ตอนที่ 208

การกระทำที่คาดไม่ถึง

ฉัวะ

ฉัวะ  ฉัวะ  ฉัวะ

ฉัวะ  !

รัศมีกระบี่อันพร่างพราวห้าสายแผ่กระจายออกไป

แต่ละสายมุ่งเข้าหาเงาดำทั้งห้าร่างที่พุ่งเข้ามา

ผู้นำของเงาดำห้าร่างนั้นคือสตรีนางหนึ่งที่แผ่กลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา

สตรีนางนี้มิใช่ตัวตนที่แปลกหน้าสำหรับจี้เทียนซิงและหยุนเหยา

วูบ

วูบ  !!

ในขณะที่พุ่งออกมา

นางร่ายมนต์คาถาในทันทีและเปลี่ยนฝ่ามือคู่นั้นให้กลายเป็นฝ่ามือยักษ์คู่หนึ่ง มันกระแทกเข้าใส่ลำแสงกระบี่ห้าสายของหยุนเหยา

แกร่ก...

แกร่ก... แกร่ก

หลังจากเสียงแสบแก้วหูดังขึ้น

ลำแสงกระบี่ทั้งหมดก็เริ่มแตกหักและสลายไปในที่สุด

เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนี้

ทั้งจี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ดวงตาทอประกายจิตสังหารอันแรงกล้า

"นังแม่มด

เป็นเจ้านี่เอง”

หยุนเหยาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

กระบี่ตวัดออกไปหาอีกฝ่ายทันที

ส่วนจี้เทียนซิงก็ชักกระบี่มังกรดำออกมาเข้าต่อกรกับเงาดำอีกสี่ร่างที่อยู่ด้านหลังนาง

เงาร่างทั้งสี่นั้นสูงใหญ่และมีรูปร่างผิดปกติ

ในดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงเลือดและทั่วร่างล้อมรอบไปด้วยมนต์หมอกสีดำ

พวกมันทั้งหมดก็คือผู้พิทักษ์แห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ

เมื่อตอนที่อยู่ในถ้ำเผ่าปีศาจ

จี้เทียนซิงเคยประมือกับผู้พิทักษ์เหล่านี้มาก่อนและรู้ว่าพวกมันมีพลังในขอบเขตปราณจิตทั้งหมด

“ฟั่บ

ฟั่บ  ฟั่บ  ฟั่บ  !”

ชายหนุ่มเหวี่ยงกระบี่มังกรดำออกไปก่อเกิดเป็นคลื่นกระบี่สี่สายที่โจมตีเข้าหาผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจทั้งสี่ตน

พวกมันโต้ตอบกลับอย่างรวดเร็วและปิดกั้นคลื่นกระบี่ทั้งสี่ของจี้เทียนซิงเอาไว้

เป้าหมายของพวกมันชัดเจนมาก พวกมันไม่สนใจหยุนเหยาแต่เพียงชักดาบยาวออกมาและห้อมล้อมจี้เทียนซิง

ภายในพริบตาเขาก็ถูกล้อมไว้ด้วยผู้พิทักษ์สี่ตน

ส่วนอีกด้านหนึ่งหยุนเหยาก็ปะทะกับองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยอย่างรุนแรง

พลังทำลายของพวกนางนั้นทำให้ทั่วทั้งถ้ำสั่นไหว

เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็เป็นยอดฝีมือในขอบเขตปราณจิต

พลังปราณที่ใช้ออกมานั้นจึงทำให้ผนังถ้ำรอบๆเริ่มปริแตกและทรุดตัวลง

พวกนางใช้เคล็ดวิชามากกว่าสิบกระบวนท่าและย้ายจุดปะทะไปที่มุมถ้ำซึ่งห่างจากจี้เทียนซิงและผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจทั้งสี่ตน

ผลพวงจากการปะทะอันรุนแรงของทั้งสองฝ่ายทำให้คลื่นลมก่อตัวขึ้นและพัดก้อนหินดินทรายในถ้ำมารวมกันและระเบิดเป็นสะเก็ดน้ำไม่ถ้วน

“ปัง !  ปัง !”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยซัดฝ่ามือโลหิตคู่นั้นเข้าหาหยุนเหยาอย่างไม่หยุดยั้ง

แต่อีกฝ่ายก็หลบรอดไปได้

ฝ่ามือสีแดงเลือดของนางทุบเข้าใส่กำแพงหินอันแข็งแกร่งจนเกิดรอยประทับรูปฝ่ามือสองข้างไว้บนกำแพงหินทันที

รอยประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ก่อให้เกิดรอยปริแตกไปทั่วกำแพงจนสะเก็ดหินเริ่มหลุดร่อน

“วูบ !”

หยุนเหยาฉวยโอกาสสวนกลับและซัดกระบี่เข้าหาองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย

แต่ทว่านางก็หลบรอดไปได้เช่นกัน

ลำแสงกระบี่ยาวสองเมตรพุ่งชนกำแพงหินและคว้านเป็นร่องลำธารลึกทันที

ก้อนกรวดลอยฟุ้งกระจายนับไม่ถ้วน

พวกนางทั้งสองมีระดับพลังฝีมือไล่เลี่ยกันและยากจะรู้ผลแพ้ชนะในเวลาอันสั้น

อีกฝั่งหนึ่ง

จี้เทียนซิงถูกล้อมโดยผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจถึงสี่คนและตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก

ถึงแม้เขาจะมีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นแรกและถือกระบี่มังกรดำไว้ในมือ

แต่ทว่าเขาก็ยังไม่อาจต้านทานเหล่าปีศาจพวกนี้ได้อย่างง่ายดายนัก

ท้ายที่สุดแล้วผู้พิทักษ์ปีศาจทั้งหมดล้วนมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับขอบเขตปราณจิตขั้นที่สี่

!  นอกจากนี้พวกมันยังฝึกฝนค่ายกลวิชาดาบที่โจมตีออกไปได้อย่างพร้อมเพรียง

พวกมันทั้งสี่มีลำดับการเข้าออกในการโจมตีที่หนักแน่นและมั่นคง

ทุกการโจมตีทั้งดุดันและไร้ที่สิ้นสุดราวกับคลื่นลมที่พัดมาเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง  มันทำให้จี้เทียนซิงแทบไม่มีเวลาพักหายใจ

ในการต่อสู้ครั้งนี้ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอันตรายและยากที่จะรับมือยิ่งกว่าการต่อสู้กับฮั่งเชินเมื่อหลายวันก่อนเสียอีก

เมื่อไร้ทางเลือก

เขาจำเป็นต้องเก็บกระบี่มังกรดำกลับไปและใช้เคล็ดเพลงกระบี่ดาราเหินของเซี่ยงหวู่จี้เพื่อรับมือแทน

คมมีดขนนกพันเล่ม !

จี้เทียนซิงคำรามลั่นและกระตุ้นพลังของตัวอ่อนกระบี่ปลดปล่อยคลื่นกระบี่สีทองเก้าเล่มออกมา  มันพุ่งเข้าหาผู้พิทักษ์ทั้งสี่ในทันที

ฟิ้ว

ฟิ้ว  ฟิ้ว......  !

คลื่นกระบี่เก้าเล่มโจมตีอย่างรวดเร็วร่วมสองหลายครั้งในชั่วอึดใจและระเบิดออกเป็นลำแสงสีทองอันพร่างพราว

ภายในรัศมีสิบเมตรถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองที่เจิดจ้าบาดตาจนทำให้พวกมันถูกบดบังจนแทบมองไม่เห็นเงาร่าง

กระบวนท่านี้ใช้ได้ผล

มันทำให้ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ยากที่จะลงมือ

พวกมันทำได้เพียงยกดาบขึ้นต้านรับคลื่นกระบี่ที่รัวถี่ยิบเท่านั้น

คลื่นกระบี่และดาบยาวกระทบกันครั้งแล้วครั้งเล่า

เปล่งเสียงแหลมแสบแก้วหูดังเคร้ง เคร้ง ! และก้องกังวานภายในถ้ำอย่างรุนแรง

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็มีเวลาได้พักหายใจหลังจากถูกรุมล้อมอย่างกดดันมาเป็นเวลานาน

เขาถีบตัวเองออกจากวงล้อมของคลื่นกระบี่สีทองที่ตัวเองปลดปล่อยออกมาเพื่อตั้งหลักใหม่

ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงห้าอึดใจ

คลื่นกระบี่ทั้งเก้าก็โจมตีออกไปครบพันครั้ง จากนั้นพลังทำลายของมันก็ลดทอนลง

ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจทั้งสี่ตนยังมิได้ตกตาย

แต่พวกมันก็เจ็บปวดไม่น้อยกับการโจมตีที่หนักหน่วงระลอกนี้

ชุดเกราะที่พวกมันสวมใส่นั้นบิดเบี้ยวผิดรูปจากคลื่นกระบี่และมีบางจุดเกิดรอยปริแตก

ชุดเกราะของพวกมันไม่อาจทานรับคลื่นกระบี่ของจี้เทียนซิงได้ทั้งหมด

ร่างกายของพวกมันถูกแทงทะลุเป็นหลุมเลือดจำนวนมาก

สุดท้ายบาดแผลเหล่านั้นก็เริ่มมีเลือดสีม่วงไหลย้อยออกมา

ภายในชั่วพริบตา

ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจทั้งสี่ตนก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีม่วง สีหน้าของพวกมันซีดเผือดด้วยความอับอาย

โชคดีที่พวกมันปกป้องศีรษะและจุดสำคัญส่วนอื่นเอาไว้ได้

มิฉะนั้นพวกมันคงกลายเป็นถุงเลือดและตกตายในที่สุด

“สารเลว

บัดซบเอ๊ย !”

“ฆ่ามันให้จงได้ !”

“สับมันให้เละเป็นเนื้อบด !”

ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจทั้งสี่ตนกรีดร้องด้วยความโกรธแค้น

พวกมันไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเองและกระชับดาบยาวไว้แน่นจากนั้นก็พุ่งเข้าหาจี้เทียนซิงด้วยดวงตาแดงก่ำ

ชายหนุ่มตั้งหลักอยู่ห่างออกไปสิบเมตรเพื่อสะสมพลังและกระตุ้นตัวอ่อนกระบี่

จากนั้นก็ปลดปล่อยเพลงกระบี่ดาราเหินท่าที่สองไปทันที

“วายุอัสนีบาต !!”

ปราณกระบี่สีทองสองเล่มส่องประกายเจิดจ้าและเล็งเป้าพุ่งเข้าโจมตีผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจสองตน

ลำแสงสีทองผสานเข้ากับพายุเฮอริเคนที่รุนแรงจนเกิดเป็นสายฟ้าสีทองที่ฟาดซัดเข้าหาพวกมันในทันที

“ครืน....... เปรี้ยง !!”

สิ้นเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง  ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจสองตนก็กระเด็นละลิ่ว, โลหิตสาดกระเซ็นราวกับพิรุณโลหิต

พื้นหินหนาถูกดึงคว้านออกมาจนเกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ราวกับถังน้ำ

จี้เทียนซิงจัดการผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจไปได้สองตน

แต่ทว่ายังมีพวกมันเหลืออีกสองตนที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยดวงตาที่แดงก่ำและหมายจะล้างแค้นให้สหายของพวกมัน

เมื่อได้เห็นภาพนี้

จี้เทียนซิงก็หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยแรงกดดันอันรุนแรงที่แผ่ซ่านมาจากพวกมัน เขาไร้ทางเลือก

สุดท้ายก็ต้องเค้นพลังเพื่อใช้เพลงกระบี่ดาราเหินท่าที่สามออกมา

“หลังจากฝึกประกายแสงมังกรแดงสำเร็จข้าก็ไม่เคยใช้จริงเลยสักครั้ง

ดีล่ะ ถือโอกาสนี้ใช้กับพวกเจ้าเลยก็แล้วกัน !”

*ขอเปลี่ยนเป็นประกายแสงมังกรแดงนะครับ*

ฟุ่บ

! ฟุ่บ !

เมื่อความคิดพุ่งผ่านจิตใจอย่างรวดเร็ว

หัตถ์สองข้างของเขาก็ร่ายรำออกมาเป็นท่วงท่าพิเศษแขนงหนึ่ง

ก่อเกิดเป็นเส้นสายอักขระอันลึกลับ จากนั้นพลังปราณมหาศาลก็ถูกกระตุ้นจนเดือดพล่านไปทั่วร่าง

ในวินาทีต่อมาหัตถ์สองข้างก็มาบรรจบกันและผลักออกไปข้างหน้าปรากฏเป็นกระบี่ใหญ่สีทองยาวสองเมตรที่โอบอุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองอันพร่างพราว

มันดูราวกับร่างเงาของมังกรอันเลือนรางที่พุ่งเข้าใส่ผู้พิทักษ์ที่เหลืออีกสองตน

กระบวนท่าประกายแสงมังกรแดงนี้ไม่เพียงแค่ทรงพลัง

แต่มันยังมีความเร็วในระดับสุดยอดอีกด้วย

เมื่อมันถูกร่ายออกจนปรากฏเงาร่างขึ้น

มันจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วแสง ทำให้คู่ต่อสู้แทบจะไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองและหลบหลีก

เปรี้ยง !!

เสียงตกกระทบดังกึกก้องและประกายแสงมังกรแดงก็กระแทกเข้าหาผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจทั้งสองตนทันที

ร่างที่สูงใหญ่และกำยำของพวกมันดูเล็กลงและอ่อนแอเป็นพิเศษเมื่ออยู่ภายใต้เปลวเพลิงสีทองของประกายแสงมังกรแดง

พวกมันกระเด็นไปไกลตามมาด้วยโลหิตที่ฉีดพุ่งกลางอากาศราวกับเส้นรุ้ง

จากนั้นก็ร่วงลงกับพื้นไกลออกไปสิบกว่าเมตร

จี้เทียนซิงต้องใช้เพลงกระบี่ดาราเหินถึงสามท่าติดต่อกัน

ในที่สุดเขาก็สามารถล้มผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจทั้งสี่ตนลงได้

เขาเตรียมที่จะจบชีวิตพวกมันทั้งหมดเพื่อตัดรากถอนโคน

แต่ทันใดนั้นเององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ละจากการต่อสู้กับหยุนเหยาและมุ่งหน้ามาหาจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็วราวกับภูติพราย

“วูบ !”

นางกลายร่างเป็นหมอกสีดำอย่างน่าอัศจรรย์และกวาดเอาร่างของผู้พิทักษ์ทั้งสี่ที่ปกคลุมไปด้วยเลือดให้มารวมกัน

ในขณะที่จี้เทียนซิงกับหยุนเหยายังไม่ทันคิดจะทำอะไร

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็หอบร่างของสมุนทั้งสี่รวมถึงตัวนางเอง

กระโดดลงหน้าผาลึกเบื้องหน้าดั่งสายฟ้าในทันที !