ตอนที่ 171

โลกใบเล็กในข่ายอาคม

เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็พูดคุยถกเถียงกันอยู่พักหนึ่ง

จากนั้นก็จ้องมองไปยังกลางห้องโถง

มีม่านแสงสีขาวที่กินรัศมีสิบเมตรและส่องแสงสีขาวอันพร่างพราวงดงามออกมา

เห็นได้ชัดว่านี่ข่ายปราณขนาดใหญ่อีกจุดหนึ่ง

ซึ่งเป็นไปตามชื่อของมัน ข่ายปราณแม่ลูก

จุดที่พวกมันทุกคนยืนอยู่นี้ก็คือข่ายปราณแม่และม่านแสงสีขาวกลางห้องโถงก็คือข่ายปราณลูก

ฮั่นเฉียวเซิงวางโทเค็นประจำตัวของทุกคนไว้ในข่ายปราณลูกนั่นเอง พวกมันทุกคนเพิ่งผ่านการทดสอบแรก จากนั้นก็ต้องเข้าสู่ข่ายปราณลูกเพื่อค้นหาโทเค็นของตนเองให้พบ

ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

ซึ่งเวลาที่ฮั่นเฉียวเซิงกำหนดไว้สองชั่วโมง ตอนนี้เท่กับว่าผ่านไปหนึ่งในสี่แล้ว

ศิษย์ทั้งหลายเริ่มรู้สึกว่าเวลากระชั้นชิดนัก

พวกมันเริ่มหยุดพูดคุยและมุ่งหน้าไปยังข่ายปราณลูก

“เวลาไม่คอยท่าแล้ว

รีบเข้าไปในข่ายปราณลูกแล้วตามหาโทเค็นกันเถอะ!”

“จี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยางยังไม่โผล่หัวมาอีก

สิ้นหวังแล้วล่ะ ตกรอบแน่นอนงานนี้”

“จะไปสนใจพวกไร้ค่าทำไม

รีบเข้าไปดูในข่ายปราณลูกกันเถอะ”

“เฮ้ๆ พวกเจ้าดูสิ ! ข่ายปราณลูกนี้แปลกพิลึกนัก ไม่สามารถเดินเข้าไปตรงๆได้

เจ้าต้องตีความเพื่อทำลายมันก่อน !”

“บ้าเอ้ย ! ดูเหมือนว่าการทดสอบรอบที่สองจะต่างออกไปเสียแล้ว

เริ่มศึกษาหาวิธีทำลายมันโดยเร็วเถอะ”

“มะ... ไม่ได้ผล ! ข้าลองหลายวิธีที่ครูฝึกฮั่นสอนมาทั้งหมดแล้ว

ไม่เวิร์คสักวิธีเลยอ่า !”

เหล่าศิษย์ทั้งหลายเริ่มพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง

จากนั้นก็เริ่มตระหนักถึงความยากลำบากของด่านที่สองแล้ว  ใบหน้าของพวกมันเริ่มดูไม่จืดและเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

ในที่สุดพวกมันก็เข้าใจแล้วว่าค่ายกลแม่ลูกที่ฮั่นเฉียวเซิงวางไว้

แม้จะเป็นข่ายปราณล้ำลึกระดับต่ำ แต่มันก็เต็มไปด้วยปริศนาที่ซ่อนเร้น

มันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าไปในข่ายปราณรองเพื่อค้นหาโทเค็นประจำตัว

!

......

“วูบ !”

เมื่อลำแสงสีขาวกระพริบวูบ

ลู่หมิงหยางก็ปรากฏขึ้นบนทางเดินอันมืดมิดผ่านอากาศที่เบาบาง

ที่ด้านหลัง

ด้านซ้ายและด้านขวาของมันก็ยังคงเป็นกำแพงหินสีน้ำเงิน มีเพียงทางเดินด้านหน้าเท่านั้นที่ขยายยาวยืดออกไปและมีแสงรำไรที่สุดทาง

ลู่หมิงหยางหันไปมองรอบๆและไม่พบใครสักคนบนเส้นทางอันมืดมิด

ทันใดนั้นสีหน้าของมันก็เผยรอยยิ้มอันแจ่มใสออกมา

“เหอๆเจ้าพวกงี่เง่า

คิดว่าคนอย่างข้าจะไม่ผ่านด่านแรกงั้นหรือ ?”

“ด้วยสมองหมูๆของพวกเจ้าจะคิดออกได้อย่างไรว่าข้าทำลายข่ายปราณแม่เพื่อเข้าสู่ข่ายปราณลูกโดยตรง

?”

“ดูเหมือนว่าอันดับหนึ่งในการประเมินครั้งนี้คงมิใช่ใครอื่นนอกจากข้าเสียแล้ว  ฮ่าๆๆ  ...”

เมื่อคิดได้ดังนี้

ลู่หมิงหยางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น

แต่ในขณะนี้เองเมื่อเสียง

“วูบ” กระทบโสต  ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในเสื้อคลุมสีฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นในอากาศที่เบาบางเช่นเดียวกับมัน

ลู่หมิงหยางหน้าถอดสีโดยพลันและรับรู้ว่าคนผู้นี้ก็คือจี้เทียนซิง

!

มันตกตะลึงทันทีและจ้องมองไปที่อีกฝ่ายพลางร่ำร้องโหวกเหวกราวกับเห็นผี

"จิ.. จี้เทียนซิง !  เจ้า...

เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ?”

"เป็นไปไม่ได้ ! มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

!”

ลู่หมิงหยางเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายปราณก่อนที่จะเข้านิกายพันธมิตรสวรรค์

ดังนั้นมันจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในการทดสอบนี้มากกว่าศิษย์คนอื่นๆ

มันคาดไม่ถึงว่าจี้เทียนซิงจะตามมันมาติดๆโดยการทำลายข่ายปราณชั้นแรกจนเข้ามาในข่ายปราณลูกโดยตรง

!

ยิ่งไปกว่านั้น

จี้เทียนซิงก็ช้าก็มันเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น !

เมื่อได้ยินเสียงร้องทัก

จี้เทียนซิงก็เห็นภาพเบื้องหน้าและเจ้าของเสียง

สายตาของเขาตกไปอยู่ที่ลู่หมิงหยาง

เมื่อได้เห็นสีหน้าหม่นหมองของอีกฝ่าย

จี้เทียนซิงร่ำร้องออกมาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “เหอะ

มันแปลกตรงไหน ? ก็แค่ระเบิดมันทิ้งซะเพราะข่ายปราณนี้เป็นข่ายปราณซ้อนข่ายปราณและมีช่องทางลับอยู่เต็มไปหมด

พวกมันสามารถทะลุหากันได้ตราบเท่าที่ทำลายพื้นผิวของมัน  ของพรรค์นี้ก็แค่ภาพมา....”

หลังจากพูดสาธยายถึงตอนนี้

จี้เทียนซิงก็ยกมือขึ้นและกล่าวว่า “ช่างเถอะๆ  ลืมมันไปซะ

ต่อให้อธิบายให้เจ้าฟังไปมากแค่ไหนเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

“อะไรวะ !?”

ลู่หมิงหยางเบิกตาถลนพลางตะโกนใส่หน้าจี้เทียนซิงทันที  คำพูดเหยียดหยามดูแคลนของอีกฝ่ายทำให้สีหน้าของมันดูไม่จืดจนควันออกหู

“เจ้ากล้าดูถูกข้า ? คิดว่าข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดหรือไง ?  ฮ่าๆๆ...  จี้เทียนซิง อย่าได้ผยองเกินไปนัก !”

ลู่หมิงหยางจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงพลางสบถออกมาด้วยความโกรธ

จี้เทียนซิงเหลือบมองอีกฝ่ายที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงและกล่าวว่า

“ลู่หมิงหยาง เจ้าป่วยหรือเป็นโรคประสาท ?”

ลู่หมิงหยางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยโทสะและตะโกนออกมาว่า

“เจ้า !  จี้เทียนซิง คอยดูกันไปเถอะ

ข้าจะคว้าอันดับหนึ่งและเหยียบย่ำเจ้าไว้ใต้เท้า !  ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นว่าใครกันแน่คืออัจฉริยะในศาสตร์ข่ายอาคม”

จี้เทียนซิงเผยสีหน้าเบื่อหน่ายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

“เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ ?  ข้าต่างหากอันดับหนึ่ง !”

