ตอนที่ 334 คำเชิญของประมุขนิกายกระบี่ฟ้า

ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน

จี้เทียนซิงวางสีหน้าไม่แยแสอยู่บนพื้นที่เปิดโล่ง

ปลดปล่อยกลิ่นอายของความมั่นใจและความแข็งแกร่งออกมา

ศิษย์ทั้งสองของนิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็มองอีกฝ่ายด้วยความกลัว

พวกมันไม่กล้าพูดอะไรออกมา

เฉียวซวนไอค่อกแค่กพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก  ดวงตาจ้องมองจี้เทียนซิงและตะโกนออกมาว่า “จี้เทียนซิง เจ้ามันโหดเหี้ยมนัก !”

“ความแค้นนี้ข้าจะจดจำมันไว้

!  อย่าได้ภูมิใจไปนักเลย

สักวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าต้องคุกเข่าอยู่แทบเท้าข้า !”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ศิษย์ทั้งสองก็สีหน้าเปลี่ยนไป

พวกมันจ้องมองเฉียวซวนอย่างดูแคลนพลางกล่าวว่า

"เฉียวซวน เอ๋ยเฉียวซวน เจ้าโง่หรือไง ?"

"เพิ่งจะถูกจี้เทียนซิงซัดหน้าหงายไปยังจะมากล่าววาจายั่วยุอะไรอีก

? รังแต่จะทำให้เจ้าต้องขายหน้าอีกครั้งเสียเปล่าๆ"

คำพูดของทั้งสองจี้ใจดำ  เฉียวซวนรู้สึกตกตะลึงและสูญเสียความคิดต่อสู้ไป

แน่นอน

จี้เทียนซิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

"เฮอะ

เจ้ากับซื่อเหวินหยูสมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักใคร่กัน

ในเมื่อเจ้าคิดว่าตนเองแน่นัก

ข้าก็จะขอดูว่าเจ้าจะอาศัยอะไรมาทำให้ข้าต้องคุกเข่าแทบเท้า ร้องขอความเมตตา !"

ฟุ่บ !

สิ้นเสียงชายหนุ่มก็ใช้ย่างก้าวไร้เงา

เหลือเพียงภาพติดตาเบื้องหลังพุ่งเข้าหาเฉียวซวนด้วยความเร็วสูงสุด

เขาไม่ได้ใช้กระบี่

เพียงแค่ยกมือซ้ายซัดอีกฝ่ายด้วยหัตถ์เปลวอัคคี

ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในยามนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่มังกรดำ

เฉียวซวนเคยเห็นฝ่ามือเพลิงอันเกรี้ยวกราดนี้มาแล้ว

เมื่อได้เห็นอีกครั้งมันก็หน้าถอดสีและถอยออกไป

ฟุ่บ !  ฟุ่บ !

ศิษย์ของนิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็รีบทะยานไปข้างหน้าเพื่อขัดขวางการจู่โจมของจี้เทียนซิงพลางร่ำร้องออกมาว่า

"จี้เทียนซิง เย็นใจก่อน !"

"เจ้าจะเหี้ยมเกินไปแล้ว ยั้งมือกลับไป

พอได้แล้ว !"

ในความเห็นของพวกมัน

ถึงแม้จี้เทียนซิงจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มพวกมันพร้อมกัน

ท้ายที่สุดจี้เทียนซิงก็ยังไม่ถึงขั้นหยุนเหยา

เขามีขีดจำกัดอยู่ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม

แต่สิ่งที่พวกมันคาดไม่ถึงก็คือจี้เทียนซิงไม่เพียงไม่ยั้งมือ

แต่กลับเร่งความเร็วพุ่งเข้าหาเฉียนซวน !

"วูบ !"

ความเร็วของเขารวดเร็วมาก ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองและพุ่งผ่านระหว่างศิษย์สองคนนั้นในพริบตา

ทั้งสองตกตะลึงในทันที

และเงาตกค้างของหัตถ์เปลวอัคคีก็เกือบจะกระทบถูกพวกมันทั้งคู่

ในเวลาเดียวกันจี้เทียนซิงก็มาถึงเบื้องหน้าเฉียวซวน

พลันซัดฝ่ามือซ้ายกระแทกเข้าอย่างแรง

อ๊ากกกกก !!

ร่างของเฉียวซวนถูกปราณเพลิงแท้จริงซัดเข้าเต็มเปา

มันส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและล้มลงไปนอนบนพื้นทันที

หลังจากเปลวไฟเริ่มสลาย

ศิษย์จากสองนิกายก็เห็นร่างของมันได้ชัดเจน

เฉียวซวนนอนกองอยู่บนพื้นด้วยควันสีดำที่ลอยออกมา

เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน โลหิตไหลนองออกจากปากจมูกไม่ขาดสาย  อาการบาดเจ็บของมันยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก

พื้นดินที่ปกคลุมด้วยหินชนวนสีดำถูกทุบทำลายกลายเป็นหลุมลึกสามเมตรและมีรอยปริแตกหลายสิบจุด

เฉียวซวนถูกทำร้ายสาหัสและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป

ในตอนนี้มันไม่มีความกล้าที่จะต่อกรกับจี้เทียนซิงอีกแล้ว

มันขบกรามแน่นด้วยความโกรธแค้นและความอัปยศอดสู  จากนั้นค่อยๆชันกายลุกขึ้นมาอย่างเงียบงัน

เตรียมจะลงเขาไปโดยไม่หันกลับมามอง

จนกระทั่งเมื่อมันเดินไปถึงขอบพื้นที่เปิดโล่ง

ดวงตาที่หันกลับมาจ้องมองจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังสุดขั้วหัวใจ

เขาฝังความเกลียดชังนี้ไว้ในใจและลอบสาบานในใจอย่างเงียบๆว่าจะจดจำความแค้นในวันนี้  และตอบแทนกลับคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี  มันจะต้องล้างอายและเอาเลือดหัวของจี้เทียนซิงออกมาดูเล่นให้จงได้

!

เมื่อเห็นการจากไปอย่างเงียบงันของเฉียวซวน

ศิษย์อีกสองคนก็รีบออกเดินทางอย่างรวดเร็ว

ภายในพริบตาเงาร่างของคนทั้งสามก็หายลับตาไปในป่า

จี้เทียนซิงเฝ้าดูทั้งสามคนจากไปแต่มิได้มีความคิดที่จะฆ่าพวกมัน

เหตุผลที่เขาหนักมือขนาดนี้ก็เพราะต้องการสั่งสอนเฉียวซวนให้หราบจำ

เขารู้มานานแล้วว่าคนผู้นี้เกลียดชังเขามาก

มันทั้งใส่ร้ายป้ายสีและด่าทอเขานับครั้งไม่ถ้วน

ก่อนหน้านี้ในหัวเขามีแต่เรื่องไปให้ถึงชั้นเจ็ดเพื่อช่วยจี้เค่อเป็นอันดับแรก

เขาจึงขี้เกียจเสียเวลามาจัดการกับเฉียวซวน

ในเมื่อตอนนี้สิ่งต่างๆได้จบลงด้วยดี

แต่เฉียวซวนก็ยังมาคุกคามเขาไม่หยุดหย่อน

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลไปได้โดยไม่ทำอะไร !

แนวคิดของจี้เทียนซิงคือ หากอีกฝ่ายไม่ผิดต่อเขา

เขาก็จะไม่ทำผิดต่อผู้นั้น

หากให้การยอมรับเขา เขาก็จะยอมรับคนๆนั้นเช่นนั้น !

……………

หลังจากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกดิน

ท้องฟ้ามืดครึ้มและรัตติกาลกำลังจะมาเยือน

จี้เทียนซิงเรียกเฉียนเยวี่ยออกมาและขึ้นขี่มันเพื่อออกจากหอคอยเจ็ดดาว

มุ่งหน้ากลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

หกชั่วยามผ่านไป และเวลาก็ล่วงมาถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้น

เฉียนเยวี่ยพาจี้เทียนซิงบินไปเป็นระยะทางกว่าสองพันไมล์เพื่อกลับนิกาย

หลังจากมาถึง เขาก็ตรงกลับไปยังลานเทียนซิง

เข้าไปในห้องลับเพื่อบ่มเพาะต่อเนื่อง

ก่อนหน้านั้น เขาไม่เพียงแค่ได้รับผลไม้วิญญาณมากมายจากในหอคอยเจ็ดดาว

แต่ยังได้รับโอกาสฝึกฝนเป็นเวลาห้าวันในค่ายกลเจ็ดดาว

ในเวลาเพียงห้าวันเขาได้ดึงพลังแห่งดวงดาวจำนวนมากจากวิญญาณโป๋จิง

พวกมันยังไม่ได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ เพียงกักเก็บไว้ในร่างกายเท่านั้น

