ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน
จี้เทียนซิงวางสีหน้าไม่แยแสอยู่บนพื้นที่เปิดโล่ง
ปลดปล่อยกลิ่นอายของความมั่นใจและความแข็งแกร่งออกมา
ศิษย์ทั้งสองของนิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็มองอีกฝ่ายด้วยความกลัว
พวกมันไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เฉียวซวนไอค่อกแค่กพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก ดวงตาจ้องมองจี้เทียนซิงและตะโกนออกมาว่า “จี้เทียนซิง เจ้ามันโหดเหี้ยมนัก !”
“ความแค้นนี้ข้าจะจดจำมันไว้
! อย่าได้ภูมิใจไปนักเลย
สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าต้องคุกเข่าอยู่แทบเท้าข้า !”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ศิษย์ทั้งสองก็สีหน้าเปลี่ยนไป
พวกมันจ้องมองเฉียวซวนอย่างดูแคลนพลางกล่าวว่า
"เฉียวซวน เอ๋ยเฉียวซวน เจ้าโง่หรือไง ?"
"เพิ่งจะถูกจี้เทียนซิงซัดหน้าหงายไปยังจะมากล่าววาจายั่วยุอะไรอีก
? รังแต่จะทำให้เจ้าต้องขายหน้าอีกครั้งเสียเปล่าๆ"
คำพูดของทั้งสองจี้ใจดำ เฉียวซวนรู้สึกตกตะลึงและสูญเสียความคิดต่อสู้ไป
แน่นอน
จี้เทียนซิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
"เฮอะ
เจ้ากับซื่อเหวินหยูสมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่กัน
ในเมื่อเจ้าคิดว่าตนเองแน่นัก
ข้าก็จะขอดูว่าเจ้าจะอาศัยอะไรมาทำให้ข้าต้องคุกเข่าแทบเท้า ร้องขอความเมตตา !"
ฟุ่บ !
สิ้นเสียงชายหนุ่มก็ใช้ย่างก้าวไร้เงา
เหลือเพียงภาพติดตาเบื้องหลังพุ่งเข้าหาเฉียวซวนด้วยความเร็วสูงสุด
เขาไม่ได้ใช้กระบี่
เพียงแค่ยกมือซ้ายซัดอีกฝ่ายด้วยหัตถ์เปลวอัคคี
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่มังกรดำ
เฉียวซวนเคยเห็นฝ่ามือเพลิงอันเกรี้ยวกราดนี้มาแล้ว
เมื่อได้เห็นอีกครั้งมันก็หน้าถอดสีและถอยออกไป
ฟุ่บ ! ฟุ่บ !
ศิษย์ของนิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็รีบทะยานไปข้างหน้าเพื่อขัดขวางการจู่โจมของจี้เทียนซิงพลางร่ำร้องออกมาว่า
"จี้เทียนซิง เย็นใจก่อน !"
"เจ้าจะเหี้ยมเกินไปแล้ว ยั้งมือกลับไป
พอได้แล้ว !"
ในความเห็นของพวกมัน
ถึงแม้จี้เทียนซิงจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มพวกมันพร้อมกัน
ท้ายที่สุดจี้เทียนซิงก็ยังไม่ถึงขั้นหยุนเหยา
เขามีขีดจำกัดอยู่ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม
แต่สิ่งที่พวกมันคาดไม่ถึงก็คือจี้เทียนซิงไม่เพียงไม่ยั้งมือ
แต่กลับเร่งความเร็วพุ่งเข้าหาเฉียนซวน !
"วูบ !"
ความเร็วของเขารวดเร็วมาก ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองและพุ่งผ่านระหว่างศิษย์สองคนนั้นในพริบตา
ทั้งสองตกตะลึงในทันที
และเงาตกค้างของหัตถ์เปลวอัคคีก็เกือบจะกระทบถูกพวกมันทั้งคู่
ในเวลาเดียวกันจี้เทียนซิงก็มาถึงเบื้องหน้าเฉียวซวน
พลันซัดฝ่ามือซ้ายกระแทกเข้าอย่างแรง
อ๊ากกกกก !!
ร่างของเฉียวซวนถูกปราณเพลิงแท้จริงซัดเข้าเต็มเปา
มันส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและล้มลงไปนอนบนพื้นทันที
หลังจากเปลวไฟเริ่มสลาย
ศิษย์จากสองนิกายก็เห็นร่างของมันได้ชัดเจน
เฉียวซวนนอนกองอยู่บนพื้นด้วยควันสีดำที่ลอยออกมา
เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน โลหิตไหลนองออกจากปากจมูกไม่ขาดสาย อาการบาดเจ็บของมันยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
พื้นดินที่ปกคลุมด้วยหินชนวนสีดำถูกทุบทำลายกลายเป็นหลุมลึกสามเมตรและมีรอยปริแตกหลายสิบจุด
เฉียวซวนถูกทำร้ายสาหัสและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป
ในตอนนี้มันไม่มีความกล้าที่จะต่อกรกับจี้เทียนซิงอีกแล้ว
มันขบกรามแน่นด้วยความโกรธแค้นและความอัปยศอดสู จากนั้นค่อยๆชันกายลุกขึ้นมาอย่างเงียบงัน
เตรียมจะลงเขาไปโดยไม่หันกลับมามอง
จนกระทั่งเมื่อมันเดินไปถึงขอบพื้นที่เปิดโล่ง
ดวงตาที่หันกลับมาจ้องมองจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังสุดขั้วหัวใจ
เขาฝังความเกลียดชังนี้ไว้ในใจและลอบสาบานในใจอย่างเงียบๆว่าจะจดจำความแค้นในวันนี้ และตอบแทนกลับคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี มันจะต้องล้างอายและเอาเลือดหัวของจี้เทียนซิงออกมาดูเล่นให้จงได้
!
เมื่อเห็นการจากไปอย่างเงียบงันของเฉียวซวน
ศิษย์อีกสองคนก็รีบออกเดินทางอย่างรวดเร็ว
ภายในพริบตาเงาร่างของคนทั้งสามก็หายลับตาไปในป่า
จี้เทียนซิงเฝ้าดูทั้งสามคนจากไปแต่มิได้มีความคิดที่จะฆ่าพวกมัน
เหตุผลที่เขาหนักมือขนาดนี้ก็เพราะต้องการสั่งสอนเฉียวซวนให้หราบจำ
เขารู้มานานแล้วว่าคนผู้นี้เกลียดชังเขามาก
มันทั้งใส่ร้ายป้ายสีและด่าทอเขานับครั้งไม่ถ้วน
ก่อนหน้านี้ในหัวเขามีแต่เรื่องไปให้ถึงชั้นเจ็ดเพื่อช่วยจี้เค่อเป็นอันดับแรก
เขาจึงขี้เกียจเสียเวลามาจัดการกับเฉียวซวน
ในเมื่อตอนนี้สิ่งต่างๆได้จบลงด้วยดี
แต่เฉียวซวนก็ยังมาคุกคามเขาไม่หยุดหย่อน
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลไปได้โดยไม่ทำอะไร !
แนวคิดของจี้เทียนซิงคือ หากอีกฝ่ายไม่ผิดต่อเขา
เขาก็จะไม่ทำผิดต่อผู้นั้น
หากให้การยอมรับเขา เขาก็จะยอมรับคนๆนั้นเช่นนั้น !
……………
หลังจากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกดิน
ท้องฟ้ามืดครึ้มและรัตติกาลกำลังจะมาเยือน
จี้เทียนซิงเรียกเฉียนเยวี่ยออกมาและขึ้นขี่มันเพื่อออกจากหอคอยเจ็ดดาว
มุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์
หกชั่วยามผ่านไป และเวลาก็ล่วงมาถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้น
เฉียนเยวี่ยพาจี้เทียนซิงบินไปเป็นระยะทางกว่าสองพันไมล์เพื่อกลับนิกาย
หลังจากมาถึง เขาก็ตรงกลับไปยังลานเทียนซิง
เข้าไปในห้องลับเพื่อบ่มเพาะต่อเนื่อง
ก่อนหน้านั้น เขาไม่เพียงแค่ได้รับผลไม้วิญญาณมากมายจากในหอคอยเจ็ดดาว
แต่ยังได้รับโอกาสฝึกฝนเป็นเวลาห้าวันในค่ายกลเจ็ดดาว
ในเวลาเพียงห้าวันเขาได้ดึงพลังแห่งดวงดาวจำนวนมากจากวิญญาณโป๋จิง
พวกมันยังไม่ได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ เพียงกักเก็บไว้ในร่างกายเท่านั้น
เขายังคงต้องบ่มเพาะต่อไปอีกสองสามวันเพื่อขัดเกลาพลังดวงดาวเหล่านั้นให้ทั่วถึงและนำพวกมันไปเสริมความแข็งแกร่งของตัวเอง
