คำสั่งสวรรค์
จี้เทียนซิงติดตามผู้อาวุโสทั้งสองไปที่ตำหนักฉิงเทียน
ระหว่างทางครุ่นคิดในใจด้วยความสงสัยว่าประมุขนิกายจะมอบรางวัลอะไรให้แก่เขา
?
ครั้งนี้เขาช่วยหยุนเหยาและนำดวงวิญญาณของจี้หลิงที่กุมความลับของนิกายกลับคืนมาได้
วีรกรรมนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก
จี้เทียนซิงประเมินว่าครั้งนี้ประมุขน่าจะตบรางวัลเขาด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะและโอสถล้ำค่าเป็นแน่
นอกนั้นก็คงเป็นปลุกปลอบขวัญให้กำลังใจอะไรเทือกนี้
ในช่วงเวลาสั้นๆเขาก็ได้ติดตามผู้อาวุโสสองไปถึงห้องโถงของตำหนักฉิงเทียน
ประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์ฉู่เทียนเซิงสวมเสื้อคลุมสีทองนั่งอยู่ทางทิศเหนือของบัลลังก์นิกาย
จี้เทียนซิงเดินมาถึงกลางห้องโถงและกล่าวคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าพึงพอใจและกล่าวว่า “จี้เทียนซิง
ครั้งนี้เจ้าช่วยหยุนเหยากลับมาอย่างปลอดภัยและนำดวงวิญญาณของจี้หลิงกลับมาได้ เรื่องนี้นับเป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยม
เจ้าถือเป็นวีรบุรุษของนิกายแห่งนี้ ข้าประมุขย่อมต้องตบรางวัลเจ้าอย่างงาม !”
หลังจากพูดจบก็หยิบขวดหยกสีขาวออกจากแหวนมิติและยังมีป้ายสีดำรูปทรงเหมือนเพชรอีกอันหนึ่ง
“ข้าเห็นว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บจึงมอบเม็ดยาหยกน้ำค้างสามเม็ดให้เจ้า
โอสถนี้เป็นเม็ดยาระดับล้ำลึกที่สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานบ่มเพาะ”
“นอกจากนี้
ข้าประมุขจะมอบป้ายคำสั่งสวรรค์ให้เจ้าเป็นรางวัลอีกด้วย !”
กล่าวจบฉู่เทียนเซิงก็โบกมือด้วยพลังปราณสีแดงม้วนพันไปที่ขวดหยกสีขาวและป้ายคำสั่งสวรรค์
พุ่งไปหาจี้เทียนซิง
ชายหนุ่มเหยียดมือออกไปคว้าพวกมันทั้งสองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย
เขารู้ดีว่าในขวดสีขาวก็คือโอสถหยกน้ำค้างที่เป็นโอสถในการรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่เขางงงวยก็คือทำไมประมุขถึงมอบป้ายคำสั่งสวรรค์เป็นรางวัลแก่เขาด้วย
?
ฉู่เทียนเซิงเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเขาจึงอธิบายว่า “ป้ายคำสั่งสวรรค์เป็นดั่งป้ายแทนตัวของข้า
ศิษย์นับพันของนิกายเรามีเพียง 6 คนเท่านั้นที่ถือครอง
เจ้าเป็นคนที่ 7”
“ด้วยป้ายนี้เจ้าจะสามารถเข้าออกดินแดนดาราบรรพกาลได้อย่างอิสระ
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงศาลายุทธ์, ห้องคัมภีร์, หอวิญญาณโอสถและสถานที่อื่นๆแทบทั้งหมดยกเว้นเขตหวงห้ามสูงสุด”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉู่เทียนเซิง
จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและดวงตาเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
หากเขาถือครองป้ายนี้
สถานะและอำนาจของเขาแทบจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสของนิกายได้เลยทีเดียว !
ทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์มีศิษย์เพียง
6 คนเท่านั้นที่ถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์
เขาคิดในใจลับๆว่าหยุนเหยา ไป๋หวู่เชินและห่าวเมิ่งย่อมเป็นหนึ่งในนั้นเพราะทั้ง 3 คนนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะชั้นยอด
“ดังนั้นสถานะและอำนาจของข้าในนิกายนี้ก็เทียบเท่าอัจฉริยะชั้นสูงพวกนั้นแล้วใช่หรือไม่
?”