เขายังคงต้องบ่มเพาะต่อไปอีกสองสามวันเพื่อขัดเกลาพลังดวงดาวเหล่านั้นให้ทั่วถึงและนำพวกมันไปเสริมความแข็งแกร่งของตัวเอง

ส่วนเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงก็ยังคงนอนหลับอยู่ในถุงมิติเพื่อทำการย่อยสลายพลังจากแกนอสูรมากมายที่พวกมันได้รับมา

ทุกอย่างเงียบสงบเป็นเวลาสองวัน

จนกระทั่งถึงวันที่สามก็มีสตรีในชุดขาวนางหนึ่งมาเยือนลานเทียนซิง

ผู้ที่มาก็คือหยุนเหยานั่นเอง

หญิงรับใช้เสี่ยวซวงได้เห็นนางก็รีบเชื้อเชิญเข้าไปด้านในทันที

เพราะนางรู้ว่าหยุนเหยามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับจี้เทียนซิง

หลังจากพาหยุนเหยาไปนั่งรอในห้องรับแขก เสี่ยวซวงก็รีบไปที่ห้องลับเพื่อรายงานต่อจี้เทียนซิง

เมื่อจี้เทียนซิงทราบข่าวว่าหยุนเหยามาหา

เขาจึงหยุดการบ่มเพาะอย่างรวดเร็วและออกจากห้องลับ

เขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นและกล่าวทักทายหยุนเหยาด้วยรอยยิ้ม

“คารวะศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมีธุระกับข้า ?”

หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวถามด้วยเสียงนุ่มนวลว่า

“เจ้าเข้าไปในหอคอยเจ็ดดาวครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง

?"

"ดี ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ต้องขอบคุณคำชี้แนะของศิษย์พี่”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวขอบคุณ

จากนั้นก็หยิบป้ายยืนยันหอคอยเจ็ดดาวออกมา ส่งคืนให้กับหยุนเหยา

"ศิษย์พี่ใหญ่

ป้ายยืนยันนี้ขอส่งคืนเจ้าของเดิม"

หยุนเหยาไม่ยอมรับมัน นางส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า

"เจ้าเก็บมันไว้เถิด ข้าจะไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว"

จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและเก็บป้ายยืนยันกลับไป

จากนั้นหยุนเหยาก็กล่าวขึ้นว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็เพราะคำสั่งท่านอาจารย์

ท่านเรียกให้พวกเราเข้าพบเพราะมีเรื่องสำคัญบางประการ"

"คำสั่งท่านอาจารย์ ? เรื่องสำคัญอะไรกัน ?”

จี้เทียนซิงถามด้วยความฉงน

หยุนเหยาผุดลุกขึ้นและเดินออกจากห้องนั่งเล่นพลางกล่าวว่า

“ไปที่ตำหนักฉิงเทียนก่อนค่อยพูดกัน

ท่านอาจารย์รออยู่"

จี้เทียนซิงพยักหน้าและรีบเดินตามนางไปอย่างรวดเร็ว

มุ่งหน้าไปยังยอดเขาชื่อเซียว

ครึ่งชั่วยามต่อมาทั้งสองก็ขึ้นเขาด้วยกันและเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักฉิงเทียน

จี้เทียนซิงเห็นอย่างรวดเร็วว่าภายในห้องโถงมีคนสองคน

หนึ่งในนั้นก็คือฉู่เทียนเซิงที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์

ส่วนอีกคนหนึ่งคือเอี๋ยนเอ๋อร์

ฉู่เทียนเซิงเห็นว่าศิษย์สายตรงทั้งสามคนมาถึงกันพร้อมเพรียงจึงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า

“พวกเจ้าทั้งสามมากันพร้อมหน้าแล้วสินะ

วันนี้อาจารย์มีเรื่องบางประการต้องประกาศ"

"อีกห้าวันข้างหน้าจะเป็นวันเกิดครบรอบสองร้อยปีของเทียนเจี้ยนจง  เมื่อหลายวันก่อนเทียนเจี้ยนจงได้ออกคำเชิญแก่ยอดฝีมือทุกแขนง"

"นิกายเราก็ได้รับคำเชิญด้วยเช่นกัน

แต่ข้าไม่คิดจะไปเยือนนิกายกระบี่ฟ้า ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจส่งพวกเจ้าทั้งสามคนไปเป็นตัวแทน

พวกเจ้าจงเดินทางไปยังนิกายกระบี่ฟ้าเพื่อเข้าร่วมงานวันเกิด"