บุญคุณความแค้นสิ้นสุด
ร่างกายของหลิงซื่อไห่สั่นสะท้าน
ใบหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์
เมื่อตอนที่ออกจากเมืองวิญญาณเพลิง
เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางหนีรอด
ถึงแม้ว่าความเร็วในการเติบโตของจี้เทียนซิงจะน่าทึ่ง
แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยยอดฝีมือระดับปราณจิตถึงเก้าคน
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่ต้องปะทะกันจริงๆ
หลิงซื่อไห่ก็เพิ่งค้นพบว่าศักยภาพมันน่ากลัวเพียงใด !
นักฆ่าที่มีประสบการณ์เก้าคนนั้นมีความแข็งแกร่งในขอบเขตปราณจิตขั้นห้า
แต่พวกมันทั้งหมดกลับถูกเก็บไปทีละคนสองคนด้วยน้ำมือของจี้เทียนซิง จนกระทั่งถึงตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเพียงลำพัง
!
เมื่อได้เห็นจิตสังหารของจี้เทียนซิงที่แผ่ออกมา
ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บและรู้สึกผิด
เขาไม่เคยสำนึกเสียใจที่ดั้นด้นมายังดินแดนดาราบรรพกาลเพื่อตามล้างแค้นจี้เทียนซิง
แต่สิ่งที่เขาเสียใจและรู้สึกผิดยิ่งกว่าก็คือการที่ประมาณอีกฝ่ายเกินไป
เขาควรจะว่าจ้างนักฆ่าที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ !
ดวงตาของจี้เทียนซิงจ้องมองหลิงซื่อไห่อย่างรุนแรงก้าวร้าว
พลันคำรามด้วยเสียงต่ำว่า “หลิงซื่อไห่ เหลือแต่เจ้าคนเดียวแล้ว !”
“ตอนนี้จงมาสู้กันให้ตายไปข้าง อย่าได้คิดหนี
ถึงหนีก็หนีไม่พ้น !”
หลิงซื่อไห่มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สี่ใกล้จะตัดผ่านไปยังขั้นที่ห้าอยู่รอมร่อ
ส่วนจี้เทียนซิงประสบความสำเร็จในการบรรเทาจุดฝังเข็มระหว่างการต่อสู้ ในเวลานี้จุดฝังเข็มทั้งแปดของเส้นชีพจรลมปราณเส้นที่สามได้ถูกบรรเทาครบถ้วนแล้ว
ผลทำให้เขาก้าวเข้าสู้ขอบเขตปราณจิตขั้นที่สี่ !
ผลลัพธ์ของการต่อสู้นองเลือดในครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว....
หลิงซื่อไห่จ้องมองจี้เทียนซิงที่ค่อยๆใกล้เข้ามา
ทันใดนั้นเขาก็เก็บกระบี่กลับไปพลางตะโกนออกมาว่า “ช้าก่อนจี้เทียนซิง
! ฟังข้าพูดก่อน ขะ.. ข้าเชื่อเจ้าแล้ว
หยุนเฟยไม่ได้ถูกเจ้าสังหาร นี่ต้องเป็นการเข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน !”
“โปรดยั้งมือก่อน
ให้โอกาสข้าได้กลับไปตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมด
ข้าจะหาทางพิสูจน์และป่าวประกาศไปทั่วเมืองว่าเจ้าไม่ได้ทำ !”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิงซื่อไห่เริ่มหวาดกลัวจึงพูดออกมาว่าเชื่อคำพูดของจี้เทียนซิงก่อนหน้านี้
เพื่อขอให้อีกฝ่ายยั้งมือไว้ไมตรี
จี้เทียนซิงแหงนหน้าขึ้นฟ้าพลางส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
“ฮะ.....ฮ่าๆๆ !
น่าขันนัก หลิงซื่อไห่เอ๋ยหลิงซื่อไห่
จนป่านนี้แล้วเจ้าเพิ่งจะเชื่อว่าข้ามิได้สังหารหยุนเฟยงั้นหรือ ?”
"ชะ เชื่อ
! ข้าเชื่อแล้ว เชื่ออย่างแน่นอน!”
หลิงซื่อไห่ข่มความโกรธและความอัปยศอดสูเอาไว้
เขาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จี้เทียนซิงแสยะยิ้มด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายพลางกล่าวว่า
“เหอะ ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง
ถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่สำคัญแล้วก็เถอะ
ความจริงก็คือในคืนนั้นข้ามีความคิดที่จะสังหารหยุนเฟยจริง แต่นางถูกจี้หลิงช่วยเอาไว้และก็ถูกจี้หลิงสังหาร
จากนั้นมันก็โยนความผิดมาให้ข้า !”
หลิงซื่อไห่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
เห็นได้ชัดว่าเขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งสำหรับความจริงอันน่าตกใจนี้
แต่เพื่อความอยู่รอด
เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่ลังเลพลางกล่าวว่า “ใช่ๆ
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ข้าว่าแล้วเชียว !”
“จี้เทียนซิง
ในเมื่อเรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดกัน เช่นนั้นเจ้าควรจะปล่อยข้าไปตรวจสอบให้ชั
.......ด”
คำพูดของเขายังไม่ทันจะจบประโยคดีก็ถูกจี้เทียนซิงพูดขัดขึ้นมาทันทีว่า
“ไม่ได้ !”
น้ำเสียงของจี้เทียนซิงทวีความเยือกเย็นยิ่งขึ้น
“นับตั้งแต่วินาทีที่เจ้าไล่ล่าข้า
ชะตากรรมของเจ้าก็มีเพียงแค่ความตายเท่านั้น !”
“ในเมื่อเจ้ารู้ความจริงแล้วก็จงตายซะเถอะ !”
เมื่อสิ้นเสียงเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้หลิงซื่อไห่ได้อ้าปาก
และปะทุปราณกระบี่สองเล่มขึ้นมาทันทีเพื่อร่ายเพลงกระบี่ดาราเหินกระบวนท่าที่สอง
“วายุอัสนีบาต !!”
ปราณกระบี่ทองคำขนาดใหญ่สองเล่มส่องสว่างเจิดจ้าพุ่งไปทางซ้ายและขวา
จากนั้นควบรวมกันเป็นกระแสลมพายุอันเกรี้ยวกราด
ตามมาด้วยอัสนีบาตรที่ฟาดซัดเข้าใส่หลิงซื่อไห่อย่างกระทันหัน
“ครืน....... !”
เสียงดังสนั่นกึกก้องราวกับฟ้าระเบิด
ร่างของหลิงซื่อไห่ปลิวละลิ่วบนท้องฟ้า
กระบี่สีน้ำเงินของเขาหลุดมือและตกลงไปในพงหญ้าที่อยู่ไม่ไกล พื้นดินถูกขุดขึ้นเป็นหลุมยาวสามเมตรและทำให้ก้อนหินดินทรายและต้นไม้ถูกพัดปลิวกระจัดกระจาย
เสียงดังแสบแก้วหูดังก้องสะท้อนอย่างรุนแรงในหุบเขาลึกและกินเวลานาน
หลิงซื่อไห่รับกระบวนท่าวายุอัสนีบาตเข้าเต็มๆโดยไม่ได้ตั้งตัว
ร่างของเขาถูกสะบั้นผ่าเป็นหลุมขนาดใหญ่และถูกฝังอยู่ในโคลนใต้พื้นดิน
ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว
อย่างที่จี้เทียนซิงเคยพูดไว้
สายสัมพันธ์ของสกุลจี้กับสกุลหลิงขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิงนับตั้งแต่วันนั้น
ทางออกมีทางเดียวคือไม่เจ้าตายก็ข้าม้วย
หุบเขาเริ่มกลับมาเงียบสงบ
เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วจนหายใจไม่ออก
หลิงซื่อไห่ตาย
มือสังหารชุดดำห้าคนที่พาด้วยก็ตกตายไปสี่คน
เหลืออยู่เพียงคนเดียวที่ไม่ตายแต่ทว่าทั่วร่างของมันก็เต็มไปด้วยเลือดและอยู่ในสภาพที่แทบจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อ
จี้เทียนซิงก้าวเท้าเข้าหามันราวกับมัจจุราช
จากนั้นก็สะบัดปราณกระบี่ขนาดเล็กสายหนึ่งแทงทะลุคอปลิดชีวิตของมันเป็นรายสุดท้าย
“จบเสียที.......”
หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้วเขาก็ล้มตัวลงกับพื้นหญ้าใกล้ๆอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงและอ้าปากหอบหายใจถี่รัว
...............
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
ในที่สุดพละกำลังของเขาก็ฟื้นคืนขึ้นมาเล็กน้อย
เขาหยิบเม็ดยาจากแหวนมิติยัดเข้าปาก
จากนั้นก็พยายามชันกายขึ้นนั่งขัดสมาธิเพื่อปรับแต่งและฟื้นฟู
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ
หมอกยามเช้าของหุบเขาลึกก็ค่อยๆจางหายไป
พระอาทิตย์เริ่มทอแสงสีทองส่องลงมาในหุบเขา
หลังจากนั้นประมาณสองชั่วยามผ่านไป
ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ระงับอาการบาดเจ็บได้บางส่วนและฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยแล้ว
เขาจัดการกับอาการบาดเจ็บภายนอก
เช็ดคราบเลือด จากนั้นก็เดินกลับทางเดิมออกจากหุบเขาลึก
หลังออกจากหุบเขา
ทุกอย่างในการเดินทางปลอดโปร่งโล่งสบาย ไร้ซึ่งอันตรายใดๆอีก จนกระทั่งถึงตอนเที่ยงเขาก็พบถ้ำแห้งแห่งหนึ่งในภูเขาจึงนั่งลงพักชั่วคราว
เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการจัดวางข่ายอาคมที่ปากทางเข้าถ้ำ
เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็นั่งคุกเข่าเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้กลับคืนมา
การตามถูกตามล่าและลอบสังหารในค่ำคืนนี้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและมีบาดแผลจำนวนมาก เขายังไม่กล้าออกเดินทางต่อให้ถึงจุดหมายในยามนี้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเร่งฟื้นฟูพลัง
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในยามเช้าของวันที่สาม
จี้เทียนซิงก็เสร็จสิ้นการฟื้นฟูพละกำลังและลืมตาขึ้นมาในที่สุด
หลังจากรักษาอาการติดต่อกันสามวันเต็ม
เขาใช้เม็ดยาฟื้นฟูไปถึงสี่เม็ดติดต่อกันกว่าจะฟื้นพลังปราณกลับมาได้ในที่สุด
สำหรับอาการบาดเจ็บภายในของเขานั้นก็หายดีได้หกเจ็ดส่วนแล้ว
ซึ่งไม่ใช่ปัญหาและไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว
เหลือแต่เพียงรอยแผลกระบี่ที่แห้งจนเกิดเป็นรอยแผลเป็นมากมาย
มันไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น
หลังจากรุ่งสาง
จี้เทียนซิงก็ออกจากถ้ำและปลุกเฉียนเยวี่ยในถุงมิติ
มันได้หลับพักผ่อนเป็นเวลาสองวันติดต่อกันจนพละกำลังฟื้นฟูขึ้นมาได้ถึงเก้าส่วนจนพร้อมบินต่อได้แล้ว
จี้เทียนซิงกระโดดขึ้นหลังของมันและออกเดินทางต่อไปยังเทือกเขาหมอกเร้นลับ
ในคืนนี้เฉียนเยวี่ยแบกจี้เทียนซิงบินไปหลายพันไมล์จนในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย
แม้จะเป็นวันที่อากาศแจ่มใสแต่เทือกเขาหมอกเร้นลับก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาหลายชั้นจนยากที่จะมองเห็น
ในเวลานี้เป็นช่วงกลางดึกทำให้หมอกของเทือกเขานั้นยิ่งหนาตาดูลึกลับและอันตรายมาก
จี้เทียนซิงไม่รีบร้อนบุ่มบ่ามเข้าไป แต่เขาบอกให้เฉียนเยวี่ยหยุดที่ปากทางเข้าหุบเขา “เฉียนเยวี่ย เทือกเขาหมอกเร้นลับนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย
พวกเราไม่ควรเข้าไปตอนกลางคืน
ดังนั้นพวกเราพักผ่อนกันแถวนี้ก่อนพอถึงเช้าค่อยเข้าไปกัน”
เฉียนเยวี่ยผงกศีรษะทำตามคำพูดของจี้เทียนซิง
มันลงจอดที่ปากทางเข้าหุบเขาและหดร่างลงเหลือขนาดเท่าลูกแมวตัวหนึ่ง
จากนั้นก็อ้าปากหาวกลับเข้าไปนอนในถุงมิติต่อ
จี้เทียนซิงยืนอยู่ที่ทางเข้าหุบเขา
ผ่านแสงดวงดาวของท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หุบเขาที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นหนึ่งในทางเข้าไปสู่เทือกเขาหมอกเร้นลับ
ทั่วทั้งหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนามานานหลายปี
เมื่อเดินผ่านหุบเขานี้ไปจนถึงสุดทางก็จะเข้าสู่แนวเทือกเขาหมอกเร้นลับได้ในที่สุด
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved