ตอนที่ 165

คำสั่งสวรรค์

จี้เทียนซิงติดตามผู้อาวุโสทั้งสองไปที่ตำหนักฉิงเทียน

ระหว่างทางครุ่นคิดในใจด้วยความสงสัยว่าประมุขนิกายจะมอบรางวัลอะไรให้แก่เขา

?

ครั้งนี้เขาช่วยหยุนเหยาและนำดวงวิญญาณของจี้หลิงที่กุมความลับของนิกายกลับคืนมาได้

วีรกรรมนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก

จี้เทียนซิงประเมินว่าครั้งนี้ประมุขน่าจะตบรางวัลเขาด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะและโอสถล้ำค่าเป็นแน่

นอกนั้นก็คงเป็นปลุกปลอบขวัญให้กำลังใจอะไรเทือกนี้

ในช่วงเวลาสั้นๆเขาก็ได้ติดตามผู้อาวุโสสองไปถึงห้องโถงของตำหนักฉิงเทียน

ประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์ฉู่เทียนเซิงสวมเสื้อคลุมสีทองนั่งอยู่ทางทิศเหนือของบัลลังก์นิกาย

จี้เทียนซิงเดินมาถึงกลางห้องโถงและกล่าวคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าพึงพอใจและกล่าวว่า “จี้เทียนซิง

ครั้งนี้เจ้าช่วยหยุนเหยากลับมาอย่างปลอดภัยและนำดวงวิญญาณของจี้หลิงกลับมาได้ เรื่องนี้นับเป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยม

เจ้าถือเป็นวีรบุรุษของนิกายแห่งนี้ ข้าประมุขย่อมต้องตบรางวัลเจ้าอย่างงาม !”

หลังจากพูดจบก็หยิบขวดหยกสีขาวออกจากแหวนมิติและยังมีป้ายสีดำรูปทรงเหมือนเพชรอีกอันหนึ่ง

“ข้าเห็นว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บจึงมอบเม็ดยาหยกน้ำค้างสามเม็ดให้เจ้า

โอสถนี้เป็นเม็ดยาระดับล้ำลึกที่สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานบ่มเพาะ”

“นอกจากนี้

ข้าประมุขจะมอบป้ายคำสั่งสวรรค์ให้เจ้าเป็นรางวัลอีกด้วย !”

กล่าวจบฉู่เทียนเซิงก็โบกมือด้วยพลังปราณสีแดงม้วนพันไปที่ขวดหยกสีขาวและป้ายคำสั่งสวรรค์

พุ่งไปหาจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มเหยียดมือออกไปคว้าพวกมันทั้งสองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย

เขารู้ดีว่าในขวดสีขาวก็คือโอสถหยกน้ำค้างที่เป็นโอสถในการรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างสมบูรณ์แบบ  แต่สิ่งที่เขางงงวยก็คือทำไมประมุขถึงมอบป้ายคำสั่งสวรรค์เป็นรางวัลแก่เขาด้วย

?

ฉู่เทียนเซิงเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเขาจึงอธิบายว่า “ป้ายคำสั่งสวรรค์เป็นดั่งป้ายแทนตัวของข้า

ศิษย์นับพันของนิกายเรามีเพียง 6 คนเท่านั้นที่ถือครอง

เจ้าเป็นคนที่ 7”

“ด้วยป้ายนี้เจ้าจะสามารถเข้าออกดินแดนดาราบรรพกาลได้อย่างอิสระ

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงศาลายุทธ์, ห้องคัมภีร์, หอวิญญาณโอสถและสถานที่อื่นๆแทบทั้งหมดยกเว้นเขตหวงห้ามสูงสุด”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉู่เทียนเซิง

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและดวงตาเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

หากเขาถือครองป้ายนี้

สถานะและอำนาจของเขาแทบจะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสของนิกายได้เลยทีเดียว !

ทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์มีศิษย์เพียง

6 คนเท่านั้นที่ถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์

เขาคิดในใจลับๆว่าหยุนเหยา ไป๋หวู่เชินและห่าวเมิ่งย่อมเป็นหนึ่งในนั้นเพราะทั้ง 3 คนนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะชั้นยอด

“ดังนั้นสถานะและอำนาจของข้าในนิกายนี้ก็เทียบเท่าอัจฉริยะชั้นสูงพวกนั้นแล้วใช่หรือไม่

?”

“กล่าวไปแล้วก็แปลกนัก

ข้าเพียงแค่ช่วยหยุนเหยาและนำดวงวิญญาณของจี้หลิงกลับมาเท่านั้น

ที่จริงท่านประมุขเพียงมอบโอสถสามเม็ดนั่นให้ข้าก็พอแล้ว

เหตุใดถึงได้มอบป้ายคำสั่งสวรรค์ของนิกายแถมมาอีก ?”

“รางวัลตอบแทนคุณงามความดีครั้งนี้ดูเหมือนจะมากเกินไปหน่อยกระมัง

?”

ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะได้ป้ายคำสั่งสวรรค์ที่นับเป็นเกียรติยศอย่างยิ่ง แต่ในใจของเขาก็มิได้ตื่นเต้นยินดีมากนัก

เขาเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย

เขารู้สึกได้อย่างชัดแจ้งว่าฉู่เทียนเซิงผู้นี้ดูเหมือนจะสนใจในตัวเขา

อย่างไรก็ตาม

เรื่องนี้นับเป็นสิ่งที่ดีเพราะเขามีแต่ได้กับได้

เขาไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้ใดให้มากความหากมีป้ายคำสั่งสวรรค์นี้

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงยอมรับรางวัลทั้งสองอย่างรวดเร็วและกล่าวขอบคุณฉู่เทียนเซิง

“ศิษย์ขอบคุณสำหรับความมีเมตตาของท่านประมุขและจะขยันฝึกฝนมิให้ท่านต้องผิดหวัง

!”

“อืม

ดีแล้ว” ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า

“ด้วยความแข็งแกร่งในระดับปราณแท้ของเจ้านั้น

การช่วยหยุนเหยาและหลบหนีออกมาจากถ้ำปีศาจนับว่าแทบเป็นไปไม่ได้ จากความจริงที่หาได้ยากข้อนี้มันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าอัจฉริยะทั่วไป”

“ภายภาคหน้าเจ้าจะต้องไม่หย่อนยานในการฝึกฝนและต้องเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในให้ได้  สักวันเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในแกนนำของนิกายเรา”

“ข้าจะคอยดูอนาคตของเจ้าด้วยความคาดหวัง !”

จี้เทียนซิงมองออกว่าคำพูดเหล่านี้มิใช่คำพูดปลุกปลอบขวัญกำลังใจเหล่าศิษย์ทั่วๆไป

เห็นได้ชัดว่าฉู่เทียนเซิงตั้งความหวังกับเขาไว้เป็นอย่างสูงและอาจมอบหมายภารกิจใหญ่หลวงในเขาในอนาคต

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้จี้เทียนซิงก็กล่าวขอบคุณอีกครั้งจากนั้นก็ออกจากห้องโถงตำหนักฉิงเทียนไป

หลังออกมาจากยอดเขาเมฆาสีชาด

ชายหนุ่มก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าและเห็นว่าฟ้ายังเปิดอยู่

เขาจึงยังไม่กลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและมุ่งหน้าตรงไปยังหอตำราในภูเขา

หลังจากผ่านภารกิจนี้มา

จี้เทียนซิงค้นพบว่ายังมีพื้นที่แปลกๆอีกมากมายนอกอาณาจักรเทียนเฉิน

นอกเหนือจากอาณาจักรเทียนเฉิน

เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนอื่นๆอีกเลยรวมไปถึงทั่วทั้งทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาล

ซึ่งวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการเข้าถึงข้อมูลของอาณาจักรทั้งหลายและทั่วทั้งทวีปก็คือการอ่านตำราทางประวัติศาสตร์

หอตำราตั้งอยู่ในส่วนของฝ่ายในซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามและจี้เทียนซิงไม่มีสิทธิ์เข้าไป   แต่ทว่าตอนนี้ต่างออกไป

เขาถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์และสามารถเข้าออกได้แทบทุกที่ในนิกาย

หอตำราแตกต่างจากศาลายุทธ์

เพราะศาลายุทธ์คือตำหนักที่เก็บรักษาเคล็ดวิชาวิทยายุทธ์, ข่ายอาคมและตำรับยาทั้งหมดไว้ด้วยกัน

ส่วนหอตำราไม่มีคัมภีร์และเคล็ดวิชาใดๆ

มันมีแต่เพียงตำราประวัติศาสตร์ ชีวประวัติและเทพนิยายปรัมปราเท่านั้น

นิกายพันธมิตรสวรรค์มีอายุนับพันปีซึ่งเต็มไปด้วยมรดกตกทอดทั้งวิทยายุทธ์และความรู้ในอดีตกาลมากมาย ดังนั้นนิกายนี้จึงมีหอตำราที่สุดที่สุดและมีข้อมูลครอบคลุมที่สุดทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน

มีหนังสือและตำราหลายแสนเล่มในหอแห่งนี้

มันรวมไปถึงความรู้และข้อมูลแปลกๆนับพันปี

เมื่อจี้เทียนซิงเดินเข้าไปถึงหอตำราก็ถูกผู้ดูแลชุดดำที่เฝ้าประตูขวางเอาไว้

เขาหยิบป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมาและมอบให้กับผู้ดูแลชุดดำ

เมื่อคนผู้นั้นได้เห็นป้ายนี้ก็อึ้งอิมกี่ในทันที

สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างเหลือเชื่อ

เขารู้ชัดเจนว่าทั่วทั้งนิกายมีเพียง

6 คนเท่านั้นที่ถือครองป้ายคำสั่งสวรรค์

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นศิษย์อัจฉริยะชั้นยอดของฝ่ายใน

แต่จี้เทียนซิงเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้น !

ที่สำคัญคือป้ายคำสั่งนี้มีพลังปราณของประมุขประทับไว้เป็นพิเศษและไม่สามารถปลอมแปลงได้

เมื่อตรวจสอบป้ายคำสั่งสวรรค์แล้วว่าเป็นของแท้

ผู้ดูแลชุดดำก็ปล่อยให้จี้เทียนซิงผ่านเข้าไปด้วยแววตาซับซ้อน

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะขอบคุณและเดินเข้าไปในหอตำราเพื่อเปิดอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆ

เขาเดินไปเดินมารอบๆชั้นตำราแถวหนึ่งอยู่ชั่วครู่จนได้พบหนังสือสองเล่มที่น่าสนใจ

เขาหยิบมันมานั่งอ่านบนโต๊ะข้างหน้าต่างอย่างตั้งอกตั้งใจ

หนึ่งในนั้นคือหนังสือ《ประวัติศาสตร์ทั่วไปของทวีปปราณสวรรค์》ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกเน้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์และรูปแบบทางภูมิศาสตร์ของทวีปปราณสวรรค์ในอดีตช่วงสามพันปีที่ผ่านมา

ส่วนหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ《บันทึกสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของเก้าอาณาจักร》ซึ่งเขียนเกี่ยวกับสถานการณ์ในรอบพันปีของเก้าอาณาจักรทางตอนใต้ของทวีปปราณสวรรค์รวมไปถึงภาวะแปลกประหลาดต่างๆที่เคยเกิดขึ้น

สำหรับศิษย์ฝ่ายในคนอื่นๆ

หนังสือสองเล่มนี้เป็นเรื่องธรรมดามากและไม่มีใครสนใจ

แต่สำหรับจี้เทียนซิงที่เป็นดั่งกบใบบ่อและไม่เคยสัมผัสข้อมูลเหล่านี้มาก่อนก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่และน่าสนใจอย่างมาก

หอตำราเต็มไปด้วยความเงียบสงบ

ดวงอาทิตย์ส่องแสงผ่านหน้าต่างไปที่โต๊ะ

สะท้อนใบหน้าที่เคร่งเครียดจริงจังของเขาออกมา

ในเวลานี้เองดรุณีน้อยผู้งดงามในชุดคลุมยาวสีเขียวก็เดินชดช้อยเข้ามาในหอตำรา

เมื่อนางมองไปที่หน้าต่างและเห็นจี้เทียนซิงที่กำลังใจจดใจจ่อกับการอ่านหนังสืออยู่  นางอดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองและผุดรอยยิ้มตื่นเขินขึ้น

*****

เรื่องอาณาจักร ดินแดน ทวีป อธิบายได้ตามนี้ครับ

ตระกูลจี้อยู่ในเมืองจักรวรรดิชิงหยุน ->  จักรวรรดิชิงหยุนเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน

ซึ่งแว่นแคว้นและประเทศทั้งหมดที่กล่าวถึงตั้งแต่ช่วงที่พวกพระเอกเดินทางเข้านิกายล้วนอยู่ในอาณาจักรเทียนเฉินทั้งสิ้น

อาณาจักรเทียนเฉินเป็น ‘หนึ่งใน’ อาณาจักรอีกมากมายของทวีปนี้

(ตอนนี้กล่าวถึงอาณาจักรหยงอันเพิ่มอีกหนึ่ง)

ดินแดนดาราบรรพกาลเป็นพื้นที่เอกเทศที่ลึกลับและไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่

สังเกตตอนที่พระเอกเข้านิกาย ต้องเปิดค่ายกลผ่านประตูวาร์ปเข้ามา