ตอนที่ 251

ชะตากรรมนางสนมแห่งโอรสสวรรค์

ที่จริงแล้วขุมกำลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจในยุคนี้ไม่แข็งแกร่งนัก

ไม่ว่าจะเป็นนิกายใดจากนิกายใหญ่ทั้งแปดก็เพียงพอในการทำลายล้างพวกมันได้แล้ว

สาเหตุที่พวกมันเป็นปัญหาคาราคาซังมานานเพียงนี้ก็สืบเนื่องมาจากสถานที่กบดานของพวกมันต่างหากที่ทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากมากขึ้น

ในเมื่อนิกายพันธมิตรสวรรค์แจ้งว่าพบที่กบดานของพวกมันแล้ว

ดังนั้นดินแดนดาราบรรพกาลก็จะปลอดภัยและสงบสุขในไม่ช้า ?

อย่างไรก็ตาม

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ามุ่นหัวคิ้วพลางจ้องมองหยุนเหยาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และถามว่า “หยุนเหยานี่เป็นเพียงความด้านเดียวจากปากของเจ้า

จะให้ทุกคนเชื่อได้อย่างไร ?”

“เผ่าพันธุ์ปีศาจเจ้าเล่ห์หลักแหลมและมีไหวพริบ

พวกเราทุกคนต่างมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ประมุขนิกายทุกคนรวมถึงข้าต่างก็เคยต่อสู้กับพวกมันมานานหลายปีแต่ก็ยังไม่สามารถหาที่ซ่อนของพวกมันได้

แล้วเจ้าพบมันได้อย่างไร ? เหลวไหลสิ้นดี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็เงียบ

ประมุขทั้งหลายต่างก็เบนสายตาไปมองนางเพื่อรอฟังคำอธิบาย

หยุนเหยามองดูประมุขนิกายกระบี่ฟ้าด้วยสีหน้าสงบราบเรียบพลางกล่าวว่า

“ท่านประมุขนิกายกระบี่ฟ้า

นิกายพันธมิตรสวรรค์เราใช้วิธีการใดในการแกะรอยฐานที่มั่นของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้น

เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องรายงานให้ท่านทราบด้วยหรือ ?”

“ในสภาแปดนิกายอันทรงเกียรตินี้

ผู้เยาว์อย่างข้าไม่มีทางกล่าววาจาโป้ปดเหลวไหลแม้เพียงครึ่งคำ”

“นอกจากนี้ มันไม่สำคัญว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ต่อให้ท่านไม่ส่งคนมาร่วมทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ตาม

เพียงนิกายพันธมิตรสวรรค์เราก็สามารถจัดการเรื่องนี้เองได้อย่างง่ายดาย !”

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าขมวดคิ้วและเงียบไปอยู่นาน

เขาขบคิดในใจอย่างลับๆว่า

“เหอะ

น่าขันสิ้นดี

หากนิกายพันธมิตรสวรรค์ของพวกเจ้ามีความสามารถพอที่จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ง่ายดายอย่างที่พูดจริง

ทำไมถึงไม่ทำแต่แรกเล่า ? รอจนถึงตอนนี้แล้วค่อยพูดหาพระแสงอันใด

?”

“ตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจอ่อนแอลงจริง

แต่พวกมันก็มีความกล้าบ้าบิ่นและมีสมบัติลับในมือที่ไม่ธรรมดา

หากนิกายพันธมิตรสวรรค์คิดจะแลกหมัดให้พินาศกันไปข้าง

อย่างน้อยๆก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล”

“ยิ่งถ้าพวกเจ้าบ้าระห่ำบุกฐานเผ่าปีศาจจริง

เช่นนั้นก็เข้าทางข้าพอดี

ข้าประมุขผู้นี้จะคอยชมดูความพินาศสิ้นของนิกายพันธมิตรสวรรค์และเผ่าปีศาจ ! ดูซิว่าถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงพวกเจ้าจะส่งคนมาขอความช่วยเหลือหรือไม่”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็นิ่งเงียบไปและทอดสายตามองดูหมู่ดาวบนท้องฟ้าอย่างเฉยเมย

เวทีแห่งดวงดาราตกอยู่ในความเงียบงัน

ประมุขของแต่ละนิกายนั่งพิจารณาเรื่องนี้อย่างเงียบงัน

ถึงแม้ว่าการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อรักษาความสงบสุขของดินแดนดาราบรรพกาลจะเป็นหน้าที่และภารกิจของผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนก็ตามที

ทว่า

แผนการใหญ่เช่นนี้ย่อมมีราคาค่างวดที่สูงลิบลิ่ว

การบาดเจ็บล้มตายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผลทำให้ประมุขทั้งหลายต้องชั่งน้ำหนักผลกำไรขาดทุนให้ดีและจะไม่รีบร้อนเข้าร่วมในเรื่องนี้

ในเวลานี้เอง

หญิงชราสุ่ยเยวี่ย ประมุขแห่งนิกายฤทัยจันทราก็กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทั้งแปดนิกายใหญ่  แน่นอนว่านิกายฤทัยจันทราของข้าย่อมไม่นิ่งดูดาย

หยุนเหยา, เมื่อใดที่เจ้าตัดสินใจจะลงมือขั้นเด็ดขาด

จงส่งข่าวต่อข้าทันที ข้าจะส่งกำลังเสริมมาช่วยเจ้าอย่างเต็มที่”

หยุนเหยาพยักหน้าและประสานมือคารวะ

“น้ำใจของท่านประมุขสุ่ยหยุนเหยาซาบซึ้งนัก

โปรดรับการคารวะ”

ใบหน้าที่ชราภาพและเต็มไปด้วยริ้วรอยของสุ่ยเยวี่ยเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่น

นางกล่าวต่อไปว่า “หยุนเหยา เจ้าไม่ต้องเกรงใจ การกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นหน้าที่ของนิกายข้าเช่นกัน"

เมื่อสุ่ยเยวี่ยกล่าวจบ

จ้าวสำนักหลิวเหอก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเผ่าพันธุ์ปีศาจได้สังหารคนของสำนักข้าไปมากมาย

อีกทั้งยังทำลายเส้นชีพจรวิญญาณที่ล้ำค่าไปหลายแห่ง

ดังนั้นหากมีการลงมือครั้งใหญ่จริงก็จงนับสำนักหลิวเหอของข้ารวมเข้าไปด้วย

ข้าจะล้างแค้นให้กับสาวกที่ตายไป !”

“หยุนเหยาในวันที่เจ้าจะลงมือ สำนักข้าจะส่งยอดฝีมือไปช่วยเจ้าแน่นอน”

หยุนเหยากล่าวคารวะขอบคุณต่อจ้าวสำนักหลิวเหออย่างซาบซึ้ง

เมื่อเห็นฉากนี้ประมุขของนิกายที่เหลือก็หันไปมองหน้ากันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

ในที่สุด

ชายกำยำร่างสูงที่มีผมสีเทาผู้หนึ่งผุดยืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นิกายตันติงของข้าก็แข็งแกร่งไม่น้อยหน้าพวกท่าน

การทำลายล้างเผ่าปีศาจเพื่อเซ่นสรวงดวงวิญญาณให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือพวกมันเป็นสิ่งที่ชาวยุทธ์อย่างข้าควรทำ

นิกายข้าขอเข้าร่วมด้วยอีกคน”

หยุนเหยากล่าวขอบคุณประมุขนิกายตันติงอย่างนอบน้อม

อย่างไรก็ตาม

หลังจากนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยปากอีก

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและประมุขของนิกายอื่นอีกสามคนต่างก็นั่งกอดอกหลับตาอย่างไม่แยแสสนใจ

พวกเขาไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือ

หยุนเหยารู้ดีว่านิกายที่เหลือนั้นต่างก็อยู่ใกล้กับนิกายกระบี่ฟ้าและสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

ดังนั้นพวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

นางไม่สนใจประมุขที่ไม่คิดจะร่วมมือ

พลางหันหน้าไปสนทนากับประมุขนิกายฤทัยจันทรา สำนักหลิวเหอและนิกายตันติงแทน

“ท่านประมุขสุ่ย, ท่านเหยียนจางเหมิน, ท่านฉีจงจู ผู้เยาว์หยุนเหยาขอบคุณพวกท่านมากสำหรับความช่วยเหลือ พรุ่งนี้ข้าจะส่งข้อความไปที่นิกายแจ้งให้หน่วยสอดแนมตรวจสอบและยืนยันว่าเผ่าปีศาจไม่ได้ย้ายแหล่งกบดาน

จากนั้นพวกเราคงพร้อมที่จะลงมือได้ทันที”

จ้าวสำนักหลิวเหอพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“วิเศษมาก แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็เจ้าเล่ห์เพทุบาย

ข้าเกรงว่ามันจะรู้ตัวและหลบหนีไปก่อน”

ประมุขนิกายตันติง, ฉีจูจงลูบเคราสีเทาของเขาพลางกล่าวว่า “หยุนเหยา ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้า หน้าที่นี้ยกให้เจ้าแล้ว  เมื่อใดที่เจ้าพร้อมจะลงมือ

ข้าจะส่งยอดฝีมือของนิกายไปสักหลายคนให้รับฟังคำสั่งและคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่”

สุ่ยเยวี่ยเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“หยุนเหยา เจ้าวางใจได้ แม่เฒ่าผู้นี้ก็จะส่งยอดฝีมือไปสนับสนุนเจ้าแน่นอน

รอให้เจ้าตรวจสอบยืนยันแน่ชัดว่าพวกมันยังกบดานอยู่ที่เดิม

พวกเราทั้งหมดก็ลงมือพร้อมกัน”

หยุนเหยา

เหยียนจางเหมินและฉีจูจงต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของสุ่ยเยวี่ย

เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย

ทั้งสี่คนก็เงียบลง

หลังจากนั้นไม่นาน

เมื่อประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเห็นว่าหยุนเหยาและประมุขนิกายที่เหลือไม่ได้สนทนากันต่อ

เขาก็ประกาศเรื่องที่สองออกมาดังๆว่า

“ในเมื่อภารกิจในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นกระทำโดยนิกายพันธมิตรสวรรค์

นิกายฤทัยจันทรา สำนักหลิวเหอและนิกายตันติงแล้ว

เช่นนั้นข้าประมุขก็ขออวยพรให้ประสบชัย

ข้าจะรอคอยชัยชนะของพวกท่านในการคืนความสงบสุขให้แก่ดินแดนดาราบรรพกาลเรา”

“ต่อไปนี้ข้าขอประกาศเรื่องสำคัญอีกเรื่อง มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชะตากรรมของแปดนิกายใหญ่เราและอาณาจักรเทียนเฉินทั้งหมด

!”

เสียงดังกังวานของประมุขนิกายกระบี่ฟ้านั้นแผ่กระจายไปทั่วเวทีแห่งดวงดารา

น้ำเสียงของเขาดังสะท้อนเขาไปในใจของทุกคน

ฝูงชนเงียบลงและหันไปมองเขาเป็นจุดเดียว

ดูเหมือนว่าประมุขนิกายหลายคนจะทราบข่าวนี้อยู่ก่อนแล้ว

และคาดเดาได้ว่าเขาจะประกาศเรื่องอะไร ดังนั้นบางส่วนจึงนั่งกอดอกหลับตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าพูดต่อไปด้วยเสียงต่ำว่า

“เป็นที่ทราบกันดีว่า พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีอยู่หลายร้อยล้านคนในดินแดนทางใต้ซึ่งอยู่ในอาณัติของแผ่นดินใหญ่”

“ตี้จวิน (เทวราชา)* ไม่เพียงแค่เป็นยอดฝีมือสูงสุดของเผ่าพันธุ์เราเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ค้ำจุนของเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกด้วย

ด้วยบุญบารมีของท่านทำให้พวกเราสามารถเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจและมารร้ายทั้งปวงได้”

เมื่อกล่าวถึงชื่อบุคลผู้นี้

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็ทอดสายตามองไปทางทิศเหนือที่ห่างไกลด้วยความเคารพและจริงใจ

เหล่าประมุขทั้งหลายก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนทางทิศเหนือเพื่อบูชาเทวราชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์

จากนั้นประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เมื่อยี่สิบปีที่แล้วตี้จวินและตี้โฮ่ว(เทวราชินี)ได้ให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง

ซึ่งก็คือโอรสสวรรค์”

“โอรสสวรรค์เกิดมาเหนือปุถุชนคนธรรมดา ราวกับการถือกำเนิดของเทพเจ้า ด้วยอายุเพียงยี่สิบปีเขาก็มีพลังลมปราณในขอบเขตปราณฟ้า

! คุณสมบัติพิเศษเช่นนี้หาได้ยากยิ่งแม้แต่ในยุคโบราณจวบจนปัจจุบัน”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้เหล่าหัวหน้าศิษย์ทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าตกอกตกใจและรู้สึกเคารพนับถืออย่างสุดซึ้ง

มีเพียงหยุนเหยาและจี้เทียนซิงเท่านั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยน

ทั้งสองยังดูสงบเยือกเย็น

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากล่าวต่อไปว่า

“บัดนี้โอรสสวรรค์มีอายุถึงวัยที่จะอภิสมรสแล้ว

ดังนั้นตี้จวินจึงตัดสินใจจัดงานสมรสให้แก่โอรสสวรรค์ท่านนี้ในปีหน้า”

“เมื่อไม่นานมานี้จักรพรรดิจ้งโจวได้ออกคำสั่งคัดเลือกนางสนมให้แก่โอรสสวรรค์จากในแดนใต้และเก้าอาณาจักร

ซึ่งมีเพียงศิษย์สตรีอัจฉริยะที่มากด้วยพรสวรรค์เท่านั้นจึงจะสามารถคู่ควรกับตัวตนระดับโอรสสวรรค์”

“ในดินแดนทางใต้และเก้าอาณาจักรเรา มีเพียงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแต่ละอาณาจักรเท่านั้นที่มีสิทธิ์ช่วงชิงตำแหน่งนางสนมของโอรสสวรรค์

อย่างไรก็ตาม จากเก้าอาณาจักรนั้นมีหกคนเป็นบุรุษ และมีเพียงสามคนเท่านั้นที่เป็นสตรี“

“และ....

อันดับหนึ่งของอาณาจักรนี้ก็คือหัวหน้าศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์หยุนเหยา

นางคือหนึ่งในสตรีสามคนที่เป็นตัวเลือกนี้ !”

เมื่อประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากล่าวจบ

สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่หยุนเหยาทั้งสิ้น !

*(ตี้จวิน 帝君  แปลตามศัพท์ตรงๆ

ตี้ หรือ แต้ ก็หมายถึง ราชา จวิน หรือ กุนก็หมายถึง ราชาก็ได้

ผู้มีอำนาจทรงเคารพสูงสุดก็ได้ หรือจะเป็นคำสรรพนามของคนมีความรู้ที่ใช้เรียกคนที่ให้ความเคารพก็ได้

แต่ทีนี้ตี้จวินมีตำแหน่งเป็นรองเทวราชาตัวจริงก็คือเง็กเซียนฮ่องเต้ สรุปคือแอดยังไม่รู้ว่าตี้จวินที่มันพูดถึงเป็นชื่อคนหรือว่าฉายาแต่เดาว่าเป็นฉายา

ดังนั้นเอาเป็นว่ามันโคตรเก่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์

ณ ‘ตอนนี้’ ก็แล้วกัน *