เมื่อกล่าวจบเขาก็เชิดมุมปากขึ้นอย่างดูแคลน

จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินลึกเข้าไปตามทาง

ลู่หมิงหยางมองไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายและขบกรามกรอด

มือสองข้างกำแน่นจนกระดูกลั่นเอี๊ยดอ๊าด

"ระยำ !  มันจงใจกวนโทสะข้าให้สูญเสียความเยือกเย็นชัดๆ

...... ข้าเกือบจะหลงกลมันเสียแล้ว !”

หลังจากนั้นไม่นานลู่หมิงหยางก็คืนสติและรีบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาวิ่งมาจนถึงสุดทางก็เห็นประตูแสงสองบานที่อยู่เบื้องหน้า

ประตูแสงทางด้านซ้ายเป็นสีแดงและขอบของกรอบประตูสะท้อนไปด้วยแสงของเปลวเพลิงที่ลุกโหม

ส่วนประตูแสงทางด้านขวาเป็นสีฟ้าน้ำแข็งและกรอบประตูถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาและแท่งน้ำแข็งอันแหลมคมมากมาย

เมื่อเห็นประตูแสงทั้งสองบานนี้ลู่หมิงหยางก็เข้าใจทันที

มันคิดในใจว่า

“ดูเหมือนว่าจะมีโลกใบเล็กอยู่ภายในข่ายปราณย่อย...

มีทางเลือกสองทางหนึ่งคือไฟอีกหนึ่งคือน้ำแข็ง...."

“จี้เทียนซิงเพิ่งเข้าประตูน้ำแข็งทางด้านขวาไป

หากเป็นเช่นนี้ข้าจะเข้าประตูเพลิงทางด้านซ้ายเอง !"

ด้วยความคิดในใจ

ลู่หมิงหยางก็ก้าวเท้าเข้าไปในประตูแสงเปลวเพลิงด้วยความลังเลเล็กน้อย

“พึ่บ !”

เมื่อเกิดประกายไฟขึ้น

ลู่หมิงหยางก็เข้าสู่โลกใบเล็กของข่ายปราณย่อยและปรากฏตัวขึ้นบนภูเขาสีแดงก่ำอันร้อนระอุ

เทือกเขาทั้งหมดนั้นเปลือยเปล่าและพื้นผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มทั้งสิ้น

รวมไปถึงควันดำที่พวยพุ่งขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่อง

อุณหภูมิบนพื้นดินสูงมากและมีหลายแห่งที่ถูกแผดเผาไปด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม

หลุมบ่อบางแห่งก็ยังเต็มไปด้วยแม็กมาสีแดงเถือก

นอกจากนี้ยังมีลำธารสีแดงหลายแห่งบนไหล่เขา

ตามมาด้วยลาวาสีแดงไหลลงมาจากภูเขา

อากาศโดยรอบร้อนระอุอย่างสุดขั้ว

แม้แต่เปลวไฟสีแดงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ล่องลอยอยู่ทั่วไป

ลู่หมิงหยางยืนอยู่บนภูเขาไฟได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกร้อนลวกจนผิวแห้งกรัง

มันคิดในใจว่า “ครูฝึกฮั่นหนักมือเกินไปหรือเปล่า...

? ถึงขนาดสร้างภูเขาไฟในข่ายปราณย่อยเชียวหรือ

?”

“รอบๆตัวข้าดูยังไงก็ไม่มีทางไปต่อ ดูเหมือนจะต้องพลิกภูเขาค้นหาโทเค็นเองเสียแล้ว...

จะว่าไป ถึงแม้ข้าจะรู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยข่ายปราณของครูฝึกฮั่น

แต่มันกลับเหมือนจริงจนแทบจะแยกไม่ออก !”

ลู่หมิงหยางกระซิบกับตัวเองและค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามแนวภูเขาไฟเพื่อค้นหาโทเค็นด้วยสายตาที่กระตือรือร้น

ถึงแม้มันจะพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเปลวเพลิงหนาแน่นและพื้นที่ที่มีลาวาไหลผ่าน  แต่กระนั้น

อากาศและผืนดินอันร้อนระอุก็ยังทำให้มันต้องตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

มันพยายามข่มใจและกัดฟันแน่นด้วยความแน่วแน่

มันพยายามบอกตัวเองในใจอยู่ตลอดเวลาว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากข่ายปราณเท่านั้น  ตราบใดที่หาทางทำลายแกนกลางของข่ายปราณได้

ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็จะหายไปในพริบตา