หลังจากข้ามประตูภูเขาไปจะมีทางเดินหินชนวนกว้างที่ทอดยาวไปสู่ห้องโถงต้อนรับเหนือยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
ทางเดินทั้งสองข้างทางประดับประดาไปด้วยแสงไฟส่องสว่าง
เป็นนิมิตรอันดีของการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษ
ศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนของนิกายกระบี่ฟ้าต่างก็เดินไปเดินมาอย่างเร่งรีบเพื่อเตรียมงานวันเกิดของประมุข
แขกเหรื่อจากทุกสารทิศล้วนทยอยเดินเข้ามาเป็นกลุ่มๆและเดินไปทางด้านบนของภูเขาอย่างไม่รีบร้อน
หลายๆคนทอดสายตามองชมทิวทัศน์ของนิกายกระบี่ฟ้าในระหว่างพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม
เหล่าประมุขและหัวหน้าศิษย์ของนิกายต่างๆล้วนทักทายปราศรัยกันอย่างเอิกเกริกตลอดทาง
ทว่า
กลุ่มสามคนของจี้เทียนซิงนั้นดูค่อนข้างจะโดดเดี่ยว
ไม่มีแม้ผู้ดูแลหรืออาวุโสคนใดของนิกายกระบี่ฟ้าที่จะเข้ามาทักทายเชื้อเชิญหรือนำทาง
ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ต่างกับคนของนิกายอื่นราวฟ้ากับเหว
ซึ่งคนทั้งสามก็มิได้มีอารมณ์จะชื่นชมทัศนียภาพของนิกายกระบี่ฟ้าสักเท่าใดนักเช่นกัน
พวกเขาเพียงกวาดสายตามองผ่านฝูงชนอย่างไม่แยแสและเดินไปตามภูเขา
เข้าไปในห้องโถงต้อนรับ
ที่ทางเข้าห้องโถง มีผู้อาวุโสอีกสองคนยืนรอต้อนรับแขกอีกต่อหนึ่ง
หนึ่งในนั้นเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องของขวัญ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้บันทึกรายการของขวัญ
หยุนเหยานำกล่องของขวัญออกจากแหวนมิติและส่งมอบให้แก่ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบ
จากนั้นก็เดินต่อไป
มีแขกหลายสิบคนมาถึงห้องโถงนานแล้ว
พวกเขาจับกลุ่มสามสี่คนพูดคุยกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงต่ำ
จี้เทียนซิงจ้องมองคนที่อยู่ในห้องโถงและพบว่าคนส่วนใหญ่ในนี้มิใช่สมาชิกของแปดนิกายใหญ่
คนเหล่านี้สมควรเป็นกองกำลังเล็กๆหรือพรรคสำนักต่างๆในเมืองวิญญาณเพลิง
สำหรับกองกำลังระดับ 2-3 เหล่านี้ วันเกิดของเทียนเจี้ยนจงถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับพวกมันในการสานความสัมพันธ์กับหนึ่งในแปดนิกายใหญ่
หยุนเหยา
จี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์เดินไปหามุมเงียบสงบที่ไม่เด่นเพื่อนั่งลง
ในบางครั้งจะมีรุ่นเยาว์เดินมาถามไถ่เล็กน้อย
ซึ่งทั้งสามก็ตอบกลับไปตามมารยาท นอกนั้นพวกเขาทั้งสามล้วนปิดปากเงียบ สังเกตสถานการณ์โดยรอบอย่างถี่ถ้วน
หลังจากนั้นไม่นานคนของนิกายฤทัยจันทราก็มาถึง
พวกเขากันมาเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งบังเอิญเป็นผู้ที่จี้เทียนซิงรู้จักพอดี
หนึ่งในนั้นคือสตรีผู้งามสง่า, นางก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายฤทัยจันทรา
จวินอวี้
ในพิธีกราบอาจารย์ของจี้เทียนซิงเมื่อหลายเดือนก่อน
จวินอวี้เคยมาเยือนนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นการส่วนตัวและมอบของขวัญให้เขา
ส่วนสตรีในชุดขาวอีกนางหนึ่งที่อยู่ข้างจวินอวี้ก็คือหัวหน้าศิษย์ของนิกายฤทัยจันทรา, เฟิงหมิน
หลังจากเข้ามาถึงห้องโถง จวินอวี้และเฟิงหมินก็กวาดสายตามองไปรอบๆและหยุดมองไปที่หยุนเหยาและจี้เทียนซิง
ทั้งสองรีบเดินตรงไปทักทายทันทีและหลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย
จวินอวี้และเฟิงหมินก็เลือกที่นั่งถัดจากจี้เทียนซิง
งานฉลองวันเกิดในคราวนี้ประมุขนิกายฤทัยจันทรา,แม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยมิได้มาด้วยตนเอง
นางจึงส่งจวินอวี้และเฟิงหมินให้มาเป็นตัวแทน
ถึงแม้จวินอวี้จะอธิบายว่าแม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยนั้นแก่เกินกว่าจะเดินทางไกลๆไหว
แต่จี้เทียนซิงและหยุนเหยาต่างก็สามารถคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงได้
นิกายฤทัยจันทราและนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นมิตรที่แน่นเฟ้นต่อกันอย่างยิ่ง
การกระทำส่วนใหญ่ของนิกายฤทัยจันทราจะคล้อยตามนิกายพันธมิตรสวรรค์และมีศักดิ์ฐานะที่แทบจะไม่ต่างกัน
ดังนั้น
ในเมื่อฉู่เทียนเซิงไม่มาร่วมงานก็เป็นไปไม่ได้ที่แม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยจะมาด้วยตนเอง
ท้ายที่สุดแล้วเทียนเจี้ยนจงที่จัดงานฉลองวันเกิด
200 ปี
บางคนฟังดูอาจจะรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างดูลึกล้ำและน่ากลัวมากที่อยู่มาได้นานเยี่ยงนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้วยอดฝีมือระดับปราณฟ้าสามารถมีอายุขัยได้สี่ถึงห้าร้อยปีด้วยซ้ำ
ดังนั้นเทียนเจี้ยนจงที่มีอายุเพียงสองร้อยปี
หากอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่ขนยังไม่ขึ้นดี !
ท้ายที่สุด แม่เฒ่าสุ่ยเยวี่ยก็มีชีวิตมาเกือบสี่ร้อยปีแล้ว
นางต่างหากคือผู้อาวุโสที่แท้จริง
ไม่นานหลังจากนั้นจ้าวสำนักหลิวเหอและหัวหน้าศิษย์อู่อวี้ก็เข้ามาในห้องโถงด้วย
จ้าวสำนักหลิวเหอถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าผู้นำของกองกำลังระดับสองหลายคนในทันที
ส่วนอู่อวี้เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิงและคนอื่นๆ
ดวงตาของมันก็ส่องประกายแวววาว จากนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
"ศิษย์พี่หยุนเหยา ศิษย์น้องจี้
พวกท่านมาถึงนานแล้วหรือ"
อู่อวี้ยิ้มและทักทายพวกเขาอย่างจริงใจ
จากนั้นก็หันไปคารวะจวินอวี้และเฟิงหมิน พลันนั่งลงข้างๆจี้เทียนซิง
มันมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยแววตาเปล่งประกายพลางถามด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังเล็กน้อยว่า
“ศิษย์น้องจี้
หลังจากที่ข้ากับเฟิงหมินจากไปในวันนั้น
ได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเฉียวซวนอีกครั้งหรือ ?"
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ดวงตาคู่งามของเฟิงหมินก็เปล่งประกายสดใส
นางก็รู้สึกสนใจเรื่องนี้เช่นเดียวกันจึงถามจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องจี้ ข้าก็ได้ยินมาว่าเจ้าได้สั่งสอนเฉียวซวนไปชุดใหญ่
มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ?"
จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะต้องเลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“พวกท่านรู้ได้อย่างไร
? เหตุการณ์ในตอนนั้นมีแค่ข้าและพวกมันทั้งสามเท่านั้น”
"อ้อ ?”
อู่อวี้ยิ้มและอุทานออกมาอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวต่อไปว่า
“เจ้าถามกลับเช่นนี้ก็แสดงว่ายอมรับแล้วสินะ"
ดวงตาหงส์ของเฟิงหมินเปล่งประกาย
นางยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์น้องจี้ วันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เจ้าเล่าให้พวกข้าฟังเร็วเข้า"
เอี๋ยนเอ๋อร์ก็ดูสนอกสนใจเรื่องจำพวกนี้มากเช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องของจี้เทียนซิงกับเหล่าอัจฉริยะของนิกายอื่นๆ
มันมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาซุกซนอย่างรู้อยากเห็นพลางกระซิบว่า
“ศิษย์พี่เทียนซิง
บอกมาเถอะ ข้าก็อยากรู้อ่า"
ส่วนหยุนเหยา แม้นว่านางจะไม่พูดอะไร ใบหน้างดงามยังคงวางท่าทีเย็นชาสงบนิ่ง
แต่ดวงตาของนางที่จ้องมองจี้เทียนซิงเผยให้เห็นชัดว่านางก็อยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน
แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างจวินอวี้ที่นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ยังเผยให้เห็นแววตาคาดหวังในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิง
จวินอวี้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายฤทัยจันทรา
นางเข้านอกออกในนิกายพันธมิตรสวรรค์อยู่เป็นประจำและคุ้นเคยกับหยุนเหยาเป็นอย่างดี
นอกจากนี้นางยังทราบเรื่องราวความเป็นมาของจี้เทียนซิงไม่มากก็น้อย
จี้เทียนซิงถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบตัวเขามิใช่คนนอกหรือศัตรู
เขาจึงตัดสินใจเล่าไปว่า “ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
ข้าจะพูดเรื่องนี้สั้นๆก็แล้วกัน”
"ในวันนั้นซื่อเหวินหยูร่วงจากหอคอยเจ็ดดาวอย่างน่าสังเวช เฉียวซวนและศิษย์ทั้งสองของนิกายเฟิงฮั่วคิดจะออกหน้าทวงความยุติธรรมให้มัน
จากนั้นพวกมันก็รวมหัวกันข่มขู่ด่าทอข้า...."
จี้เทียนซิงลดเสียงลงและเล่าเรื่องราวในวันนั้นทั้งหมดออกไป
เมื่อจวินอวี้ เฟิงหมินและอู่อวี้ได้ฟังจนจบ
ทุกคนก็เผยสีหน้าประหลาดใจและมองจี้เทียนซิงด้วยความไม่อยากเชื่อ
ส่วนเอี๋ยนเอ๋อร์ปรบมือให้จี้เทียนซิงด้วยความตื่นเต้นดีใจพลางตะโกนชมเชยว่าศิษย์พี่ของมันช่างยอดเยี่ยมนัก
แม้แต่ดวงตาที่กระจ่างใสของหยุนเหยาก็ยังเป็นประกายด้วยรอยยิ้มน้อยๆและถึงกับต้องมองจี้เทียนซิงถึงสองครั้ง
นางรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงเป็นอย่างดีและทราบว่าเขาจะต้องได้รับประโยชน์มากมายจากบนหอคอยเจ็ดดาว
ในขณะที่จี้เทียนซิงกำลังพูดคุยกับเฟิงหมินและคนอื่นๆด้วยเสียงต่ำ
อีกด้านหนึ่งของห้องโถงกลับมีสายตาเย็นยะเยือกหลายคู่ที่จ้องมองจี้เทียนซิงและพรรคพวกอย่างเงียบงัน
เหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สาวกรุ่นเยาว์สี่คนที่กำลังนั่งพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำ
ทุกคนต่างมีสีหน้ามัวหมอง
คนแรกก็คือซื่อเหวินหยูจากนิกายกระบี่ฟ้า
ตามมาด้วยเฉียวซวนจากนิกายพันใบไม้ร่วง
หวังตงจากนิกายเจิ้นหวู่และซ่งจงจากนิกายเฟิงฮั่ว
เฉียวซวนลดเสียงลงและพูดกับซื่อเหวินหยูถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้หอคอยเจ็ดดาวในวันนั้น
ในขณะที่พูดถึง ความโกรธของมันที่มีต่อจี้เทียนซิงก็ปะทุขึ้นจนแทบอดไม่ไหวที่จะระเบิดออกมา
"พวกเราทั้งสามเพียงต้องการกระตุ้นเตือนจี้เทียนซิงว่าอย่าได้อวดดีเกินไปนัก
คิดไม่ถึงว่ามันกลับทำร้ายข้าสาหัสปานนี้.... "
"พี่เหวินหยู
เจ้าสารเลวจี้เทียนซิงนั่นกำแหงเกินไป
ในเมื่อมันมาเยือนถึงนิกายกระบี่ฟ้าของท่านแล้วยังกลับกล้าวางตัวอวดเบ่งถือดีต่อหน้าเฟิงหมิน
สารเลวเอ้ย !”
คิ้วของซื่อเหวินหยูตึงแน่น
มุมปากแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป
ในเมื่อมันกล้ามาเยือนถึงถิ่นข้า มันจะไม่ได้กลับออกไปง่ายๆนักหรอก !”
“พวกเจ้าอดทนและใจเย็นรอก่อน คืนนี้จะมีโชว์ดีๆให้ได้ชมแน่
!"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved