ตอนที่ 223

ยามใดที่กาลเวลาหวนมาบรรจบ

เจ้าจะพบคำตอบ

หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่มนาน  มายามังกรทั้งเก้าตัวเหนือเวหายามราตรีก็ค่อยๆจางหายไป

ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่สงบ

ท้องฟ้าอันมืดมิดหวนปรากฏอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ณ ยอดเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำที่ยึดครองโดยเผ่าพันธุ์ปีศาจ

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตยืนเคียงข้างกันที่ตีนเขา

ใบหน้าอาบไล้สายลมที่พัดแรงยามราตรีในขณะที่หันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของนิกายพันธมิตรสวรรค์  ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความขุ่นแค้นเกลียดชัง

หลังจากนั้นไม่นาน

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็แค่นเสียงเย็น “ระยำ

! นิกายพันธมิตรสวรรค์  ! เจ้าพวกมนุษย์ชั่วช้า

!”

“พวกมันเปิดใช้งานมหาข่ายปราณขึ้นใหม่อีกครั้งได้สำเร็จจริงๆ

มันยับยั้งองค์จักรพรรดิปีศาจไว้ได้ !”

มหาปุโรหิตหรี่ตาลง

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหนาวเย็น

เขากล่าวด้วยเสียงต่ำว่า

“ข้าก็คิดไม่ถึงว่านิกายพันธมิตรสวรรค์จะลงมือรวดเร็วเพียงนี้  เมื่อคืน การเคลื่อนไหวของพวกเราล้มเหลว

พวกมันก็รีบวางมหาข่ายปราณในคืนต่อมาทันที”

“เมื่อคืนนี้พวกเราถือว่าโชคดีที่มีร่มหมอกปีศาจ มิฉะนั้นพวกเราคงตกตายภายใต้คมกระบี่ของฉู่เทียนเซิงไปแล้ว”

กล่าวจบเขาก็เลื่อนมือสัมผัสหน้าอกข้างซ้ายอย่างไม่รู้ตัวด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

อกซ้ายของเขามีรอยแผลกระบี่ที่ลึกและยาวจนเห็นกระดูกขาว

บาดแผลนี้เกิดเป็นสีดำและไม่อาจรักษาได้ในเวลาอันสั้น

หากกระบี่นี้เคลื่อนอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถเจาะทะลุหัวใจและจบชีวิตของเขาได้แล้ว

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยสวมเสื้อคลุมสีดำหลวมกว้างและเผยให้เห็นดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้น

เมื่อนางได้ยินคำพูดของมหาปุโรหิต

ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังลึกล้ำ  ช่วงเหตุการณ์บุกนิกายพันธมิตรสวรรค์เมื่อคืนก่อน

รากวิญญาณของนางแนบอยู่กับร่างของซู่หลาน

หลังจากถูกฉู่เทียนเซิงจับได้

นางก็ถูกอีกฝ่ายกระบี่เข้าใส่หัวใจและลำคอ

อย่างไรก็ตาม

ผู้ถูกสังหารก็คือซู่หลาน

รากวิญญาณดั้งเดิมของนางหนีจากร่างของซู่หลานและหนีออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ทัน

หลังจากการช่วยเหลือของมหาปุโรหิต

เมื่อคิดถึงการล้างสังหารเมื่อคืนที่ผ่านมา

มีคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจมากกว่าสามสิบคนที่ตกตายภายใต้น้ำมือของฉู่เทียนเซิงและเซี่ยงหวู่จี้

มันทำให้นางเกลียดชังนิกายพันธมิตรสวรรค์มากยิ่งขึ้น

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน

นางก็หันไปมองมหาปุโรหิตที่อยู่ข้างและถามว่า “มหาปุโรหิต

ตอนนี้นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้เริ่มวางผนึกมหาข่ายปราณอีกครั้งสำเร็จแล้ว

ในระยะเวลาอันสั้นองค์จักรพรรดิปีศาจจะไม่สามารถทลายผนึกมหาข่ายปราณออกมาได้อย่างแน่นอน

ต่อให้เรายกกองกำลังทั้งหมดบุกเข้านิกายไปก็ยังไม่อาจคลายผนึกมหาข่ายปราณได้เช่นกัน”

“เช่นนั้นแล้ว พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป ?”

มหาปุโรหิตขมวดคิ้วชั่วครู่หนึ่ง

จากนั้นดวงตาของเขาก็ทอประกายเย้ยหยันและนึกแผนการบางอย่างขึ้นได้

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ท่านย่อมทราบว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนแต่เป็นพวกเสแสร้ง, เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกและโลภโมโทสันเป็นที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของพวกมันและพวกพ้อง

พวกมันไม่เคยสนใจความเป็นความตายและการฆ่าล้างกันเอง”

“ดังนั้น หากพวกเราต้องการจัดการกับนิกายพันธมิตรสวรรค์

พวกเราไม่จำเป็นต้องออกแรงเอง”

“เมื่อสบโอกาสเหมาะๆ

พวกเราก็สามารถใช้พลังของนิกายของพวกมนุษย์ได้

หึๆๆ....”

ในขณะที่พูด

มหาปุโรหิตก็แสยะยิ้มเย้ยหยันอย่างลึกลับ

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางถามว่า

“มหาปุโรหิต ท่านมีแผนการแล้วหรือ ? ท่านคิดจะยืมพลังของนิกายอื่นอย่างไร ?”

“เหอเหอ แน่นอน ข้ามีแผนการที่ยอดเยี่ยมแล้ว”

เมื่อคิดแผนการได้

มหาปุโรหิตก็กล่าวด้วยเสียงมั่นใจว่า “องค์หญิง

ช่วงนี้ท่านพักรักษาตัวก่อนเถิด

จากนี้อีกไม่นานข้าจะให้ท่านได้ชมดูการต่อสู้ดีๆของเผ่าพันธุ์มนุษย์ !”

เมื่อได้ยินเช่นนี้

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นเรื่อยๆและถามว่า “มหาปุโรหิต ท่านหมายความว่า….. จะใช้นิกายกระบี่ฟ้าเป็นเครื่องมือ ?”

มหาปุโรหิตเชิดหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสองมือไพล่หลัง

จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มลึกลับ

…….......

รุ่งสาง

จี้เทียนซิงก็กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ตอนที่ออกจากถ้ำใต้ดิน

ฉู่เทียนเซิงได้มอบเม็ดยาหยกน้ำค้างให้เขาสองเม็ดเพื่อช่วยในการฟื้นฟูพลังลมปราณ

ทั้งหมดทั้งมวล

เราก็ใช้แก่นโลหิตไปถึงสี่หยดเพื่อเปิดการทำงานของมหาข่ายปราณ  ซึ่งแก่นโลหิตนั้นแตกต่างจากโลหิตธรรมดา  มันคือแก่นแท้ที่เกิดจากการควบแน่นของสายโลหิต

เมื่อมันผสานกับพลังปราณก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์อันทรงพลัง

ทุกครั้งที่ผู้ฝึกยุทธ์สูญเสียแก่นโลหิตไปหนึ่งหยด

พลังลมปราณในร่างก็จะปั่นป่วนและได้รับความเสียหายไปด้วย

ยิ่งสูญเสียแก่นโลหิตไปมากเท่าใดก็จะยิ่งส่งผลต่อขอบเขตพลังยุทธ์และจะเกิดผลที่ร้ายแรงตามมา

ในคืนนี้จี้เทียนซิงสูญเสียทั้งแก่นโลหิตและพลังวิญญาณเพื่อใช้ควบคุมอาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจ  มันทำให้เขาอ่อนล้าอย่างมาก

เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็ยังคงหน้าซีดและมีลมหายใจที่ไม่มั่นคง

เขารีบเข้าไปในห้องลับและหยิบเม็ดยาหยกน้ำค้างที่ฉู่เทียนเซิงให้มาเพื่อรีบฟื้นฟูพลังปราณอย่างรวดเร็ว

หนึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เช้าวันรุ่งขึ้น

ในที่สุดเขาก็กลั่นกรองประสิทธิผลของเม็ดยาหยกน้ำค้างจนหมดและฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ

หลังจากฟื้นฟูอาการบอบช้ำเสร็จ

เขาก็ยังไม่ได้ออกจากห้องลับ

เมื่อระลึกย้อนไปถึงประโยคสุดท้ายของปีศาจไร้พ่าย

จิตใจของเขาก็ว้าวุ่นและเต็มไปด้วยความสงสัย

ในใจเขาคาดเดาบางสิ่งได้อย่างเลือนราง

แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจถามจิตวิญญาณกระบี่จางเทียนเกี่ยวกับเรื่องนี้

เขารวบรวมสติเข้าไปในหลุมดำที่ตันเถียน

จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่สุสานเทพกระบี่

วูบ

!

ชายหนุ่มบินผ่านท้องฟ้าสีเทาและพื้นที่รกร้างว่างเปล่าอันเย็นเยือก   ในไม่ช้าเขาก็มาถึงใต้อนุสาวรีย์กระบี่สีดำ

“ผู้อาวุโสจางเทียน ท่านอยู่หรือไม่

ข้ามีเรื่องบางประการคิดสอบถาม !”

จี้เทียนซิงตะโกนไปที่อนุสาวรีย์กระบี่

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

ความผันผวนของไอกระบี่อันคมกริบปรากฏขึ้น เสียงแผ่วเบาของจางเทียนก็ดังกระทบโสต

“เจ้าหนู มีเรื่องอะไร ?”

จี้เทียนซิงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

“ผู้อาวุโสจางเทียน เรื่องเป็นเช่นนี้”

“ในส่วนลึกใต้ยอดเขาเมฆาสีชาดของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นผนึกไว้ด้วยปีศาจไร้เทียมทานจากอดีตกาลตนหนึ่ง  จากคำบอกเล่าของประมุขนิกาย

ปีศาจไร้พ่ายตนนั้นถูกสังหารด้วยน้ำมือของสุดยอดเซียนกระบี่ผู้หนึ่งเมื่อพันกว่าปีก่อน…”

ชายหนุ่มเริ่มเล่าตำนานของปีศาจไร้พ่ายและสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเขาในถ้ำอาคมเมื่อคืนก่อน

หลังจากที่เขาเล่าจบ  จิตวิญญาณกระบี่จางเทียนก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมและแฝงความลึกลับสงสัยขึ้นเล็กน้อย เขาถามกลับว่า

“เจ้าหนู หลังจากที่เจ้าเริ่มวางผนึกมหาข่ายปราณ ปีศาจไร้พ่ายที่เจ้าว่าก็ส่งเสียงคำรามและดูเหมือนจะพุ่งจิตสังหารมาหาเจ้างั้นหรือ

?”

“เจ้าแน่ใจนะว่าเสียงกระซิบแผ่วเบาของปีศาจตนนั้นส่งมาถึงเจ้า

??”

จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า

“ผู้อาวุโสจางเทียน ข้าเชื่อมั่นในสัญชาตญาณและจิตสัมผัสของตนเอง

!”

“…………… !”

จิตวิญญาณกระบี่จางเทียนเงียบไปครู่ใหญ่และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า

“เจ้าปีศาจนั่นพูดอะไรกับเจ้า”

จี้เทียนซิงตอบกลับตามความเป็นจริง

“มันพูดออกมาเป็นภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ข้าฟังไม่เข้าใจ”

“แต่ผู้อาวุโสเซี่ยงทราบและแปลให้ข้าฟัง  มันพูดว่า

[เป็นเจ้า ? อย่างเจ้าก็มีวันนี้ด้วย

!?]”

“……………”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้จางเทียนก็เงียบไปอีกครั้งและไม่พูดอะไรออกมา

จี้เทียนซิงเอ่ยปากทำลายความเงียบงันด้วยสีหน้างุนงง

“ผู้อาวุโสจางเทียน ข้าอายุเพียง 17 ปี เป็นสามัญชนจากเมืองจักรวรรดิ

เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะมีความสัมพันธ์ใดๆที่เกี่ยวข้องกับปีศาจไร้พ่ายเมื่อพันกว่าปีก่อน”

“คำพูดที่มันพูดมาต้องไม่ได้หมายถึงข้า

ดังนั้นข้าเดาว่า

เป็นไปได้หรือไม่ว่าปีศาจไร้พ่ายมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเทพกระบี่ ?  ประโยคนั้นของมันหมายถึงเทพกระบี่หรือเปล่า ?

หรือมันอาจจะสัมผัสได้ถึงสุสานเทพกระบี่ที่จุดตันเถียนของข้า ?”

“……………..”

จางเทียนยังคงนิ่งเงียบและดูเหมือนเขากำลังขบคิดอยู่ว่าจะตอบคำถามของจี้เทียนซิงอย่างไร

จี้เทียนซิงอดทนรอคำตอบจากอีกฝ่ายอยู่นาน

จนกระทั่งไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผันผวนแห่งชีวิตและอารมณ์ที่ไม่แยแสก็ดังขึ้นในที่สุดว่า  “โดยธรรมชาติของโลก, หลายสิ่งหลายอย่างเหมือนจะพ้องต้องกันด้วยเหตุบังเอิญ  แต่ไม่เลย มันเป็นเพราะประสงค์ของทวยเทพ”

“คนธรรมดาพยายามไขความลับเพราะอยากที่จะเข้าใจและสำรวจในทุกสรรพสิ่งที่ไม่เคยรู้  แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกมันได้รับก็คือความลับที่ไม่จบไม่สิ้น”

“อย่าใคร่รู้ในสิ่งที่เจ้ายังไม่ควรรู้ ยามใดที่กาลเวลาหวนมาบรรจบ

เจ้าจะพบคำตอบเอง”