ตอนที่ 276

บุญคุณความแค้นสิ้นสุด

ร่างกายของหลิงซื่อไห่สั่นสะท้าน

ใบหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์

เมื่อตอนที่ออกจากเมืองวิญญาณเพลิง

เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคิดว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางหนีรอด

ถึงแม้ว่าความเร็วในการเติบโตของจี้เทียนซิงจะน่าทึ่ง

แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยยอดฝีมือระดับปราณจิตถึงเก้าคน

อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่ต้องปะทะกันจริงๆ

หลิงซื่อไห่ก็เพิ่งค้นพบว่าศักยภาพมันน่ากลัวเพียงใด !

นักฆ่าที่มีประสบการณ์เก้าคนนั้นมีความแข็งแกร่งในขอบเขตปราณจิตขั้นห้า

แต่พวกมันทั้งหมดกลับถูกเก็บไปทีละคนสองคนด้วยน้ำมือของจี้เทียนซิง จนกระทั่งถึงตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเพียงลำพัง

!

เมื่อได้เห็นจิตสังหารของจี้เทียนซิงที่แผ่ออกมา

ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บและรู้สึกผิด

เขาไม่เคยสำนึกเสียใจที่ดั้นด้นมายังดินแดนดาราบรรพกาลเพื่อตามล้างแค้นจี้เทียนซิง

แต่สิ่งที่เขาเสียใจและรู้สึกผิดยิ่งกว่าก็คือการที่ประมาณอีกฝ่ายเกินไป

เขาควรจะว่าจ้างนักฆ่าที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ !

ดวงตาของจี้เทียนซิงจ้องมองหลิงซื่อไห่อย่างรุนแรงก้าวร้าว

พลันคำรามด้วยเสียงต่ำว่า “หลิงซื่อไห่ เหลือแต่เจ้าคนเดียวแล้ว !”

“ตอนนี้จงมาสู้กันให้ตายไปข้าง อย่าได้คิดหนี

ถึงหนีก็หนีไม่พ้น !”

หลิงซื่อไห่มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สี่ใกล้จะตัดผ่านไปยังขั้นที่ห้าอยู่รอมร่อ

ส่วนจี้เทียนซิงประสบความสำเร็จในการบรรเทาจุดฝังเข็มระหว่างการต่อสู้ ในเวลานี้จุดฝังเข็มทั้งแปดของเส้นชีพจรลมปราณเส้นที่สามได้ถูกบรรเทาครบถ้วนแล้ว

ผลทำให้เขาก้าวเข้าสู้ขอบเขตปราณจิตขั้นที่สี่ !

ผลลัพธ์ของการต่อสู้นองเลือดในครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว....

หลิงซื่อไห่จ้องมองจี้เทียนซิงที่ค่อยๆใกล้เข้ามา

ทันใดนั้นเขาก็เก็บกระบี่กลับไปพลางตะโกนออกมาว่า “ช้าก่อนจี้เทียนซิง

! ฟังข้าพูดก่อน ขะ.. ข้าเชื่อเจ้าแล้ว

หยุนเฟยไม่ได้ถูกเจ้าสังหาร นี่ต้องเป็นการเข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน !”

“โปรดยั้งมือก่อน

ให้โอกาสข้าได้กลับไปตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมด

ข้าจะหาทางพิสูจน์และป่าวประกาศไปทั่วเมืองว่าเจ้าไม่ได้ทำ !”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิงซื่อไห่เริ่มหวาดกลัวจึงพูดออกมาว่าเชื่อคำพูดของจี้เทียนซิงก่อนหน้านี้

เพื่อขอให้อีกฝ่ายยั้งมือไว้ไมตรี

จี้เทียนซิงแหงนหน้าขึ้นฟ้าพลางส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน

“ฮะ.....ฮ่าๆๆ !

น่าขันนัก หลิงซื่อไห่เอ๋ยหลิงซื่อไห่

จนป่านนี้แล้วเจ้าเพิ่งจะเชื่อว่าข้ามิได้สังหารหยุนเฟยงั้นหรือ ?”

"ชะ  เชื่อ

! ข้าเชื่อแล้ว เชื่ออย่างแน่นอน!”

หลิงซื่อไห่ข่มความโกรธและความอัปยศอดสูเอาไว้

เขาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จี้เทียนซิงแสยะยิ้มด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายพลางกล่าวว่า

“เหอะ ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง

ถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่สำคัญแล้วก็เถอะ

ความจริงก็คือในคืนนั้นข้ามีความคิดที่จะสังหารหยุนเฟยจริง แต่นางถูกจี้หลิงช่วยเอาไว้และก็ถูกจี้หลิงสังหาร

จากนั้นมันก็โยนความผิดมาให้ข้า !”

หลิงซื่อไห่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

เห็นได้ชัดว่าเขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งสำหรับความจริงอันน่าตกใจนี้

แต่เพื่อความอยู่รอด

เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่ลังเลพลางกล่าวว่า “ใช่ๆ

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ข้าว่าแล้วเชียว !”

“จี้เทียนซิง

ในเมื่อเรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดกัน เช่นนั้นเจ้าควรจะปล่อยข้าไปตรวจสอบให้ชั

.......ด”

คำพูดของเขายังไม่ทันจะจบประโยคดีก็ถูกจี้เทียนซิงพูดขัดขึ้นมาทันทีว่า

“ไม่ได้ !”

น้ำเสียงของจี้เทียนซิงทวีความเยือกเย็นยิ่งขึ้น

“นับตั้งแต่วินาทีที่เจ้าไล่ล่าข้า

ชะตากรรมของเจ้าก็มีเพียงแค่ความตายเท่านั้น !”

“ในเมื่อเจ้ารู้ความจริงแล้วก็จงตายซะเถอะ !”

เมื่อสิ้นเสียงเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้หลิงซื่อไห่ได้อ้าปาก

และปะทุปราณกระบี่สองเล่มขึ้นมาทันทีเพื่อร่ายเพลงกระบี่ดาราเหินกระบวนท่าที่สอง

“วายุอัสนีบาต !!”

ปราณกระบี่ทองคำขนาดใหญ่สองเล่มส่องสว่างเจิดจ้าพุ่งไปทางซ้ายและขวา

จากนั้นควบรวมกันเป็นกระแสลมพายุอันเกรี้ยวกราด

ตามมาด้วยอัสนีบาตรที่ฟาดซัดเข้าใส่หลิงซื่อไห่อย่างกระทันหัน

“ครืน....... !”

เสียงดังสนั่นกึกก้องราวกับฟ้าระเบิด

ร่างของหลิงซื่อไห่ปลิวละลิ่วบนท้องฟ้า

กระบี่สีน้ำเงินของเขาหลุดมือและตกลงไปในพงหญ้าที่อยู่ไม่ไกล พื้นดินถูกขุดขึ้นเป็นหลุมยาวสามเมตรและทำให้ก้อนหินดินทรายและต้นไม้ถูกพัดปลิวกระจัดกระจาย

เสียงดังแสบแก้วหูดังก้องสะท้อนอย่างรุนแรงในหุบเขาลึกและกินเวลานาน

หลิงซื่อไห่รับกระบวนท่าวายุอัสนีบาตเข้าเต็มๆโดยไม่ได้ตั้งตัว

ร่างของเขาถูกสะบั้นผ่าเป็นหลุมขนาดใหญ่และถูกฝังอยู่ในโคลนใต้พื้นดิน

ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว

อย่างที่จี้เทียนซิงเคยพูดไว้

สายสัมพันธ์ของสกุลจี้กับสกุลหลิงขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิงนับตั้งแต่วันนั้น

ทางออกมีทางเดียวคือไม่เจ้าตายก็ข้าม้วย

หุบเขาเริ่มกลับมาเงียบสงบ

เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วจนหายใจไม่ออก

หลิงซื่อไห่ตาย

มือสังหารชุดดำห้าคนที่พาด้วยก็ตกตายไปสี่คน

เหลืออยู่เพียงคนเดียวที่ไม่ตายแต่ทว่าทั่วร่างของมันก็เต็มไปด้วยเลือดและอยู่ในสภาพที่แทบจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อ

จี้เทียนซิงก้าวเท้าเข้าหามันราวกับมัจจุราช

จากนั้นก็สะบัดปราณกระบี่ขนาดเล็กสายหนึ่งแทงทะลุคอปลิดชีวิตของมันเป็นรายสุดท้าย

“จบเสียที.......”

หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้วเขาก็ล้มตัวลงกับพื้นหญ้าใกล้ๆอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงและอ้าปากหอบหายใจถี่รัว

...............

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

ในที่สุดพละกำลังของเขาก็ฟื้นคืนขึ้นมาเล็กน้อย

เขาหยิบเม็ดยาจากแหวนมิติยัดเข้าปาก

จากนั้นก็พยายามชันกายขึ้นนั่งขัดสมาธิเพื่อปรับแต่งและฟื้นฟู

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ

หมอกยามเช้าของหุบเขาลึกก็ค่อยๆจางหายไป

พระอาทิตย์เริ่มทอแสงสีทองส่องลงมาในหุบเขา

หลังจากนั้นประมาณสองชั่วยามผ่านไป

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ระงับอาการบาดเจ็บได้บางส่วนและฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยแล้ว

เขาจัดการกับอาการบาดเจ็บภายนอก

เช็ดคราบเลือด จากนั้นก็เดินกลับทางเดิมออกจากหุบเขาลึก

หลังออกจากหุบเขา

ทุกอย่างในการเดินทางปลอดโปร่งโล่งสบาย ไร้ซึ่งอันตรายใดๆอีก จนกระทั่งถึงตอนเที่ยงเขาก็พบถ้ำแห้งแห่งหนึ่งในภูเขาจึงนั่งลงพักชั่วคราว

เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการจัดวางข่ายอาคมที่ปากทางเข้าถ้ำ

เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็นั่งคุกเข่าเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้กลับคืนมา

การตามถูกตามล่าและลอบสังหารในค่ำคืนนี้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและมีบาดแผลจำนวนมาก เขายังไม่กล้าออกเดินทางต่อให้ถึงจุดหมายในยามนี้  ดังนั้นจึงทำได้เพียงเร่งฟื้นฟูพลัง

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในยามเช้าของวันที่สาม

จี้เทียนซิงก็เสร็จสิ้นการฟื้นฟูพละกำลังและลืมตาขึ้นมาในที่สุด

หลังจากรักษาอาการติดต่อกันสามวันเต็ม

เขาใช้เม็ดยาฟื้นฟูไปถึงสี่เม็ดติดต่อกันกว่าจะฟื้นพลังปราณกลับมาได้ในที่สุด

สำหรับอาการบาดเจ็บภายในของเขานั้นก็หายดีได้หกเจ็ดส่วนแล้ว

ซึ่งไม่ใช่ปัญหาและไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว

เหลือแต่เพียงรอยแผลกระบี่ที่แห้งจนเกิดเป็นรอยแผลเป็นมากมาย

มันไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น

หลังจากรุ่งสาง

จี้เทียนซิงก็ออกจากถ้ำและปลุกเฉียนเยวี่ยในถุงมิติ

มันได้หลับพักผ่อนเป็นเวลาสองวันติดต่อกันจนพละกำลังฟื้นฟูขึ้นมาได้ถึงเก้าส่วนจนพร้อมบินต่อได้แล้ว

จี้เทียนซิงกระโดดขึ้นหลังของมันและออกเดินทางต่อไปยังเทือกเขาหมอกเร้นลับ

ในคืนนี้เฉียนเยวี่ยแบกจี้เทียนซิงบินไปหลายพันไมล์จนในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย

แม้จะเป็นวันที่อากาศแจ่มใสแต่เทือกเขาหมอกเร้นลับก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาหลายชั้นจนยากที่จะมองเห็น

ในเวลานี้เป็นช่วงกลางดึกทำให้หมอกของเทือกเขานั้นยิ่งหนาตาดูลึกลับและอันตรายมาก

จี้เทียนซิงไม่รีบร้อนบุ่มบ่ามเข้าไป แต่เขาบอกให้เฉียนเยวี่ยหยุดที่ปากทางเข้าหุบเขา “เฉียนเยวี่ย เทือกเขาหมอกเร้นลับนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย

พวกเราไม่ควรเข้าไปตอนกลางคืน

ดังนั้นพวกเราพักผ่อนกันแถวนี้ก่อนพอถึงเช้าค่อยเข้าไปกัน”

เฉียนเยวี่ยผงกศีรษะทำตามคำพูดของจี้เทียนซิง

มันลงจอดที่ปากทางเข้าหุบเขาและหดร่างลงเหลือขนาดเท่าลูกแมวตัวหนึ่ง

จากนั้นก็อ้าปากหาวกลับเข้าไปนอนในถุงมิติต่อ

จี้เทียนซิงยืนอยู่ที่ทางเข้าหุบเขา

ผ่านแสงดวงดาวของท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน

หุบเขาที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นหนึ่งในทางเข้าไปสู่เทือกเขาหมอกเร้นลับ

ทั่วทั้งหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนามานานหลายปี

เมื่อเดินผ่านหุบเขานี้ไปจนถึงสุดทางก็จะเข้าสู่แนวเทือกเขาหมอกเร้นลับได้ในที่สุด