“กล่าวไปแล้วก็แปลกนัก
ข้าเพียงแค่ช่วยหยุนเหยาและนำดวงวิญญาณของจี้หลิงกลับมาเท่านั้น
ที่จริงท่านประมุขเพียงมอบโอสถสามเม็ดนั่นให้ข้าก็พอแล้ว
เหตุใดถึงได้มอบป้ายคำสั่งสวรรค์ของนิกายแถมมาอีก ?”
“รางวัลตอบแทนคุณงามความดีครั้งนี้ดูเหมือนจะมากเกินไปหน่อยกระมัง
?”
ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะได้ป้ายคำสั่งสวรรค์ที่นับเป็นเกียรติยศอย่างยิ่ง แต่ในใจของเขาก็มิได้ตื่นเต้นยินดีมากนัก
เขาเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย
เขารู้สึกได้อย่างชัดแจ้งว่าฉู่เทียนเซิงผู้นี้ดูเหมือนจะสนใจในตัวเขา
อย่างไรก็ตาม
เรื่องนี้นับเป็นสิ่งที่ดีเพราะเขามีแต่ได้กับได้
เขาไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้ใดให้มากความหากมีป้ายคำสั่งสวรรค์นี้
ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงยอมรับรางวัลทั้งสองอย่างรวดเร็วและกล่าวขอบคุณฉู่เทียนเซิง
“ศิษย์ขอบคุณสำหรับความมีเมตตาของท่านประมุขและจะขยันฝึกฝนมิให้ท่านต้องผิดหวัง
!”
“อืม
ดีแล้ว” ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า
“ด้วยความแข็งแกร่งในระดับปราณแท้ของเจ้านั้น
การช่วยหยุนเหยาและหลบหนีออกมาจากถ้ำปีศาจนับว่าแทบเป็นไปไม่ได้ จากความจริงที่หาได้ยากข้อนี้มันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าอัจฉริยะทั่วไป”
“ภายภาคหน้าเจ้าจะต้องไม่หย่อนยานในการฝึกฝนและต้องเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในให้ได้ สักวันเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในแกนนำของนิกายเรา”
“ข้าจะคอยดูอนาคตของเจ้าด้วยความคาดหวัง !”
จี้เทียนซิงมองออกว่าคำพูดเหล่านี้มิใช่คำพูดปลุกปลอบขวัญกำลังใจเหล่าศิษย์ทั่วๆไป
เห็นได้ชัดว่าฉู่เทียนเซิงตั้งความหวังกับเขาไว้เป็นอย่างสูงและอาจมอบหมายภารกิจใหญ่หลวงในเขาในอนาคต
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้จี้เทียนซิงก็กล่าวขอบคุณอีกครั้งจากนั้นก็ออกจากห้องโถงตำหนักฉิงเทียนไป
หลังออกมาจากยอดเขาเมฆาสีชาด
ชายหนุ่มก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าและเห็นว่าฟ้ายังเปิดอยู่
เขาจึงยังไม่กลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและมุ่งหน้าตรงไปยังหอตำราในภูเขา
หลังจากผ่านภารกิจนี้มา
จี้เทียนซิงค้นพบว่ายังมีพื้นที่แปลกๆอีกมากมายนอกอาณาจักรเทียนเฉิน
นอกเหนือจากอาณาจักรเทียนเฉิน
เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนอื่นๆอีกเลยรวมไปถึงทั่วทั้งทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาล
ซึ่งวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการเข้าถึงข้อมูลของอาณาจักรทั้งหลายและทั่วทั้งทวีปก็คือการอ่านตำราทางประวัติศาสตร์
หอตำราตั้งอยู่ในส่วนของฝ่ายในซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามและจี้เทียนซิงไม่มีสิทธิ์เข้าไป แต่ทว่าตอนนี้ต่างออกไป
เขาถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์และสามารถเข้าออกได้แทบทุกที่ในนิกาย
หอตำราแตกต่างจากศาลายุทธ์
เพราะศาลายุทธ์คือตำหนักที่เก็บรักษาเคล็ดวิชาวิทยายุทธ์, ข่ายอาคมและตำรับยาทั้งหมดไว้ด้วยกัน
ส่วนหอตำราไม่มีคัมภีร์และเคล็ดวิชาใดๆ
มันมีแต่เพียงตำราประวัติศาสตร์ ชีวประวัติและเทพนิยายปรัมปราเท่านั้น
นิกายพันธมิตรสวรรค์มีอายุนับพันปีซึ่งเต็มไปด้วยมรดกตกทอดทั้งวิทยายุทธ์และความรู้ในอดีตกาลมากมาย ดังนั้นนิกายนี้จึงมีหอตำราที่สุดที่สุดและมีข้อมูลครอบคลุมที่สุดทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน
มีหนังสือและตำราหลายแสนเล่มในหอแห่งนี้
มันรวมไปถึงความรู้และข้อมูลแปลกๆนับพันปี
เมื่อจี้เทียนซิงเดินเข้าไปถึงหอตำราก็ถูกผู้ดูแลชุดดำที่เฝ้าประตูขวางเอาไว้
เขาหยิบป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมาและมอบให้กับผู้ดูแลชุดดำ
เมื่อคนผู้นั้นได้เห็นป้ายนี้ก็อึ้งอิมกี่ในทันที
สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างเหลือเชื่อ
เขารู้ชัดเจนว่าทั่วทั้งนิกายมีเพียง
6 คนเท่านั้นที่ถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นศิษย์อัจฉริยะชั้นยอดของฝ่ายใน
แต่จี้เทียนซิงเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้น !
ที่สำคัญคือป้ายคำสั่งนี้มีพลังปราณของประมุขประทับไว้เป็นพิเศษและไม่สามารถปลอมแปลงได้
เมื่อตรวจสอบป้ายคำสั่งสวรรค์แล้วว่าเป็นของแท้
ผู้ดูแลชุดดำก็ปล่อยให้จี้เทียนซิงผ่านเข้าไปด้วยแววตาซับซ้อน
จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะขอบคุณและเดินเข้าไปในหอตำราเพื่อเปิดอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆ
เขาเดินไปเดินมารอบๆชั้นตำราแถวหนึ่งอยู่ชั่วครู่จนได้พบหนังสือสองเล่มที่น่าสนใจ
เขาหยิบมันมานั่งอ่านบนโต๊ะข้างหน้าต่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
หนึ่งในนั้นคือหนังสือ《ประวัติศาสตร์ทั่วไปของทวีปปราณสวรรค์》ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกเน้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์และรูปแบบทางภูมิศาสตร์ของทวีปปราณสวรรค์ในอดีตช่วงสามพันปีที่ผ่านมา
ส่วนหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ《บันทึกสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของเก้าอาณาจักร》ซึ่งเขียนเกี่ยวกับสถานการณ์ในรอบพันปีของเก้าอาณาจักรทางตอนใต้ของทวีปปราณสวรรค์รวมไปถึงภาวะแปลกประหลาดต่างๆที่เคยเกิดขึ้น
สำหรับศิษย์ฝ่ายในคนอื่นๆ
หนังสือสองเล่มนี้เป็นเรื่องธรรมดามากและไม่มีใครสนใจ
แต่สำหรับจี้เทียนซิงที่เป็นดั่งกบใบบ่อและไม่เคยสัมผัสข้อมูลเหล่านี้มาก่อนก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่และน่าสนใจอย่างมาก
หอตำราเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
ดวงอาทิตย์ส่องแสงผ่านหน้าต่างไปที่โต๊ะ
สะท้อนใบหน้าที่เคร่งเครียดจริงจังของเขาออกมา
ในเวลานี้เองดรุณีน้อยผู้งดงามในชุดคลุมยาวสีเขียวก็เดินชดช้อยเข้ามาในหอตำรา
เมื่อนางมองไปที่หน้าต่างและเห็นจี้เทียนซิงที่กำลังใจจดใจจ่อกับการอ่านหนังสืออยู่ นางอดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองและผุดรอยยิ้มตื่นเขินขึ้น
*****
เรื่องอาณาจักร ดินแดน ทวีป อธิบายได้ตามนี้ครับ
ตระกูลจี้อยู่ในเมืองจักรวรรดิชิงหยุน -> จักรวรรดิชิงหยุนเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน
ซึ่งแว่นแคว้นและประเทศทั้งหมดที่กล่าวถึงตั้งแต่ช่วงที่พวกพระเอกเดินทางเข้านิกายล้วนอยู่ในอาณาจักรเทียนเฉินทั้งสิ้น
อาณาจักรเทียนเฉินเป็น ‘หนึ่งใน’ อาณาจักรอีกมากมายของทวีปนี้
(ตอนนี้กล่าวถึงอาณาจักรหยงอันเพิ่มอีกหนึ่ง)
ดินแดนดาราบรรพกาลเป็นพื้นที่เอกเทศที่ลึกลับและไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่
สังเกตตอนที่พระเอกเข้านิกาย ต้องเปิดค่ายกลผ่านประตูวาร์ปเข้ามา
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved