผะ... ผู้อาวุโส  ฟ้ามืดแล้ว ข้าต้องรีบกลับหอยุทธ์

ท่านแก่แล้วก็ควรจะพักผ่อนแต่หัวค่ำนะ ข้าไปล่ะ !”

หลังจากนั้นจี้เทียนซิงก็วิ่งหนีจากไปด้วยความเร็วสุดชีวิต

เซี่ยงหวู่จี้มองไปที่ด้านหลังที่กำลังวิ่งหนีไปของชายหนุ่มและมีรอยยิ้มผุดขึ้น

“จิ๊ๆๆ

ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณเลยนะเจ้าสารเลวน้อย  ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่ใฝ่ฝันจะได้มาอยู่ใกล้ๆข้า

แต่เจ้ากลับวิ่งหนีเสียนี่ !”

“หากมิใช่เพราะปราณกระบี่ของเจ้าคล้ายคลึงกับเทพกระบี่....   ตาแก่ผู้นี้ก็คร้านจะเสียเวลาดูแลเจ้า”

*ระดับพลังที่ปรากฏตอนนี้*

1.เขตแดนปรับแต่งกายา

2.เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง [真元境] ขอแก้เป็น เขตแดนปราณแท้

3.เขตแดนแก่นกำเนิด

[元丹境] ขอแก้เป็น เขตแดนปราณจิต

4.เขตแดนปราณฟ้า  [天元境]