ตอนที่ 337 ต่างคนต่างความคิด

หลังจากข้ามประตูภูเขาไปจะมีทางเดินหินชนวนกว้างที่ทอดยาวไปสู่ห้องโถงต้อนรับเหนือยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์

ทางเดินทั้งสองข้างทางประดับประดาไปด้วยแสงไฟส่องสว่าง

เป็นนิมิตรอันดีของการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษ

ศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนของนิกายกระบี่ฟ้าต่างก็เดินไปเดินมาอย่างเร่งรีบเพื่อเตรียมงานวันเกิดของประมุข

แขกเหรื่อจากทุกสารทิศล้วนทยอยเดินเข้ามาเป็นกลุ่มๆและเดินไปทางด้านบนของภูเขาอย่างไม่รีบร้อน

หลายๆคนทอดสายตามองชมทิวทัศน์ของนิกายกระบี่ฟ้าในระหว่างพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม

เหล่าประมุขและหัวหน้าศิษย์ของนิกายต่างๆล้วนทักทายปราศรัยกันอย่างเอิกเกริกตลอดทาง

ทว่า

กลุ่มสามคนของจี้เทียนซิงนั้นดูค่อนข้างจะโดดเดี่ยว

ไม่มีแม้ผู้ดูแลหรืออาวุโสคนใดของนิกายกระบี่ฟ้าที่จะเข้ามาทักทายเชื้อเชิญหรือนำทาง

ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ต่างกับคนของนิกายอื่นราวฟ้ากับเหว

ซึ่งคนทั้งสามก็มิได้มีอารมณ์จะชื่นชมทัศนียภาพของนิกายกระบี่ฟ้าสักเท่าใดนักเช่นกัน

พวกเขาเพียงกวาดสายตามองผ่านฝูงชนอย่างไม่แยแสและเดินไปตามภูเขา

เข้าไปในห้องโถงต้อนรับ

ที่ทางเข้าห้องโถง มีผู้อาวุโสอีกสองคนยืนรอต้อนรับแขกอีกต่อหนึ่ง

หนึ่งในนั้นเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องของขวัญ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้บันทึกรายการของขวัญ

หยุนเหยานำกล่องของขวัญออกจากแหวนมิติและส่งมอบให้แก่ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบ

จากนั้นก็เดินต่อไป

มีแขกหลายสิบคนมาถึงห้องโถงนานแล้ว

พวกเขาจับกลุ่มสามสี่คนพูดคุยกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงต่ำ

จี้เทียนซิงจ้องมองคนที่อยู่ในห้องโถงและพบว่าคนส่วนใหญ่ในนี้มิใช่สมาชิกของแปดนิกายใหญ่

คนเหล่านี้สมควรเป็นกองกำลังเล็กๆหรือพรรคสำนักต่างๆในเมืองวิญญาณเพลิง

สำหรับกองกำลังระดับ 2-3 เหล่านี้ วันเกิดของเทียนเจี้ยนจงถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับพวกมันในการสานความสัมพันธ์กับหนึ่งในแปดนิกายใหญ่

หยุนเหยา

จี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์เดินไปหามุมเงียบสงบที่ไม่เด่นเพื่อนั่งลง

ในบางครั้งจะมีรุ่นเยาว์เดินมาถามไถ่เล็กน้อย

ซึ่งทั้งสามก็ตอบกลับไปตามมารยาท นอกนั้นพวกเขาทั้งสามล้วนปิดปากเงียบ สังเกตสถานการณ์โดยรอบอย่างถี่ถ้วน

หลังจากนั้นไม่นานคนของนิกายฤทัยจันทราก็มาถึง

พวกเขากันมาเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งบังเอิญเป็นผู้ที่จี้เทียนซิงรู้จักพอดี

หนึ่งในนั้นคือสตรีผู้งามสง่า, นางก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายฤทัยจันทรา

จวินอวี้

ในพิธีกราบอาจารย์ของจี้เทียนซิงเมื่อหลายเดือนก่อน

จวินอวี้เคยมาเยือนนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นการส่วนตัวและมอบของขวัญให้เขา

ส่วนสตรีในชุดขาวอีกนางหนึ่งที่อยู่ข้างจวินอวี้ก็คือหัวหน้าศิษย์ของนิกายฤทัยจันทรา, เฟิงหมิน

หลังจากเข้ามาถึงห้องโถง จวินอวี้และเฟิงหมินก็กวาดสายตามองไปรอบๆและหยุดมองไปที่หยุนเหยาและจี้เทียนซิง

ทั้งสองรีบเดินตรงไปทักทายทันทีและหลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย

จวินอวี้และเฟิงหมินก็เลือกที่นั่งถัดจากจี้เทียนซิง

งานฉลองวันเกิดในคราวนี้ประมุขนิกายฤทัยจันทรา,แม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยมิได้มาด้วยตนเอง

นางจึงส่งจวินอวี้และเฟิงหมินให้มาเป็นตัวแทน

ถึงแม้จวินอวี้จะอธิบายว่าแม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยนั้นแก่เกินกว่าจะเดินทางไกลๆไหว

แต่จี้เทียนซิงและหยุนเหยาต่างก็สามารถคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงได้

นิกายฤทัยจันทราและนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นมิตรที่แน่นเฟ้นต่อกันอย่างยิ่ง

การกระทำส่วนใหญ่ของนิกายฤทัยจันทราจะคล้อยตามนิกายพันธมิตรสวรรค์และมีศักดิ์ฐานะที่แทบจะไม่ต่างกัน

ดังนั้น

ในเมื่อฉู่เทียนเซิงไม่มาร่วมงานก็เป็นไปไม่ได้ที่แม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยจะมาด้วยตนเอง

ท้ายที่สุดแล้วเทียนเจี้ยนจงที่จัดงานฉลองวันเกิด

200 ปี

บางคนฟังดูอาจจะรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างดูลึกล้ำและน่ากลัวมากที่อยู่มาได้นานเยี่ยงนี้

แต่ในความเป็นจริงแล้วยอดฝีมือระดับปราณฟ้าสามารถมีอายุขัยได้สี่ถึงห้าร้อยปีด้วยซ้ำ

ดังนั้นเทียนเจี้ยนจงที่มีอายุเพียงสองร้อยปี

หากอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่ขนยังไม่ขึ้นดี !

ท้ายที่สุด แม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยก็มีชีวิตมาเกือบสี่ร้อยปีแล้ว

นางต่างหากคือผู้อาวุโสที่แท้จริง

ไม่นานหลังจากนั้นจ้าวสำนักหลิวเหอและหัวหน้าศิษย์อู่อวี้ก็เข้ามาในห้องโถงด้วย

จ้าวสำนักหลิวเหอถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าผู้นำของกองกำลังระดับสองหลายคนในทันที

ส่วนอู่อวี้เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิงและคนอื่นๆ

ดวงตาของมันก็ส่องประกายแวววาว จากนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

"ศิษย์พี่หยุนเหยา ศิษย์น้องจี้

พวกท่านมาถึงนานแล้วหรือ"

อู่อวี้ยิ้มและทักทายพวกเขาอย่างจริงใจ

จากนั้นก็หันไปคารวะจวินอวี้และเฟิงหมิน พลันนั่งลงข้างๆจี้เทียนซิง

มันมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยแววตาเปล่งประกายพลางถามด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังเล็กน้อยว่า

“ศิษย์น้องจี้

หลังจากที่ข้ากับเฟิงหมินจากไปในวันนั้น

ได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเฉียวซวนอีกครั้งหรือ ?"

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ดวงตาคู่งามของเฟิงหมินก็เปล่งประกายสดใส

นางก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เช่นเดียวกันจึงถามจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องจี้ ข้าก็ได้ยินมาว่าเจ้าได้สั่งสอนเฉียวซวนไปชุดใหญ่

มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ?"

จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะต้องเลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“พวกท่านรู้ได้อย่างไร

? เหตุการณ์ในตอนนั้นมีแค่ข้าและพวกมันทั้งสามเท่านั้น”

"อ้อ ?”

อู่อวี้ยิ้มและอุทานออกมาอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวต่อไปว่า

“เจ้าถามกลับเช่นนี้ก็แสดงว่ายอมรับแล้วสินะ"

ดวงตาหงส์ของเฟิงหมินเปล่งประกาย

นางยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์น้องจี้ วันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เจ้าเล่าให้พวกข้าฟังเร็วเข้า"

เอี๋ยนเอ๋อร์ก็ดูสนอกสนใจเรื่องจำพวกนี้มากเช่นกัน

โดยเฉพาะเรื่องของจี้เทียนซิงกับเหล่าอัจฉริยะของนิกายอื่นๆ

มันมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาซุกซนอย่างรู้อยากเห็นพลางกระซิบว่า

“ศิษย์พี่เทียนซิง

บอกมาเถอะ ข้าก็อยากรู้อ่า"

ส่วนหยุนเหยา แม้นว่านางจะไม่พูดอะไร ใบหน้างดงามยังคงวางท่าทีเย็นชาสงบนิ่ง

แต่ดวงตาของนางที่จ้องมองจี้เทียนซิงเผยให้เห็นชัดว่านางก็อยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน

แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างจวินอวี้ที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ยังเผยให้เห็นแววตาคาดหวังในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิง

จวินอวี้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายฤทัยจันทรา

นางเข้านอกออกในนิกายพันธมิตรสวรรค์อยู่เป็นประจำและคุ้นเคยกับหยุนเหยาเป็นอย่างดี

นอกจากนี้นางยังทราบเรื่องราวความเป็นมาของจี้เทียนซิงไม่มากก็น้อย

จี้เทียนซิงถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบตัวเขามิใช่คนนอกหรือศัตรู

เขาจึงตัดสินใจเล่าไปว่า “ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย

ข้าจะพูดเรื่องนี้สั้นๆก็แล้วกัน”

"ในวันนั้นซื่อเหวินหยูร่วงจากหอคอยเจ็ดดาวอย่างน่าสังเวช เฉียวซวนและศิษย์ทั้งสองของนิกายเฟิงฮั่วคิดจะออกหน้าทวงความยุติธรรมให้มัน

จากนั้นพวกมันก็รวมหัวกันข่มขู่ด่าทอข้า...."

จี้เทียนซิงลดเสียงลงและเล่าเรื่องราวในวันนั้นทั้งหมดออกไป

เมื่อจวินอวี้ เฟิงหมินและอู่อวี้ได้ฟังจนจบ

ทุกคนก็เผยสีหน้าประหลาดใจและมองจี้เทียนซิงด้วยความไม่อยากเชื่อ

ส่วนเอี๋ยนเอ๋อร์ปรบมือให้จี้เทียนซิงด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางตะโกนชมเชยว่าศิษย์พี่ของมันช่างยอดเยี่ยมนัก

แม้แต่ดวงตาที่กระจ่างใสของหยุนเหยาก็ยังเป็นประกายด้วยรอยยิ้มน้อยๆและถึงกับต้องมองจี้เทียนซิงถึงสองครั้ง

นางรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงเป็นอย่างดีและทราบว่าเขาจะต้องได้รับประโยชน์มากมายจากบนหอคอยเจ็ดดาว

ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังพูดคุยกับเฟิงหมินและคนอื่นๆด้วยเสียงต่ำ

อีกด้านหนึ่งของห้องโถงกลับมีสายตาเย็นยะเยือกหลายคู่ที่จ้องมองจี้เทียนซิงและพรรคพวกอย่างเงียบงัน

เหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สาวกรุ่นเยาว์สี่คนที่กำลังนั่งพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำ

ทุกคนต่างมีสีหน้ามัวหมอง

คนแรกก็คือซื่อเหวินหยูจากนิกายกระบี่ฟ้า

ตามมาด้วยเฉียวซวนจากนิกายพันใบไม้ร่วง

หวังตงจากนิกายเจิ้นหวู่และซ่งจงจากนิกายเฟิงฮั่ว

เฉียวซวนลดเสียงลงและพูดกับซื่อเหวินหยูถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้หอคอยเจ็ดดาวในวันนั้น

ในขณะที่พูดถึง ความโกรธของมันที่มีต่อจี้เทียนซิงก็ปะทุขึ้นจนแทบอดไม่ไหวที่จะระเบิดออกมา

"พวกเราทั้งสามเพียงต้องการกระตุ้นเตือนจี้เทียนซิงว่าอย่าได้อวดดีเกินไปนัก

คิดไม่ถึงว่ามันกลับทำร้ายข้าสาหัสปานนี้.... "

"พี่เหวินหยู

เจ้าสารเลวจี้เทียนซิงนั่นกำแหงเกินไป

ในเมื่อมันมาเยือนถึงนิกายกระบี่ฟ้าของท่านแล้วยังกลับกล้าวางตัวอวดเบ่งถือดีต่อหน้าเฟิงหมิน

สารเลวเอ้ย !”

คิ้วของซื่อเหวินหยูตึงแน่น

มุมปากแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป

ในเมื่อมันกล้ามาเยือนถึงถิ่นข้า มันจะไม่ได้กลับออกไปง่ายๆนักหรอก !”

“พวกเจ้าอดทนและใจเย็นรอก่อน คืนนี้จะมีโชว์ดีๆให้ได้ชมแน่

!"