ตอนที่ 45

เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุทธภพ

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน

ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงและอากาศร้อนอบอ้าว

จัตุรัสด้านนอกหอฝึกยุทธ์ไร้ซึ่งผู้คน

เพราะโดยส่วนมากคนของตระกูลจี้จะไม่ออกมาฝึกฝนกันในเวลานี้

จี้เทียนซิงก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของหอฝึกยุทธ์

เขาสอดส่องไปรอบๆและเห็นว่าไม่มีคนอยู่ จึงเดินไปที่มุมที่มีแท่นเสาหินสูง

เมื่อมองดูเสาหินที่อยู่ด้านหน้า

อารมณ์ของเขากลายเป็นซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ได้แล้ว

แต่วิถีดวงใจกระบี่ก็เป็นวิทยายุทธ์ที่ต่างออกไปจากคนทั่วไปและไม่มีผู้ใดได้ยินมาก่อน

เขาไม่แน่ใจว่าความแข็งแกร่งของเขาในเวลานี้จะตัดผ่านไปถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงได้หรือไม่

มีเพียงการทดสอบระดับพลังที่ศิลาวิญญาณนี้เท่านั้นจึงจะพิสูจน์ทฤษฎีก่อนหน้านี้ทั้งหมดได้

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆหลายครา

ชายหนุ่มก็ยื่นมือออกมาและกดมันไว้กับศิลาวิญญาณ จากนั้นก็กระตุ้นพลังงานลมปราณในร่างให้แผ่พุ่งออกมา

ทันใดนั้น

ตัวอ่อนกระบี่ทองคำก็ผลักดันพลังลมปราณอันแข็งกร้าวออกมา ผ่านฝ่ามือของเขาเข้าไปในศิลาหินเกลียว

เส้นสายสีดำของศิลาหินทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน

พวกมันส่องแสงสีแดง -  เป็นสีแดงสองขีด !

แสงสีแดงแสงถึงความแข็งแกร่งในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงและขีดสองขีดนั้นแสดงถึงระดับขั้น  ซึ่งมันก็คือขั้นที่สอง

“เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง…ขั้นที่สอง?!”

จี้เทียนซิงยกคิ้วของเขาขึ้นทันที

และเผยใบหน้าอึ้งออกมา  หัวใจสูบฉีดและเต้นรัวขึ้นหลายเท่า

“เป็นอย่างที่คาดเลย !  มันถูกต้อง !  ตัวอ่อนกระบี่ก็คือตันเถียนที่กักเก็บพลังของข้านั้นเอง

กระบวนการควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ก็เทียบเท่ากับการบ่มเพาะของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

!”

“แต่ข้าสงสัยว่าทำไมข้าเพียงควบแน่นตัวอ่อนกระบี่สำเร็จถึงได้ข้ามขั้นไปเขตแดนใหญ่ๆได้

?   จากปรับแต่งกายาขั้นที่

9 ทะยานไปถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่

2 ?”

ใจใจของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและรู้สึกเหลือเชื่อ

ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์แขนงใด

ตั้งแต่ปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 ไปจนถึงต้นกำเนิดแท้จริงย่อมต้องผ่านขั้นที่

1 ไปก่อน

หลังจากบ่มเพาะและฝึกฝนอย่างหนัก

คนผู้นั้นจึงจะสามารถตัดผ่านไปยังขั้นที่ 2

3 และ

4  ...

นี่เป็นความรู้และทฤษฎีพื้นฐานของการฝึกวิทยายุทธ์ที่เด็ก

7-8 ขวบยังรู้

แต่จี้เทียนซิงกลับกระโดดข้ามจากปรับแต่งกายา

9 ทะลวงไปยังต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 2  เหตุการณ์นี้มันทุบทำลายสามัญสำนึกของชาวยุทธ์ทั่วหล้าโดยสิ้นเชิง

!

แล้วเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร ?

หลังจากนั้นไม่นานจี้เทียนซิงก็รั้งฝ่ามือกลับมาและข่มใจให้สงบลง

เขาขมวดคิ้วและคิดเกี่ยวกับมันเพื่อพยายามคาดเดาสาเหตุ

“จอมยุทธ์ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นแรกยังต้องฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างหนักถึง

2 ปีกว่าจะสะสมพลังลมปราณได้มากพอที่จะทะลวงผ่านไปยังขั้นที่

2”

“แต่สำหรับข้า

ข้าฝึกฝนบ่มเพาะตามหลักการของวิถีดวงใจกระบี่ซึ่งเป็นการควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ที่ต้องสะสมพลังลมปราณมากกว่าจอมยุทธ์อื่นๆหลายเท่า

เป็นไปได้ว่ามันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้ากระโดดข้ามไปยังขั้นที่ 2 ทันที  ต้องเป็นเช่นนี้แน่ !”

“นี่เป็นผลจากทั้งวิถีดวงใจกระบี่และพลังของดอกไม้ดาราแดงเป็นแน่

ฝั่งหนึ่งช่วยปรับเปลี่ยนเส้นชีพจรลมปราณใหม่ทั้งหมด

และอีกหนึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบ่มเพาะ”

เมื่อคาดเดาเหตุผลได้เช่นนี้ในใจ

จี้เทียนซิงก็รู้สึกสบายใจขึ้น

ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการยืนยันจากศิลาหินเกลียวแล้ว

ความวิตกกังวลและความกังวลใจเพียงไม่กี่ข้อของเขาก็หายไป

จากนี้ไป

เขาจะมุ่งหน้าฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่ต่อไป !

หลังจากนั้นจี้เทียนซิงก็ออกจากหอฝึกยุทธ์และเตรียมจะกลับห้องของตน

ระหว่างทางเขานึกถึงเสี่ยวปิงหูขึ้นได้ในทันที

“อ้าว.....

นี่ข้าลืมเสี่ยวปิงหูเลยหรือนี่”

“ข้าขังมันไว้ในห้องหลังจากกลับมา

ข้าไม่ได้บอกให้ฮวนเอ๋อดูแลมันเสียด้วย ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”

เมื่อชายหนุ่มนึกขึ้นได้

เขาก็รีบไปที่ห้องครัวและหยิบผลไม้ยัดๆใส่ตระกร้าและเดินกลับไปที่ห้อง

เมื่อกลับมาในห้อง

เขาปิดประตูลงและเปิดตู้ไม้ที่มุมห้อง

หลังจากเปิดตู้แล้วเขาเห็นเสี่ยวปิงหูกำลังนอนขดตัวอยู่ในตู้และหลับอยู่

“เสี่ยวปิงหู ตื่นได้แล้ว

ข้านำอาหารอร่อยมาให้เจ้าแล้ว”

ในขณะที่พูดชายหนุ่มก็เอื้อมมือออกไปเขย่าหัวมันอีกด้วย

เสี่ยวปิงหูเปิดตาขึ้นและมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสบายใจจากนั้นก็เบนสายตามองดูผลไม้ในตะกร้าพลางกล่าวว่า

“วางไว้ก่อน เดี๋ยวหิวแล้วข้ากินเอง”

น้ำเสียงของมันฟังดูเกียจคร้านเล็กน้อย

หลังจากกล่าวจบมันก็นอนหลับต่อ

“หืม........?” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและมองมันด้วยแววตาครุ่นคิด

เสี่ยวปิงหูเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์และฉลาดหลักแหลม

มันไม่มีทางไม่สนใจของกินหากต้องอดอาหารมาหลายวัน

เว้นเสียแต่ว่า......

“เฮอะ !” จี้เทียนซิงแค่นเสียงออกมาและชี้ไปที่มันพลางกล่าวว่า

“เสี่ยวปิงหู บอกมาตามตรง

เจ้าไปขโมยอาหารมากินใช่ไหม ?”

ดวงตาของเสี่ยวปิงหูเปิดขึ้นเล็กน้อยและปิดลง

มันพูดในระหว่างหลับตาว่า “ข้าเพิ่งบุกไปห้องครัวบ้านเจ้ามาและซัดไก่ย่างไปชิ้นเดียวเอง  สหายจี้ ทำไมเจ้าต้องโวยวายด้วยล่ะ ?”

จี้เทียนซิงย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน

เขาพูดพลางหัวเราะเย้ยว่า “เหอะ ! ปากเจ้ามันแพล่บขนาดนี้ แน่ใจหรือว่าชิ้นเดียว

?”

เสี่ยวปิงหูชูศีรษะขึ้นเล็กน้อยและกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มว่า

“ก็ได้ ก็ได้.... ข้ายอมรับแล้ว  ข้าซัดไก่ย่างในครัวบ้านเจ้าเข้าท้องไปทั้งหมด 46 ตัวในช่วงสองวันมานี้”

“สหายจี้เป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว

ข้าหิวก็เลยต้องขโมยกินเพราะเจ้าไม่อยู่นี่นา

ข้ารู้ว่าเจ้าบ่มเพาะอยู่ก็เลยไม่อยากกวน

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตไม่ใช่หรือไง ?”

“เจ้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ทำไมต้องตระหนี่กับเรื่องกินขนาดนี้เล่า

? ตระกูลเจ้าก็ดูร่ำรวยมิใช่น้อย”

จี้เทียนซิงส่ายหัว

เขาไม่ได้โกรธ “ เจ้าไม่จำเป็นต้องขโมยหรอก เดี๋ยวข้าจะสั่งฮวนเอ๋อเอาไว้

ที่ถามก็เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะไปก่อเรื่องวุ่นวายในตระกูลของข้ามากกว่า.....”

"ใช่สิ ! เจ้าบอกข้ามาตามตรง

หลายวันมานี่เจ้าไปป่วนอะไรในตระกูลของข้าหรือไม่”

“โอ้…....” เสี่ยวปิงหูผงะในทันที

ลูกตากลมสีเงินของมันกลอกไปมาราวกับกำลังคิดหาทางโกหก

จี้เทียนซิงหรี่ตามองมันและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า

“ว่ามาเร็วๆ เจ้าไปก่อเรื่องอันใดไว้”

เสี่ยวปิงหูลีบตัวลงและกล่าวว่า

“เจ้าอย่าเพิ่งโมโหนะสหายจี้  คือข้า...

แค่รู้สึกเบื่อๆก็เลยย่องไปถ้ำมองบรรดาสาวใช้อยู่หลายคน แล้วก็แย่งกระบี่ของพวกยาม”

“เฮ้อ เจ้ามันจิ้งจอกบัดซบแท้ๆ ทำไมทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้

!” จี้เทียนซิงกล่าวและชูมือขึ้นเตรียมจะตบหัวมัน

เสี่ยวปิงหูรีบวิ่งไปที่มุมตู้อย่างรวดเร็วและโพล่งออกมาว่า

“สหายจี้ เย็นไว้  เย็นไว้ก่อน !  พวกนางเป็นสตรีทั่วไป

แค่ถ้ำมองเรือนร่างพวกนางไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์เสียหน่อย !”

“เจ้ายังจะพูดอีก” จี้เทียนซิงยกฝ่ามือขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง

“ไม่

ไม่พูดแล้วก็ได้…” เสี่ยวปิงหูโบกกรงเล็บเล็กๆของมันป้องศีรษะเอาไว้

จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องว่า  “สหายจี้ เจ้าเลิกเรียกข้าว่าเสี่ยวหูได้แล้ว ข้าไม่ใช่จิ้งจอกน้อย

แต่ข้าเป็นจิ้งจอกที่โตแล้ว ! เจ้าจะเรียกข้าว่าเฉียนหูหรือเยวี่ยหู  อะไรก็ว่าไป”

“นอกจากนี้ เจ้าสาบานไว้ว่าจะปกป้องและดูแลข้า

จำได้หรือไม่”

“เจ้าคิดจะเอาข้าไปหมกไว้ในตู้แคบๆอับๆแบบนี้เนี่ยนะ

? ราชาในหมู่ราชาสัตว์อสูรอย่างข้าต้องพำนักอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตและสะดวกสบายซี่

! แถมยังต้องมีอาหารอร่อยมากมายอีกด้วย !”

ความโกรธเล็กๆน้อยๆของจี้เทียนซิงเริ่มหายไป

เพราะที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เฉียนเยวี่ย ? เจ้าแน่ใจนะว่าอยากใช้ชื่อเล่นแก่ๆรุ่นคุณแม่อะไรเทือกนั้น ?”

(千月 เฉียนเยวี่ย  เฉียน = จำนวนนับพันๆ  เยวี่ย = ดวงจันทร์

รวมเป็น  พันจันทรา)

“เอาเถอะ เจ้าแค่อยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น

อย่าเพิ่งวิ่งไปไหนมาไหน ข้าจะหาที่อยู่ให้เจ้าเอง”  หลังจากทำให้เสี่ยวปิงหูสงบเสงี่ยมลง

เขาก็ออกจากห้องและไปหาบิดาของเขา

เมื่อชายหนุ่มไปถึงห้องของบิดา

เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายก็กำลังบ่มเพาะอยู่

จี้ชางคงเห็นว่าจี้เทียนซิงเข้ามาหา

ใบหน้าที่อ่อนล้าจากการฝึกฝนก็หายไปทันทีและเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นจริงใจ

“เทียนซิง เจ้าออกจากการบ่มเพาะแล้วหรือ ?”

“เป็นอย่างไรบ้าง ? เจ้าไปเทือกเขาเย่เพื่อหาดอกไม้ดาราแดงอย่างที่พ่อบอกใช่ไหม

? ราบรื่นหรือไม่ ? เจ้าได้มันมาหรือยัง

?”

จี้ชางคงยิงคำถามออกมาเป็นชุด

จี้เทียนซิงเดินไปหาบิดาและนั่งลงพลางกล่าวว่า

“ท่านพ่อ การเดินทางไปเทือกเขาเย่นั้นช่างอันตรายอย่างที่ท่านเตือนไว้มิผิดเพี้ยน

แต่นับว่าสวรรค์เข้าข้าง ในที่สุดข้าก็ได้มันมา”

“ข้ากลับมาได้สองสามวันแล้ว

มาถึงข้าก็สกัดกลั่นมันในห้องและขั้นตอนทั้งหมดลุล่วงไปด้วยดี ตอนนี้ข้าแก้ไขปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของตันเถียนได้แล้ว  นอกจากนี้พลังของข้าก็กลับสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงแล้วเช่นกัน

!”

เมื่อได้ยินข่าวนี้จี้ชางคงก็ยิ้มกว้างและดีใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง  เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาดังๆสามครั้งว่า

‘ดี !

ดี ! ดี !’

“ยอดมาก !”

“เทียนซิง ลูกกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว

เจ้าไม่ทำให้พ่อผิดหวังจริงๆ !”