หัตถ์เปลวอัคคีสำแดงเดช
!
ฉู่เทียนเซิงก็จ้องมองจี้เทียนซิง
เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและเพ่งมองอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก
ศิษย์สาวกสามัญทั่วย่อมไม่สามารถมองเห็นร่องรอยนี้ได้
แต่เขาเป็นถึงยอดยุทธ์ระดับปราณฟ้า
เขาเห็นได้ชัดเจนว่าพลังฝีมือของจี้เทียนซิงได้ล่วงมาถึงขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้าแล้ว
!
ส่วนลึกในดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยและใบหน้าที่สง่างามของเขาก็สว่างจ้าขึ้น
เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวอีกฝ่าย
ในที่สุดผู้คนก็มารวมตัวกัน
การจัดอันดับรายชื่อสวรรค์กำลังจะเริ่มขึ้น
ฉู่เทียนเซิงนั่งอยู่บนบัลลังก์และมองลงไปที่ฝูงชนอย่างเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า
“วันนี้นับเป็นวันสำคัญประจำปีอันยิ่งใหญ่ของนิกาย…”
คำพูดของเขาเป็นคำปราศรัยทั่วไป
น้ำเสียงที่ดังกังวาลของเขาได้เอ่ยถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์
หลังจากพูดจบ
เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ครั้งนี้ยังคงปฏิบัติตามปกติ
ซึ่งเจ้าภาพก็คือผู้อาวุโสของนิกายเย่หง”
เย่หงแทรกตัวเดินออกจากฝูงชนทันทีและโค้งคำนับไปที่ฉู่เทียนเซิง
“คารวะท่านประมุข”
ต่อมาเย่หงก็เดินไปเหยียบบนเวทีกลางจัตุรัสและประกาศเสียงดัง
“ข้าเชื่อว่าทุกคนย่อมทราบดีว่ารายชื่อขั้นสวรรค์ในวันนี้ยิ่งใหญ่และแตกต่างจากปีก่อนๆ
ก่อนจะเริ่มต้นการจัดอันดับ มีศิษย์ฝ่ายในสองคนได้ปฏิบัติตามกฎของนิกายในการประกาศท้าประลองเพื่อแก้ไขปัญหาความบาดหมางส่วนตัว”
“กฎนี้เป็นกรณีที่เคยเกิดขึ้นอยู่เสมอ
ทางผู้อาวุโสไม่เคยแทรกแซงข้อพิพาทส่วนตัวระหว่างศิษย์
หากมิอาจตกลงกันจะต้องว่ากันไปตามกฎของนิกาย”
“การต่อสู้ครั้งนี้ทุกคนในสถานที่นี้จะเป็นสักขีพยานให้แก่จี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชิน
ตามข้อตกลงของพวกเขาทั้งสอง ผู้แพ้จะต้องลดตัวไปเป็นศิษย์รับใช้ของอีกฝ่ายเป็นเวลาหนึ่งปี”
“ได้เวลาแล้ว
หากทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อคัดค้านใดๆก็ขึ้นมาบนเวทีและเริ่มการประลองได้ !”
เมื่อเสียงของเย่หงลดลง
ไป๋หวู่เชินก็เป็นฝ่ายเดินนำออกมาจากฝูงชน
เขาจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้ามั่นใจและเลียริมฝีปากอย่างลับๆด้วยท่าทีเย้ยหยัน
จี้เทียนซิงไม่ใส่ใจ
เขาเพิกเฉยต่อการยั่วยุของอีกฝ่ายและเดินตามหลังไปขึ้นเวที
ทั้งสองยืนอยู่ในวงแหวนของเวทีและอยู่ห่างกัน
10 เมตร
ไป๋หวู่เชินหลิ่วตาไปที่จี้เทียนซิงและกล่าวด้วยเสียงต่ำกว่า
“ศิษย์น้องจี้
ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมพร้อมเป็นคนใช้ตำหนักข้าแล้วสินะ !”
“ขอร้องสิ
ร้องขอชีวิตข้าซี่ ! ตราบใดที่เจ้าคุกเข่าร้องขอความเมตตาต่อหน้าทุกคน
ข้าจะให้เจ้าแพ้อย่างไม่อดสู ... ”
จี้เทียนซิงหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางถามด้วยเสียงเย็นชา
“ไป๋หวู่เชิน เจ้าคิดว่าจะรับมือข้าได้สักกี่กระบวนท่า
?”
สีหน้าท่าทาง
น้ำเสียง
ตลอดจนการแสดงออกของจี้เทียนซิงนั้นมิได้แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งจองหองหรือยั่วยุแม้แต่น้อย
มันราวกับว่าเขากำลังถามคำถามอย่างจริงจัง
ใบหน้าของไป๋หวู่เชินเปลี่ยนไป
คนคำรามออกมาด้วยความโกรธว่า “บัดซบ ! ข้าต่างหากที่ควรจะถามคำนี้กับเจ้า
!”
จี้เทียนซิงยังคงสงบและไม่แยแส
เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่า “ไป๋หวู่เชิน
หากเจ้ารับมือข้าได้สามท่า ข้าจะถือว่าเจ้าชนะ”
ทันทีที่ประโยคนี้กล่าวออกมา
สีหน้าของไป๋หวู่เชินก็บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธกริ้ว
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย โทสะพลันปะทุซ่านขึ้นอย่างมิอาจควบคุมได้
“จี้เทียนซิง !
ข้าจะให้เจ้าได้รู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของสวรรค์และปฐพี ด้วยความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิดของเจ้าตอนนี้กลับตีฝีปากกล้าต่อข้างั้นหรือ
?”
เขาไม่อยากเชื่อว่าจี้เทียนซิงจะบ้าคลั่งถึงกล้าท้าทายเขาด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณะชน
นี่มันช่างเหิมเกริมเกินไปแล้ว
!
นี่คือการเหยียดหยามอย่างที่สุด
มันคือความอัปยศต่อเขาโดยตรง !
ผู้อาวุโสและผู้ดูแลที่อยู่รอบเวทีต่างได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิงเต็มสองรูหู
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
มีคนเข้าใจว่าฟังผิดไป
มีบางคนคิดว่าจี้เทียนซิงโอหังเกินไป
หลายๆคนมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเวทนาเย้ยหยันต่อความไร้เดียงสา
คนกลุ่มนั้นรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วซึ่งมันจะทำให้ไป๋หวู่เชินมีโทสะจนต้องลงมือหนักถึงขั้นพิการเป็นแน่
ในเวลานี้เองผู้อาวุโสเย่หงผู้ควบคุมการประลองพลันเอ่ยปากถามว่า
“จี้เทียนซิง
คำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้นับรวมในเดิมพันด้วยใช่หรือไม่ ?”
จี้เทียนซิงไม่ตอบคำ
เขาเพียงพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์
ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ในนิกายหลายร้อยคนในจัตุรัสก็ตกตะลึงและแสดงออกด้วยสีหน้าตกใจ
ผู้อาวุโสและผู้ดูแลหลายคนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
พวกเขาจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
ทุกคนไม่อาจปักเชื่อได้ลง
ประโยคของเขาเมื่อครู่นี้กล่าวขึ้นมาจริงๆมิใช่การล้อเล่น !
ตั้งเมื่อไหร่กันที่ไป๋หวู่เชินถูกศิษย์น้องที่เพิ่งเข้านิกายไม่กี่เดือน
ดูหมิ่นหยามเกียรติขนาดนี้ ?
เขาโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยวดำทะมึน
แต่เขาก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้โกรธแค้นจนเสียสมาธิในการต่อสู้
"ดี! ดีมาก!
จี้เทียนซิง เป็นเจ้าเองนะที่รนหาที่ !”
เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลันกล่าวเย้ยว่า
“ข้าก็อยากเห็นนักเชียวว่าเจ้าจะล้มข้าได้อย่างไรในสามกระบวนท่า
! เข้ามา !!”
สิ้นเสียงท้าทายของไป๋หวู่เชิน
ผู้อาวุโสเย่หงก็วาดฝ่ามือออกมาเป็นข่ายปราณป้องกันอันยิ่งใหญ่ขึ้น
ม่านปราการสีเหลืองกว้างกว่า
100 เมตรล้อมรอบไปทั่วทั้งเวทีและแยกมันออกจากจัตุรัส
มีเพียงจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินเท่านั้นที่อยู่ในม่านปราการสีเหลืองทรงกลม
หากพวกเขามิได้มีพลังถึงขั้นทำลายจันทร์ดับดารา
รับรองว่ารัศมีพลังใดๆก็มิอาจเล็ดรอดออกมาส่งผลกระทบต่อผู้ชมรอบนอก
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ
เย่หงก็ประกาศสียงดังว่า “ข้าขอประกาศว่า การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ !”
ขวับ ขวับ
ขวับ !!
ในขณะที่เสียงของเย่หงลดลง
ไป๋หวู่เชินผู้ซึ่งเดือดดาลและเก็บกดถึงขีดสุดก็ได้ชักกระบี่ออกมาด้วยความเร็วสูงสุดและฟาดฟันออกไปเป็นคลื่นกระบี่ส่องสว่างกว่าสามสิบหกสายในทุกทิศทาง
เปิดฉากโจมตีจี้เทียนซิงอย่างฉับพลัน !
นี่คือวิชากระบี่ของไป๋หวู่เชินที่เป็นเลื่องลือ
เพลงกระบี่ระดับล้ำลึกขั้นสุดยอด, สามสิบหกกระบี่ดาวไถ
เขาปะทุพลังปราณที่อัดแน่นออกมาก่อเกิดเป็นคลื่นกระบี่เรืองแสงที่เร็วประดุจสายฟ้าที่แลบผ่าท้องนภามาสู่ดิน
ภายในรัศมีสิบเมตร
มันถูกปกคลุมไปด้วยรังสีกระบี่ทั้งสามสิบหกเส้นทางในทันที มันกลายเป็นแดนมรณะ
คลื่นกระบี่ทุกสายชี้เป้าไปที่จุดตายของจี้เทียนซิง
มันคือวิชาพิฆาตให้ถึงตาย
เมื่อเห็นฉากนี้
ศิษย์หลายร้อยคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก ใจเต้นกระตุ้นด้วยความหวาดผวา
ดวงตากลายเป็นพร่าเลือนด้วยแสงกระบี่ทั่วทุกทิศทาง
ทุกคนอยากรู้ว่าจี้เทียนซิงจะตอบสนองต่อคลื่นกระบี่คลุมฟ้านี้อย่างไร
? เขาจะสามารถหลบหนีจากกระบวนท่าสังหารของไป๋หวู่เชินได้หรือไม่
?
โดยไม่มีผู้ใดคาดคิด แต่จี้เทียนซิงยังคงนิ่งเฉย
คนแหงนหน้ามองกระบวนท่าสังหารอันเกรี้ยวกราดทรงพลังด้วยสีหน้าเฉยชา
เขาไม่เพียงแค่ไม่คิดจะล่าถอยเท่านั้น
แม้แต่กระบี่หรืออาวุธก็ยังไม่ชักออกมาด้วยซ้ำ
ฟุ่บ !
ทันใดนั้น
ชายหนุ่มพลันยกมือซ้ายขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม
มั่นคงดั่งภูผาแต่ก็ดูไม่เหมือนจะตอบโต้การโจมตีของไป๋หวู่เชินได้แม้แต่น้อย
เมื่อถึงจุดนี้
ทุกคนในจัตุรัสเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและแสดงออกอย่างไม่อยากเชื่อ พวกเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บางส่วนส่งเสียงหัวเราะและแสดงออกอย่างดูหมิ่นดูแคลน
“นี่มันบ้าไปแล้ว ? มันคิดจะรับมือกับไม้ตายของศิษย์พี่ไป๋ด้วยมือเปล่างั้นหรือ
?”
“เขาไม่ได้ชักอาวุธออกมาด้วยซ้ำ ? นี่มันจองหองเกินไปหรือเปล่า ?”
“เหอะๆ คราวนี้จี้เทียนซิงไม่ตายก็พิการแล้ว
ไม่เจียมกะลาหัวเสียจริง !”
“เพ้ย ! สารเลวตัวนี้ช่างบ้าดีเดือดเหลือเกิน
สุดท้ายก็ท่าดีทีเหลว !”
ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความคิดต่างๆนาๆมากมาย
แต่ทว่า
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พบว่าแขนซ้ายและฝ่ามือซ้ายทั้งข้างของจี้เทียนซิงนั้นได้กลายเป็นสีแดงเถือก
มันแดงราวกับการก่อตัวของแมกมาอันร้อนระอุ !
ด้วยฝ่ามือที่ดูหนักอึ้งราวกับขุนเขา
ทั่วรัศมีร้อยเมตรรูปวงแหวนพลันกลายเป็นร้อนแรงขึ้นอย่างยิ่งยวด
มันราวกับว่าอากาศโดยรอบกำลังถูกเผาไหม้
หัตถ์เพลิงข้างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าจากอากาศที่เบาบางในฉับพลัน
สูงกว่าร้อยเมตรขึ้นไป
ฝ่ามือยักษ์ที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงกินรัศมี
20 เมตรซึ่งเกิดขึ้นจากการควบแน่นอันทรงพลังของเปลวอัคคีสีแดงเถือก
มันตกลงมาประดุจดาวตกและฟาดเข้าหาไป๋หวู่เชินอย่างโหดเหี้ยม
ในขณะนั้นเอง
เวทีขนาดใหญ่ส่องสว่างไปด้วยเปลวไฟอันร้อนรุ่ม ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดวง
!
ศิษย์สาวกหลายร้อยคนรู้สึกร้อนลวกอย่างผิดปกติ
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทันใดนั้น
สายตาทุกคู่ที่ได้เห็นหัตถ์เพลิงขนาดมหึมาที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยสีหน้าสยดสยอง
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ
ไป๋หวู่เชินตะลึงงัน
คนเหม่อมองไปที่ฝ่ามือยักษ์ที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงชาด
รูม่านตาของเขาหดวูบเหลือเท่าเข็ม ใบหน้าแสดงความตื่นตระหนกและสิ้นหวังออกมา
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ด้วยความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิง
เหตุใดถึงได้ปะทุการโจมตีที่น่ากลัวเยี่ยงนี้ออกมาได้ ?
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณจิต
ไฉนถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ ?
ในขณะที่ความคิดเหล่านี้ประดังอยู่ในหัว
หัตถ์เพลิงข้างนั้นพลันตกลงมาจากท้องฟ้ากดทับร่างของเขาในพริบตา
“บรึ้ม !!!!!”
เสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปทั่วจัตุรัส
พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนอึกทึกคึกโครม ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดเพลิงขึ้นในจตุรัสกระจายไปทั่วในทันที
ม่านปราการกว้างร้อยเมตรเต็มไปด้วยกองเพลิงจากฝากฟ้า
ภายในข่ายปราณก่อเกิดเป็นลูกบอลทะเลเพลิงสีแดงที่ไม่อาจมองเห็นสภาพภายในได้แม้แต่น้อย
ทั่วทั้งจัตุรัสสั่นไหวอย่างรุนแรง
มันสั่นสะเทือนหลายสิบครั้งติดต่อกันแล้วค่อยๆสงบลง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved