ตอนที่ 128

เจ้าคือคนที่ข้าตามหา

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาถูกควบคุมตัวไว้ในห้องหินเป็นเวลาสิบวันแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวสารใดๆจากด้านบน

สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือจี้เค่อที่ยังไม่ฟื้นหลังจากผ่านไปสิบวันแล้ว

เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือไม่

?

ทันทีที่ฟุ้งซ่าน

เขาก็รู้สึกหงุดหงิดและเดินไปเดินมาในห้องหิน

ในขณะนี้เขาไม่กล้าร้องขอความเป็นธรรมให้หอบัญญัติปล่อยตัวออกจากถ้ำวายุทมิฬ

เขาแค่ขอให้ใครสักคนลงมาบอกอาการจี้เค่อว่าเป็นอย่างไรบ้าง  อย่างน้อยเขาจะได้รู้สึกเบาใจ

อย่างไรก็ตาม

สิบวันแล้วก็ยังไม่มีใครลงมา

จี้เทียนซิงนั่งคดคู้อยู่บนม้านั่งหินและในใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่น

หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นเล็กน้อยจากภายในถ้ำ

จี้เทียนซิงคิดว่าตนเองหูฝาดหรือประสาทหลอนไปแล้ว เขายังคงนั่งอยู่บนม้านั่งหินพลางขมวดคิ้วและครุ่นคิด  หลังจากเวลาผ่านไปเสียงฝีเท้าก็เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งในที่สุดจี้เทียนซิงก็แน่ใจว่าหูไม่ได้ฝาด

มีคนมาแล้วจริงๆ !

ฟุ่บ

!

เขาทะยานไปที่หน้ากรงเหล็กของประตูและคว้าจับที่ลูกกรงด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อพยายามมองออกไปในถ้ำ

ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาร่างอรชรในชุดคลุมยาวสีขาวที่กำลังเดินใกล้เข้ามาจากความมืดอย่างช้าๆ

เมื่อนางมาถึงหน้าประตูห้องหิน

จี้เทียนซิงก็เห็นรูปร่างได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นสีหน้าก็แสดงออกถึงความประหลาดใจ

"เป็นท่าน ?  ศิษย์พี่หญิง... ท่านมาได้อย่างไร ?”

เดิมทีจี้เทียนซิงคิดว่าเป็นคนของหอบัญญัติ

แต่กลับกลายเป็นหยุนเหยาอย่างไม่คาดฝัน !

หยุนเหยายืนอยู่ด้านนอกห้องหินห่างจากประตูเหล็กสีดำและจ้องมองเขาอย่างสงบ

เมื่อได้เห็นใบหน้าที่เคยหล่อเหลากลายเป็นมอมแมมและสารรูปสกปรกเลอะเทอะของอีกฝ่าย

นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเรียวงาม

หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบงันผ่านไป

นางก็เปล่งเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าทราบว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น

เจ้าต้องถูกขังอยู่ที่นี่ เจ้าคงเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วและขุ่นแค้นจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเป็นแน่”

“ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะรอถึงวันนี้แล้วค่อยมาหาเจ้า

เพราะเชื่อว่าเจ้าคงสงบสติอารมณ์ลงไปได้เยอะแล้ว”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและเผยรอยยิ้มอันขมขื่นขึ้นที่มุมปากพลางกล่าวว่า “ถูกอย่างที่ท่านพูด ก่อนหน้านี้ข้าโกรธจนแทบคลั่ง แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว

ไม่ว่าจะโกรธแค้นเพียงใดก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงสงบลง”

หลังจากหยุดพูดไปชั่วขณะ

เขาก็จ้องมองไปที่หยุนเหยาและถามอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่

หากข้าจะบอกท่านว่าจี้เค่อถูกจี้หลิงผลักตกหน้าผา ข้าถูกป้ายสี  ท่านเชื่อข้าหรือไม่ ?”

หยุนเหยาพยักหน้าอย่างไม่ลังเลและตอบเสียงหนักแน่น

“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า !”

“… หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่ลงมาหาเจ้าที่นี่หรอก”

หัวใจที่หนักอึ้งของจี้เทียนซิงคลายลงในที่สุดและอารมณ์เริ่มเย็นลง

เขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวกับตัวเองว่า

“ใช่

ข้าก็ไม่อยากเชื่อว่าจะกลายเป็นแบบนี้”

หยุนเหยากล่าวกระตุ้นเตือนอย่างนุ่มนวล

“เจ้าไม่จำเป็นต้องดิ้นรน เมื่อเวลามาถึงความจริงจะปรากฏเอง

ดั่งคำกล่าวที่ว่าน้ำลดตอผุด”

“ถึงแม้หอบัญญัติจะทารุณโหดเหี้ยมและเคร่งครัดต่อกฎเกณฑ์จนทำให้เหล่าศิษย์ต่างก็หวาดกลัว  แต่พวกเขาก็ไม่เคยลำเอียงและไม่ลงโทษผู้บริสุทธิ์”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามด้วยความกังวล

“ศิษย์พี่ แล้วเค่อเค่อล่ะ ?”

หยุนเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อาการบาดเจ็บของนางสาหัสมาก

แต่นับว่าสวรรค์เมตตา นางพ้นขีดอันตรายแล้ว”

“ตอนนี้นางยังไม่ไม่ได้สติ

ผู้อาวุโสพยายามรักษาและคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่”

หัวใจของจี้เทียนซิงบีบรัดและยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น

มือทั้งสองบีบลูกกรงเหล็กไว้แน่นและตะโกนด้วยความโกรธ “สารเลวจี้หลิง !  เดรัจฉานตัวนี้ไม่ช้าก็เร็วมันต้องตายไร้ดินกลบหน้า

!”

หยุนเหยาส่ายหัวและขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง

ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าได้คิดต่อสู้กับจี้หลิงอีกเลย เจ้าไม่อาจทำอะไรเขาได้”

“ทำไม ?”

จี้เทียนซิงมุ่นหัวคิ้วและถามอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

“หรือจะให้ข้าดูมันลอยหน้าลอยตาอยู่ในนิกายและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ ?”

หยุนเหยาถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

“ศิษย์น้องเทียนซิง บอกต่อเจ้าตามตรง  จี้หลิงคือคนที่ข้าและนิกายตามหา

ท่านอาจารย์ของข้าให้ความสำคัญกับเขามาก”

เมื่อได้ยินประโยคนี้

จี้เทียนซิงก็จดจำในสิ่งที่จี้หลิงกล่าวกับเขาบนยอดเขากระบี่หยกทันที เขาขมวดคิ้วและกล่าวว่า  “ศิษย์พี่ วันที่เกิดเรื่องบนยอดเขากระบี่หยก

จี้หลิงเล่าให้ข้าฟังว่าเขาเป็นคนที่นิกายตามหา

ท่านประมุขนิกายต้องการอุ้มชูและรับเขาเป็นศิษย์สายตรงอีกด้วย......สาเหตุก็เพราะ”

“เขาครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับ”

หยุนเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะพยักหน้าตอบรับจี้เทียนซิง

“มิผิด”

“หึๆๆ เหอๆๆ

……”

ร่างกายของเขาสั่นเทา

ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงสีหน้าแปลกๆและแสยะยิ้ม   ดวงตาพวยพุ่งไอสังหารออกมา

!

“ฮ่าๆๆๆๆๆ.... !!

บัดซบเอ้ย !  เจตจำนงแห่งสวรรค์สารเลว ช่างล้อเล่นกับข้านัก !”

จี้เทียนซิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

เสียงหัวเราะของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ

ความไม่เต็มใจและแฝงไว้ด้วยการเสียดสีอย่างรุนแรง

หยุนเหยาเห็นท่าทางของจี้เทียนซิงกลายเป็นเหมือนคนบ้า

หัวคิ้วของนางขมวดจนแทบชนกัน หัวใจรู้สึกอึดอัดบีบรัดอย่างบอกไม่ถูก

เพราะนางสัมผัสได้ชัดแจ้งว่าเสียงหัวเราะของจี้เทียนซิงนั้นแฝงไปด้วยความโศกเศร้าอย่างสุดแสน...

หลังจากนั้นไม่นานเสียงหัวเราะก็หยุดลง

จี้เทียนซิงจ้องไปที่ดวงตาคู่งามของหยุนเหยาและถามว่า

“ศิษย์พี่ หากข้าบอกต่อท่านว่าสายเลือดกระบี่ลี้ลับเป็นพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของข้า

จี้หลิงวางแผนชั่วช้าลอบนำลูกปัดครองวิญญาณใส่ไว้ตันเถียนของข้าและช่วงชิงพวกมันทั้งหมดไป    .... ท่านเชื่อคำข้าหรือไม่ ?”

ชายหนุ่มรู้ดีว่าประโยคนี้น่าทึ่งแค่ไหนและไร้สาระเพียงใดหากเล่าให้ผู้อื่นฟัง  เขาทราบดีกว่าหากผู้อื่นได้ยินเรื่องนี้คงมองว่าเขาเป็นคนบ้าวิกลจริตที่คิดริษยาผู้อื่น

แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเผชิญหน้าวงหน้างามผุดผาดของหยุนเหยาและดวงตากลมโตที่กระจ่างแจ้งเหมือนเข้าถึงหัวใจได้  เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดความจริงออกไป

ยิ่งไปกว่านั้นเขามีความคาดหวังเล็กๆในใจและต้องการดูปฏิกิริยาตอบสนองของนาง  เขาอยากรู้ว่านางจะคิดอย่างไร

หยุนเหยาตกตะลึงในทันที

ร่างบางสั่นระริกเล็กน้อย ดวงตาคู่งามที่สดใสเบิกกว้างแต่ก็หายเป็นปกติหลังจากนั้นไม่นาน

วงหน้าที่งดงามของนางแสดงออกถึงความตกใจและเหลือเชื่อ

นางนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ๆโดยไม่มีคำตอบ

แต่ดวงตาของนางจดจ้องเพ่งมองไปที่ดวงตาของจี้เทียนซิงเป็นเวลานานและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

"ข้าเชื่อเจ้า !"

ร่างกายของจี้เทียนซิงสั่นสะท้าน

หัวใจเกิดความรู้สึกอันสลับซับซ้อนขึ้น เขารู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก

เขาเผยรอยยิ้มออกมา

มันเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และจริงใจอย่างสุดแสน

ในช่วงเวลาที่เขาทุกข์ร้อน ในช่วงเวลาที่เขากลัดกลุ้มอึดอัดด้วยความลับที่บอกใครไม่ได้ก็ยังมีคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา

!

ยิ่งไปกว่านั้นบุคคลผู้นี้ยังเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน, หยุนเหยาที่เป็นดั่งนางฟ้าของสวรรค์ชั้นเก้า

เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร

?

หยุนเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ศิษย์น้องเทียนซิง

ถึงแม้ว่าเรื่องของเจ้าจะน่าตกใจ แต่สิ่งที่ท่านอาจารย์ต้องการก็มีเพียงผู้ที่ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับเท่านั้น  ท่านอาจารย์มิได้สนใจวิถีชีวิตหรือวิธีการของจี้หลิง

ท่านมิได้สนใจว่าสายเลือดกระบี่ลี้ลับของเขามาจากไหน....

เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่ ?”

ทันใดนั้นรอยยิ้มของจี้เทียนซิงก็แข็งค้างและคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า

“ข้าเข้าใจ

ท่านหมายความว่าต่อให้ข้าบอกเรื่องนี้ต่อท่านประมุขก็ไม่ส่งผลใดๆต่ออนาคตและความสำคัญของจี้หลิงใช่ไหม ?”

“...........”

หยุนเหยาไม่ตอบคำถามนี้  แต่มันก็ถือเป็นคำตอบที่โหดร้ายสำหรับจี้เทียนซิง

“เอาล่ะ ข้าควรไปได้แล้ว” นางพยักหน้าให้จี้เทียนซิงและกล่าวย้ำว่า “อย่าได้หมดหวัง จงรอผลการสอบสวน”

หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินจากไป

จี้เทียนซิงเฝ้ามองร่างบอบบางที่ค่อยๆกลืนหายไปกับความมืดมิด

หลังจากลังเลเล็กน้อยเขาก็ตะโกนถามเสียงดังว่า “ศิษย์พี่

ข้ามีคำถามสุดท้ายจะถามท่าน”

“ก่อนนี้ข้าพูดอะไรไปไม่เคยมีผู้ใดเชื่อ .......

ทำไมท่านถึงเชื่อข้า ?”

หยุนเหยาชะงักฝีเท้าแต่ไม่ได้หันหลังกลับ

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เพราะตั้งแต่ที่ข้าได้เห็นเจ้าหลายครั้งหลายคราในรัฐนภากระจ่าง

ความรู้สึกลึกลับบางอย่างพร่ำบอกข้าว่าเจ้าไม่เหมือนใคร”

“จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังคิดอยู่เสมอว่าเจ้าคือคนที่ข้ากำลังตามหา”