ส่วนเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงก็ยังคงนอนหลับอยู่ในถุงมิติเพื่อทำการย่อยสลายพลังจากแกนอสูรมากมายที่พวกมันได้รับมา
ทุกอย่างเงียบสงบเป็นเวลาสองวัน
จนกระทั่งถึงวันที่สามก็มีสตรีในชุดขาวนางหนึ่งมาเยือนลานเทียนซิง
ผู้ที่มาก็คือหยุนเหยานั่นเอง
หญิงรับใช้เสี่ยวซวงได้เห็นนางก็รีบเชื้อเชิญเข้าไปด้านในทันที
เพราะนางรู้ว่าหยุนเหยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับจี้เทียนซิง
หลังจากพาหยุนเหยาไปนั่งรอในห้องรับแขก เสี่ยวซวงก็รีบไปที่ห้องลับเพื่อรายงานต่อจี้เทียนซิง
เมื่อจี้เทียนซิงทราบข่าวว่าหยุนเหยามาหา
เขาจึงหยุดการบ่มเพาะอย่างรวดเร็วและออกจากห้องลับ
เขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นและกล่าวทักทายหยุนเหยาด้วยรอยยิ้ม
“คารวะศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมีธุระกับข้า ?”
หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวถามด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
“เจ้าเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง
?"
"ดี ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ต้องขอบคุณคำชี้แนะของศิษย์พี่”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวขอบคุณ
จากนั้นก็หยิบป้ายยืนยันหอคอยเจ็ดดาวออกมา ส่งคืนให้กับหยุนเหยา
"ศิษย์พี่ใหญ่
ป้ายยืนยันนี้ขอส่งคืนเจ้าของเดิม"
หยุนเหยาไม่ยอมรับมัน นางส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า
"เจ้าเก็บมันไว้เถิด ข้าจะไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว"
จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและเก็บป้ายยืนยันกลับไป
จากนั้นหยุนเหยาก็กล่าวขึ้นว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็เพราะคำสั่งท่านอาจารย์
ท่านเรียกให้พวกเราเข้าพบเพราะมีเรื่องสำคัญบางประการ"
"คำสั่งท่านอาจารย์ ? เรื่องสำคัญอะไรกัน ?”
จี้เทียนซิงถามด้วยความฉงน
หยุนเหยาผุดลุกขึ้นและเดินออกจากห้องนั่งเล่นพลางกล่าวว่า
“ไปที่ตำหนักฉิงเทียนก่อนค่อยพูดกัน
ท่านอาจารย์รออยู่"
จี้เทียนซิงพยักหน้าและรีบเดินตามนางไปอย่างรวดเร็ว
มุ่งหน้าไปยังยอดเขาชื่อเซียว
ครึ่งชั่วยามต่อมาทั้งสองก็ขึ้นเขาด้วยกันและเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักฉิงเทียน
จี้เทียนซิงเห็นอย่างรวดเร็วว่าภายในห้องโถงมีคนสองคน
หนึ่งในนั้นก็คือฉู่เทียนเซิงที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์
ส่วนอีกคนหนึ่งคือเอี๋ยนเอ๋อร์
ฉู่เทียนเซิงเห็นว่าศิษย์สายตรงทั้งสามคนมาถึงกันพร้อมเพรียงจึงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า
“พวกเจ้าทั้งสามมากันพร้อมหน้าแล้วสินะ
วันนี้อาจารย์มีเรื่องบางประการต้องประกาศ"
"อีกห้าวันข้างหน้าจะเป็นวันเกิดครบรอบสองร้อยปีของเทียนเจี้ยนจง เมื่อหลายวันก่อนเทียนเจี้ยนจงได้ออกคำเชิญแก่ยอดฝีมือทุกแขนง"
"นิกายเราก็ได้รับคำเชิญด้วยเช่นกัน
แต่ข้าไม่คิดจะไปเยือนนิกายกระบี่ฟ้า ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจส่งพวกเจ้าทั้งสามคนไปเป็นตัวแทน
พวกเจ้าจงเดินทางไปยังนิกายกระบี่ฟ้าเพื่อเข้าร่วมงานวันเกิด"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved