ยามใดที่กาลเวลาหวนมาบรรจบ
เจ้าจะพบคำตอบ
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่มนาน มายามังกรทั้งเก้าตัวเหนือเวหายามราตรีก็ค่อยๆจางหายไป
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่สงบ
ท้องฟ้าอันมืดมิดหวนปรากฏอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ณ ยอดเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำที่ยึดครองโดยเผ่าพันธุ์ปีศาจ
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตยืนเคียงข้างกันที่ตีนเขา
ใบหน้าอาบไล้สายลมที่พัดแรงยามราตรีในขณะที่หันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของนิกายพันธมิตรสวรรค์ ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความขุ่นแค้นเกลียดชัง
หลังจากนั้นไม่นาน
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็แค่นเสียงเย็น “ระยำ
! นิกายพันธมิตรสวรรค์ ! เจ้าพวกมนุษย์ชั่วช้า
!”
“พวกมันเปิดใช้งานมหาข่ายปราณขึ้นใหม่อีกครั้งได้สำเร็จจริงๆ
มันยับยั้งองค์จักรพรรดิปีศาจไว้ได้ !”
มหาปุโรหิตหรี่ตาลง
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหนาวเย็น
เขากล่าวด้วยเสียงต่ำว่า
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่านิกายพันธมิตรสวรรค์จะลงมือรวดเร็วเพียงนี้ เมื่อคืน การเคลื่อนไหวของพวกเราล้มเหลว
พวกมันก็รีบวางมหาข่ายปราณในคืนต่อมาทันที”
“เมื่อคืนนี้พวกเราถือว่าโชคดีที่มีร่มหมอกปีศาจ มิฉะนั้นพวกเราคงตกตายภายใต้คมกระบี่ของฉู่เทียนเซิงไปแล้ว”
กล่าวจบเขาก็เลื่อนมือสัมผัสหน้าอกข้างซ้ายอย่างไม่รู้ตัวด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
อกซ้ายของเขามีรอยแผลกระบี่ที่ลึกและยาวจนเห็นกระดูกขาว
บาดแผลนี้เกิดเป็นสีดำและไม่อาจรักษาได้ในเวลาอันสั้น
หากกระบี่นี้เคลื่อนอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถเจาะทะลุหัวใจและจบชีวิตของเขาได้แล้ว
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยสวมเสื้อคลุมสีดำหลวมกว้างและเผยให้เห็นดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้น
เมื่อนางได้ยินคำพูดของมหาปุโรหิต
ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังลึกล้ำ ช่วงเหตุการณ์บุกนิกายพันธมิตรสวรรค์เมื่อคืนก่อน
รากวิญญาณของนางแนบอยู่กับร่างของซู่หลาน
หลังจากถูกฉู่เทียนเซิงจับได้
นางก็ถูกอีกฝ่ายกระบี่เข้าใส่หัวใจและลำคอ
อย่างไรก็ตาม
ผู้ถูกสังหารก็คือซู่หลาน
รากวิญญาณดั้งเดิมของนางหนีจากร่างของซู่หลานและหนีออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ทัน
หลังจากการช่วยเหลือของมหาปุโรหิต
เมื่อคิดถึงการล้างสังหารเมื่อคืนที่ผ่านมา
มีคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจมากกว่าสามสิบคนที่ตกตายภายใต้น้ำมือของฉู่เทียนเซิงและเซี่ยงหวู่จี้
มันทำให้นางเกลียดชังนิกายพันธมิตรสวรรค์มากยิ่งขึ้น
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน
นางก็หันไปมองมหาปุโรหิตที่อยู่ข้างและถามว่า “มหาปุโรหิต
ตอนนี้นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้เริ่มวางผนึกมหาข่ายปราณอีกครั้งสำเร็จแล้ว
ในระยะเวลาอันสั้นองค์จักรพรรดิปีศาจจะไม่สามารถทลายผนึกมหาข่ายปราณออกมาได้อย่างแน่นอน
ต่อให้เรายกกองกำลังทั้งหมดบุกเข้านิกายไปก็ยังไม่อาจคลายผนึกมหาข่ายปราณได้เช่นกัน”
“เช่นนั้นแล้ว พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป ?”
มหาปุโรหิตขมวดคิ้วชั่วครู่หนึ่ง
จากนั้นดวงตาของเขาก็ทอประกายเย้ยหยันและนึกแผนการบางอย่างขึ้นได้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ท่านย่อมทราบว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนแต่เป็นพวกเสแสร้ง, เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกและโลภโมโทสันเป็นที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของพวกมันและพวกพ้อง
พวกมันไม่เคยสนใจความเป็นความตายและการฆ่าล้างกันเอง”
“ดังนั้น หากพวกเราต้องการจัดการกับนิกายพันธมิตรสวรรค์
พวกเราไม่จำเป็นต้องออกแรงเอง”
“เมื่อสบโอกาสเหมาะๆ
พวกเราก็สามารถใช้พลังของนิกายของพวกมนุษย์ได้
หึๆๆ....”
ในขณะที่พูด
มหาปุโรหิตก็แสยะยิ้มเย้ยหยันอย่างลึกลับ
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางถามว่า
“มหาปุโรหิต ท่านมีแผนการแล้วหรือ ? ท่านคิดจะยืมพลังของนิกายอื่นอย่างไร ?”
“เหอเหอ แน่นอน ข้ามีแผนการที่ยอดเยี่ยมแล้ว”
เมื่อคิดแผนการได้
มหาปุโรหิตก็กล่าวด้วยเสียงมั่นใจว่า “องค์หญิง
ช่วงนี้ท่านพักรักษาตัวก่อนเถิด
จากนี้อีกไม่นานข้าจะให้ท่านได้ชมดูการต่อสู้ดีๆของเผ่าพันธุ์มนุษย์ !”
เมื่อได้ยินเช่นนี้
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นเรื่อยๆและถามว่า “มหาปุโรหิต ท่านหมายความว่า….. จะใช้นิกายกระบี่ฟ้าเป็นเครื่องมือ ?”
มหาปุโรหิตเชิดหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสองมือไพล่หลัง
จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มลึกลับ
…….......
รุ่งสาง
จี้เทียนซิงก็กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น
ตอนที่ออกจากถ้ำใต้ดิน
ฉู่เทียนเซิงได้มอบเม็ดยาหยกน้ำค้างให้เขาสองเม็ดเพื่อช่วยในการฟื้นฟูพลังลมปราณ
ทั้งหมดทั้งมวล
เราก็ใช้แก่นโลหิตไปถึงสี่หยดเพื่อเปิดการทำงานของมหาข่ายปราณ ซึ่งแก่นโลหิตนั้นแตกต่างจากโลหิตธรรมดา มันคือแก่นแท้ที่เกิดจากการควบแน่นของสายโลหิต
เมื่อมันผสานกับพลังปราณก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์อันทรงพลัง
ทุกครั้งที่ผู้ฝึกยุทธ์สูญเสียแก่นโลหิตไปหนึ่งหยด
พลังลมปราณในร่างก็จะปั่นป่วนและได้รับความเสียหายไปด้วย
ยิ่งสูญเสียแก่นโลหิตไปมากเท่าใดก็จะยิ่งส่งผลต่อขอบเขตพลังยุทธ์และจะเกิดผลที่ร้ายแรงตามมา
ในคืนนี้จี้เทียนซิงสูญเสียทั้งแก่นโลหิตและพลังวิญญาณเพื่อใช้ควบคุมอาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจ มันทำให้เขาอ่อนล้าอย่างมาก
เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็ยังคงหน้าซีดและมีลมหายใจที่ไม่มั่นคง
เขารีบเข้าไปในห้องลับและหยิบเม็ดยาหยกน้ำค้างที่ฉู่เทียนเซิงให้มาเพื่อรีบฟื้นฟูพลังปราณอย่างรวดเร็ว
หนึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันรุ่งขึ้น
ในที่สุดเขาก็กลั่นกรองประสิทธิผลของเม็ดยาหยกน้ำค้างจนหมดและฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ
หลังจากฟื้นฟูอาการบอบช้ำเสร็จ
เขาก็ยังไม่ได้ออกจากห้องลับ
เมื่อระลึกย้อนไปถึงประโยคสุดท้ายของปีศาจไร้พ่าย
จิตใจของเขาก็ว้าวุ่นและเต็มไปด้วยความสงสัย
ในใจเขาคาดเดาบางสิ่งได้อย่างเลือนราง
แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจถามจิตวิญญาณกระบี่จางเทียนเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขารวบรวมสติเข้าไปในหลุมดำที่ตันเถียน
จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่สุสานเทพกระบี่
วูบ
!
ชายหนุ่มบินผ่านท้องฟ้าสีเทาและพื้นที่รกร้างว่างเปล่าอันเย็นเยือก ในไม่ช้าเขาก็มาถึงใต้อนุสาวรีย์กระบี่สีดำ
“ผู้อาวุโสจางเทียน ท่านอยู่หรือไม่
ข้ามีเรื่องบางประการคิดสอบถาม !”
จี้เทียนซิงตะโกนไปที่อนุสาวรีย์กระบี่
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
ความผันผวนของไอกระบี่อันคมกริบปรากฏขึ้น เสียงแผ่วเบาของจางเทียนก็ดังกระทบโสต
“เจ้าหนู มีเรื่องอะไร ?”
จี้เทียนซิงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสจางเทียน เรื่องเป็นเช่นนี้”
“ในส่วนลึกใต้ยอดเขาเมฆาสีชาดของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นผนึกไว้ด้วยปีศาจไร้เทียมทานจากอดีตกาลตนหนึ่ง จากคำบอกเล่าของประมุขนิกาย
ปีศาจไร้พ่ายตนนั้นถูกสังหารด้วยน้ำมือของสุดยอดเซียนกระบี่ผู้หนึ่งเมื่อพันกว่าปีก่อน…”
ชายหนุ่มเริ่มเล่าตำนานของปีศาจไร้พ่ายและสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเขาในถ้ำอาคมเมื่อคืนก่อน
หลังจากที่เขาเล่าจบ จิตวิญญาณกระบี่จางเทียนก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมและแฝงความลึกลับสงสัยขึ้นเล็กน้อย เขาถามกลับว่า
“เจ้าหนู หลังจากที่เจ้าเริ่มวางผนึกมหาข่ายปราณ ปีศาจไร้พ่ายที่เจ้าว่าก็ส่งเสียงคำรามและดูเหมือนจะพุ่งจิตสังหารมาหาเจ้างั้นหรือ
?”
“เจ้าแน่ใจนะว่าเสียงกระซิบแผ่วเบาของปีศาจตนนั้นส่งมาถึงเจ้า
??”
จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า
“ผู้อาวุโสจางเทียน ข้าเชื่อมั่นในสัญชาตญาณและจิตสัมผัสของตนเอง
!”
“…………… !”
จิตวิญญาณกระบี่จางเทียนเงียบไปครู่ใหญ่และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า
“เจ้าปีศาจนั่นพูดอะไรกับเจ้า”
จี้เทียนซิงตอบกลับตามความเป็นจริง
“มันพูดออกมาเป็นภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ข้าฟังไม่เข้าใจ”
“แต่ผู้อาวุโสเซี่ยงทราบและแปลให้ข้าฟัง มันพูดว่า
[เป็นเจ้า ? อย่างเจ้าก็มีวันนี้ด้วย
!?]”
“……………”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้จางเทียนก็เงียบไปอีกครั้งและไม่พูดอะไรออกมา
จี้เทียนซิงเอ่ยปากทำลายความเงียบงันด้วยสีหน้างุนงง
“ผู้อาวุโสจางเทียน ข้าอายุเพียง 17 ปี เป็นสามัญชนจากเมืองจักรวรรดิ
เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะมีความสัมพันธ์ใดๆที่เกี่ยวข้องกับปีศาจไร้พ่ายเมื่อพันกว่าปีก่อน”
“คำพูดที่มันพูดมาต้องไม่ได้หมายถึงข้า
ดังนั้นข้าเดาว่า
เป็นไปได้หรือไม่ว่าปีศาจไร้พ่ายมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเทพกระบี่ ? ประโยคนั้นของมันหมายถึงเทพกระบี่หรือเปล่า ?
หรือมันอาจจะสัมผัสได้ถึงสุสานเทพกระบี่ที่จุดตันเถียนของข้า ?”
“……………..”
จางเทียนยังคงนิ่งเงียบและดูเหมือนเขากำลังขบคิดอยู่ว่าจะตอบคำถามของจี้เทียนซิงอย่างไร
จี้เทียนซิงอดทนรอคำตอบจากอีกฝ่ายอยู่นาน
จนกระทั่งไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผันผวนแห่งชีวิตและอารมณ์ที่ไม่แยแสก็ดังขึ้นในที่สุดว่า “โดยธรรมชาติของโลก, หลายสิ่งหลายอย่างเหมือนจะพ้องต้องกันด้วยเหตุบังเอิญ แต่ไม่เลย มันเป็นเพราะประสงค์ของทวยเทพ”
“คนธรรมดาพยายามไขความลับเพราะอยากที่จะเข้าใจและสำรวจในทุกสรรพสิ่งที่ไม่เคยรู้ แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกมันได้รับก็คือความลับที่ไม่จบไม่สิ้น”
“อย่าใคร่รู้ในสิ่งที่เจ้ายังไม่ควรรู้ ยามใดที่กาลเวลาหวนมาบรรจบ
เจ้าจะพบคำตอบเอง”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved