ตอนที่ 147

แม้เจ้าจะไม่อยาก

แต่ข้าก็จะสอน !

เซี่ยงหวู่จี้อยู่ในห้องโถง

เขากำลังเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้หวายและจิบสุราอย่างสุนทรี

บางทีอาจเป็นเพราะเขาดื่มเยอะเกินไปหน่อยจนใบหน้าเริ่มแดง

ดวงตาหรี่ลงราวกับกำลังจะหลับไป

“จะว่าไป ไอ้หนูนั่นกว่าจะทำลายอาคมได้คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน

งั้นข้างีบสักพักก็แล้วกัน…”

เซี่ยงหวู่จี้เลียริมฝีปาก

จากนั้นก็เอาน้ำเต้าสุราเก็บไว้ในแหวนมิติสีดำแล้วหลับตาลง

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กรนครอกๆและเข้าสู่ห้วงนิทรา....

ตุบ

!

ในเวลานี้เองมือสองมือโผล่ยื่นขึ้นมาจากบ่อน้ำโบราณที่มุมสวนและเริ่มปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำ

นี่ก็คือจี้เทียนซิงนั่นเอง

ผมเผ้าและชุดคลุมยาวสีฟ้าของเขาเปียกปอนและมีน้ำหยดลงพื้น  ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงวัน

ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าส่องแสงสว่างและทำให้อากาศร้อนอบอ้าว ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกและบิดน้ำออก จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องโถง

ยังไม่ทันก้าวข้ามประตู

เขาก็ได้ยินเสียงกรนดังจากในห้อง

“หึหึ

ตาแก่หลับไปแล้วจริงหรือนี่ ?  ไม่ใช่ว่าแกล้งหลับหาลูกเล่นอะไรมาแกล้งข้าอีกนะ...”  จี้เทียนซิงพึมพำและพลักประตูห้องเข้าไปทันที

เขาย่องไปมองเซี่ยงหวู่จี้เพื่อต้องการดูว่าอีกฝ่ายหลับจริงหรือแกล้งกันแน่

ตูม !

เมื่อเขาอยู่ห่างจากเซี่ยงหวู่จี้ได้ห้าก้าว

ทันใดนั้นเองชายชราก็เบิกตาโพล่งและซัดคลื่นกระบี่จากฝ่ามือเข้าหาจี้เทียนซิงโดยไม่ทันตั้งตัว มันคือสัญชาตญาณการป้องกันตัวโดยอัตโนมัติของสุดยอดฝีมือ

คลื่นกระบี่ยาวกว่าสองเมตรเต็มไปด้วยความคมกริบและรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง  หากมันกระแทกใส่กำแพงคงแหลกเป็นเสี่ยงๆในพริบตา

“ระยำแล้ว.... !”

จี้เทียนซิงหน้าซีดดุจกระดาษ

เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขารีบโคจรย่างก้าวไร้เงาอย่างรวดเร็วและล่าถอยไปไกลกว่าสามเมตร

ถึงกระนั้น

คลื่นกระบี่ก็รวดเร็วเกินไปจนเกือบจะถึงตัวเขาในอีกไม่ช้า  โชคดียังดีที่เซี่ยงหวู่จี้ได้สติ

หลังจากสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายก็รีบรั้งพลังกลับทันที

คลื่นกระบี่อันแหลมคมและเกรี้ยวกราดล่องลอยกลางอากาศห่างจากลำคอของชายหนุ่มเพียงสองนิ้วเท่านั้น

!

ถ้าหากเซี่ยงหวู่จี้รั้งมือช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที

โดยที่ชายหนุ่มยังอยู่ตำแหน่งเดิม  รับรองได้ว่าเขาคงตกตายแน่นอน...

“ฮู่ว..... ” จี้เทียนซิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

เขาสูดหายใจลึกและคำรามด้วยความโกรธว่า “ตาเฒ่า  ท่านคิดจะฆ่ากันเลยหรือไง !”

“ท่านนี่มันข่มเหงรังแกผู้คนจริงๆ

อายุปูนนี้ไม่รู้จักยั้งมือบ้างหรือไง ท่านเกือบจะฟันคอข้าหลุดจากบ่าไปแล้ว !”

เซี่ยงหวู่จี้โบกฝ่ามือเข้าหาตัวเพื่อชักนำคลื่นกระบี่กลับเข้าร่าง

จากนั้นก็หันไปมองจี้เทียนซิงด้วยความฉงน

“เฮ้ย.....? ไอ้หนู

เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง ?  ตอนนี้กี่โมง  ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ?”

จี้เทียนซิงพูดไม่ออก

เขานวดหว่างคิ้วและกล่าวว่า “ตอนนี้บ่ายสอง”

เซี่ยงหวู่จี้ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจและขมวดคิ้ว

จากนั้นก็หันไปมองที่ท้องฟ้าด้านนอกพลางกล่าวว่า “ตอนที่ข้าหลับไปเจ้าออกมาจากอาคมวิญญาณพฤกษ์ได้แล้ว ?”

"บ้าน่า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ! ไอ้หนูอย่างเจ้าเข้าไปในนั้นแค่ชั่วโมงเดียว เจ้าออกมาได้อย่างไร ?”

เซี่ยงหวู่จี้ไม่อาจทำใจเชื่อได้เลยว่าจะมีคนทำลายอาคมของเขาได้ในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว

เป็นเวลากว่า

100 ปีแล้วที่ไม่มีบุคลที่สองที่ออกจากอาคมของเขาได้

โดยที่บุคลแรกที่ทำได้ก็คือศิษย์ของเขา

ฉิวอวี้

แต่วันนี้จี้เทียนซิงทำได้

จะไม่ให้ตาแก่อย่างเขาตกใจอย่างไร ?

“หรือว่านี่จะเป็นพรสวรรค์โดยกำเนิดทางด้านข่ายอาคมเช่นเดียวกับฉิวอวี้

?  เขาสืบทอดความสามารถของฉิวอวี้มาโดยสมบูรณ์เลยงั้นหรือ

?”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เซี่ยงหวู่จี้ก็รู้ตื่นเต้นยินดีมากขึ้น

เขามองไปที่ดวงตาของจี้เทียนซิงด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง  มันราวกับว่าเขาได้พบหยกล้ำค่าที่สมบูรณ์แบบเข้าแล้ว

!

เขาเชื่อว่าหยกสมบูรณ์แบบที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนเม็ดนี้

ย่อมกลายเป็นสมบัติเลิศภพจบแดนหลังจากขัดเกลามันอย่างแน่นอน !

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

เซี่ยงหวู่จี้สูดหายใจลึกและสงบสติอารมณ์พลางจ้องตาจี้เทียนซิง

ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไอ้หนู เจ้าบอกข้ามาซิ เจ้าทำได้อย่างไร ?”

จี้เทียนซิงไม่คิดปิดบังและตอบไปตามความจริงว่า

“อาคมวิญญาณพฤกษาของท่านเป็นอาคมเสริมก็จริงแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจแห่งมนต์มายา

ป่าทึบก็คือเขาวงกต เดิมทีข้าพยายามทำลายมันแล้วแต่ไม่เป็นผลและออกมาไม่ได้   ทว่า

หลังจากข้าสงบใจและครุ่นคิดก็พบลำธารเล็กสายหนึ่งที่ไม่ผันแปรไปตามมนต์มายาลวงตาของป่าทึบ  ข้าจึงคิดว่าลำธารสายนั้นอาจเป็นกุญแจในการออกไปจากที่นี่    ต่อมาข้าก็เดินไปจนถึงต้นน้ำและพบสระน้ำ

ข้าดำลงไปจนทะลุโผล่มาที่บ่อน้ำในลานกว้างของตำหนัก"

ระหว่างที่ฟังเซี่ยงหวู่จี้ก็ผงกศีรษะรัวๆเป็นไก่จิกด้วยสีหน้าชื่นชม

ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเกิดรอยยิ้มขึ้น

“ไม่เลวๆ

มันสมองในการวิเคราะห์ของเจ้านับว่าเยี่ยมมาก”

“แค่กๆ... ก่อนหน้านี้ข้าพูดว่าจะให้รางวัลเจ้า

หากเจ้าออกมาได้ภายในหนึ่งวัน เอาล่ะข้าจะทำตามสัญญา”

เมื่อได้ยินถึงคำว่ารางวัล

ความขุ่นเคืองที่เกือบคอขาดเมื่อครู่ของจี้เทียนซิงก็หายวับและถามขึ้นทันทีว่า “ท่านจะให้รางวัลอะไรข้า ?”

เซี่ยงหวู่จี้เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางน่าเกรงขาม

เขาสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เราผู้เฒ่าตัดสินใจสอนศาสตร์แห่งข่ายอาคมให้เจ้า  ข้าจะบ่มเพาะสอนสั่งให้เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งข่ายอาคม

!”

จากนั้นก็ยิ้มมุมปากและมองจี้เทียนซิงด้วยความภาคภูมิใจ

เซี่ยงหวู่จี้มั่นใจว่าเมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกมา

ไม่ว่าใครก็ต้องตื่นเต้นยินดีจนตัวสั่นแทบตกเก้าอี้ !

อย่างไรก็ตาม......

สิ่งที่เขาคาดหวังไว้ไม่ได้เกิดขึ้นกับจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มทำหน้างงๆและอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“อ่า... ขอบคุณ

ขอบคุณมากๆสำหรับความกรุณาของผู้อาวุโส ผู้เยาว์ยินดียิ่งนัก..”

ปากพูดขอบคุณอยู่หลายคำแต่สีหน้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

อีกทั้งภายในใจของเขากลับคร่ำครวญว่า “โธ่ถัง...

ข้าก็หลงคิดว่าตาเฒ่านี่จะตบรางวัลด้วยโอสถวิเศษหรือเม็ดยาเสริมพลังบ่มเพาะให้ข้าเสียอีก”

เซี่ยงหวู่จี้รอยยิ้มหายวับไป

เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ไอ้เด็กผี

สีหน้าแบบนี้หมายความว่าไง ? นี่เจ้าดีใจจริงปะเนี่ย

?!”

“เราผู้เฒ่าเอ่ยปากว่าจะสอนศาสตร์แห่งอาคมให้เจ้าเชียวนะ

นี่เป็นพรจากสวรรค์ที่คนนับหมื่นนับแสนต่างก็อิจฉาเจ้า !  เจ้าไม่ตื่นเต้นเลยรึ !?”

เมื่อเห็นภาพนี้จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่ขบขันในใจ

เขายิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “โอ้โห สุดยอดเลยผู้อาวุโส  บุญคุณใหญ่หลวงของท่าน

ผู้เยาว์จะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต !”

“เฮอะ !  ไอ้เด็กเปรต กะล่อนนักเชียว !”  เซี่ยงหวู่จี้ดูออกแน่นอนว่าจี้เทียนซิงแกล้งพูดเอาใจ

เขาสบถออกมาอย่างขุ่นเคือง

“เอาเถอะๆ แม้ใจเจ้าจะไม่อยาก

แต่ร่างกายเจ้าก็ต้องเรียน !  ต่อไปนี้เจ้าก็อาศัยในตำหนักไท่อันกับข้า

ไม่ต้องกลับไปหอยุทธ์ฟงอวิ๋นอีกแล้ว”

จี้เทียนซิงตระหนักดีว่าเซี่ยงหวู่จี้มีสถานะที่สูงส่งมากในนิกาย

ต่อให้เขาคิดจะขัดขืนกลับไปหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

เกรงว่าแม้แต่ฮั่นเฉียวเซิงก็ยังไม่กล้าล่วงเกินเซี่ยงหวู่จี้

เมื่อนึกถึงตัวตนของอีกฝ่าย

เขาจึงกล่าวชมเชยประจบประแจงเซี่ยงหวู่จี้อย่างรวดเร็วเพื่อความผาสุขในอนาคต.....

รู้ตัวรอดเป็นยอดดี

!

หลังจากนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็นึกถึงวีรกรรมของจี้เทียนซิงขึ้นมาได้จึงกล่าวย้ำเตือนด้วยสีหน้าระทมทุกข์ว่า

“ไอ้หนู

อยู่ที่นี่อย่าได้ซุกซนทำตัวลับๆล่อๆอีกนะ มิฉะนั้น หากเมื่อครู่นี้ข้าหยุดมือไม่ทัน

เจ้าคิดว่าเจ้าจะตายอย่างน่าสังเวชไหม ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าหงึกๆและกล่าวว่า

“โบราณว่าไว้

อยู่ใกล้จักรพรรดิเหมือนอยู่ใกล้เสือ วันนี้ข้าเข้าใจถ่องแท้แล้วขอรับ !”

เซี่ยงหวู่จี้เหล่ตามองอีกฝ่ายและหายใจเข้าลึกพลางกล่าวด้วยความโกรธว่า

“เจ้ามันไร้เดียงสานัก ! เราผู้เฒ่าตื่นตัวและระแวดระวังตลอดเวลา ต่อให้งีบหลับแต่จิตใต้สำนึกของข้าก็ยังตื่นตัวจนติดเป็นนิสัย”

“ข้าโลดแล่นในแผ่นดินใหญ่ร่วมสองร้อยปี

ทำลายอาณาจักรน้อยใหญ่หลายสิบแห่งและเผชิญหน้ากับความเป็นความตายมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน

หากไม่เพราะข้าระวังตัวอยู่เสมอ เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่รอดมาได้จนถึงอายุปูนนี้หรือไง

?”

จี้เทียนซิงตระหนักได้ในทันทีและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า”ผู้อาวุโสดูเหมือนจะมีวีรกรรมอันยิ่งใหญ่มาก เมื่อไหร่ท่านถึงจะเล่าให้ข้าฟัง

อดีตของท่านเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับท่านมาบ้าง”

เซี่ยงหวู่จี้สะบัดปลายแขนเสื้ออย่างอหังการและพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจเมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต

เขากล่าวต่อไปว่า

แน่นอนว่าตำนานของข้าย่อมไม่ธรรม ! แต่เรื่องนี้ไว้เล่าให้เจ้าฟังทีหลัง ตอนนี้เจ้ามาเรียนกับข้าก่อน

ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับศาสตร์แห่งข่ายอาคม”