เจ้าคือคนที่ข้าตามหา
จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาถูกควบคุมตัวไว้ในห้องหินเป็นเวลาสิบวันแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวสารใดๆจากด้านบน
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือจี้เค่อที่ยังไม่ฟื้นหลังจากผ่านไปสิบวันแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือไม่
?
ทันทีที่ฟุ้งซ่าน
เขาก็รู้สึกหงุดหงิดและเดินไปเดินมาในห้องหิน
ในขณะนี้เขาไม่กล้าร้องขอความเป็นธรรมให้หอบัญญัติปล่อยตัวออกจากถ้ำวายุทมิฬ
เขาแค่ขอให้ใครสักคนลงมาบอกอาการจี้เค่อว่าเป็นอย่างไรบ้าง อย่างน้อยเขาจะได้รู้สึกเบาใจ
อย่างไรก็ตาม
สิบวันแล้วก็ยังไม่มีใครลงมา
จี้เทียนซิงนั่งคดคู้อยู่บนม้านั่งหินและในใจเต็มไปด้วยความว้าวุ่น
หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นเล็กน้อยจากภายในถ้ำ
จี้เทียนซิงคิดว่าตนเองหูฝาดหรือประสาทหลอนไปแล้ว เขายังคงนั่งอยู่บนม้านั่งหินพลางขมวดคิ้วและครุ่นคิด หลังจากเวลาผ่านไปเสียงฝีเท้าก็เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งในที่สุดจี้เทียนซิงก็แน่ใจว่าหูไม่ได้ฝาด
มีคนมาแล้วจริงๆ !
ฟุ่บ
!
เขาทะยานไปที่หน้ากรงเหล็กของประตูและคว้าจับที่ลูกกรงด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อพยายามมองออกไปในถ้ำ
ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาร่างอรชรในชุดคลุมยาวสีขาวที่กำลังเดินใกล้เข้ามาจากความมืดอย่างช้าๆ
เมื่อนางมาถึงหน้าประตูห้องหิน
จี้เทียนซิงก็เห็นรูปร่างได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นสีหน้าก็แสดงออกถึงความประหลาดใจ
"เป็นท่าน ? ศิษย์พี่หญิง... ท่านมาได้อย่างไร ?”
เดิมทีจี้เทียนซิงคิดว่าเป็นคนของหอบัญญัติ
แต่กลับกลายเป็นหยุนเหยาอย่างไม่คาดฝัน !
หยุนเหยายืนอยู่ด้านนอกห้องหินห่างจากประตูเหล็กสีดำและจ้องมองเขาอย่างสงบ
เมื่อได้เห็นใบหน้าที่เคยหล่อเหลากลายเป็นมอมแมมและสารรูปสกปรกเลอะเทอะของอีกฝ่าย
นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเรียวงาม
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบงันผ่านไป
นางก็เปล่งเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าทราบว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น
เจ้าต้องถูกขังอยู่ที่นี่ เจ้าคงเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วและขุ่นแค้นจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเป็นแน่”
“ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะรอถึงวันนี้แล้วค่อยมาหาเจ้า
เพราะเชื่อว่าเจ้าคงสงบสติอารมณ์ลงไปได้เยอะแล้ว”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและเผยรอยยิ้มอันขมขื่นขึ้นที่มุมปากพลางกล่าวว่า “ถูกอย่างที่ท่านพูด ก่อนหน้านี้ข้าโกรธจนแทบคลั่ง แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ว่าจะโกรธแค้นเพียงใดก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงสงบลง”
หลังจากหยุดพูดไปชั่วขณะ
เขาก็จ้องมองไปที่หยุนเหยาและถามอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่
หากข้าจะบอกท่านว่าจี้เค่อถูกจี้หลิงผลักตกหน้าผา ข้าถูกป้ายสี ท่านเชื่อข้าหรือไม่ ?”
หยุนเหยาพยักหน้าอย่างไม่ลังเลและตอบเสียงหนักแน่น
“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า !”
“… หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่ลงมาหาเจ้าที่นี่หรอก”
หัวใจที่หนักอึ้งของจี้เทียนซิงคลายลงในที่สุดและอารมณ์เริ่มเย็นลง
เขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวกับตัวเองว่า
“ใช่
ข้าก็ไม่อยากเชื่อว่าจะกลายเป็นแบบนี้”
หยุนเหยากล่าวกระตุ้นเตือนอย่างนุ่มนวล
“เจ้าไม่จำเป็นต้องดิ้นรน เมื่อเวลามาถึงความจริงจะปรากฏเอง
ดั่งคำกล่าวที่ว่าน้ำลดตอผุด”
“ถึงแม้หอบัญญัติจะทารุณโหดเหี้ยมและเคร่งครัดต่อกฎเกณฑ์จนทำให้เหล่าศิษย์ต่างก็หวาดกลัว แต่พวกเขาก็ไม่เคยลำเอียงและไม่ลงโทษผู้บริสุทธิ์”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามด้วยความกังวล
“ศิษย์พี่ แล้วเค่อเค่อล่ะ ?”
หยุนเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อาการบาดเจ็บของนางสาหัสมาก
แต่นับว่าสวรรค์เมตตา นางพ้นขีดอันตรายแล้ว”
“ตอนนี้นางยังไม่ไม่ได้สติ
ผู้อาวุโสพยายามรักษาและคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่”
หัวใจของจี้เทียนซิงบีบรัดและยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น
มือทั้งสองบีบลูกกรงเหล็กไว้แน่นและตะโกนด้วยความโกรธ “สารเลวจี้หลิง ! เดรัจฉานตัวนี้ไม่ช้าก็เร็วมันต้องตายไร้ดินกลบหน้า
!”
หยุนเหยาส่ายหัวและขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง
ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าได้คิดต่อสู้กับจี้หลิงอีกเลย เจ้าไม่อาจทำอะไรเขาได้”
“ทำไม ?”
จี้เทียนซิงมุ่นหัวคิ้วและถามอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“หรือจะให้ข้าดูมันลอยหน้าลอยตาอยู่ในนิกายและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ ?”
หยุนเหยาถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
“ศิษย์น้องเทียนซิง บอกต่อเจ้าตามตรง จี้หลิงคือคนที่ข้าและนิกายตามหา
ท่านอาจารย์ของข้าให้ความสำคัญกับเขามาก”
เมื่อได้ยินประโยคนี้
จี้เทียนซิงก็จดจำในสิ่งที่จี้หลิงกล่าวกับเขาบนยอดเขากระบี่หยกทันที เขาขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ วันที่เกิดเรื่องบนยอดเขากระบี่หยก
จี้หลิงเล่าให้ข้าฟังว่าเขาเป็นคนที่นิกายตามหา
ท่านประมุขนิกายต้องการอุ้มชูและรับเขาเป็นศิษย์สายตรงอีกด้วย......สาเหตุก็เพราะ”
“เขาครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับ”
หยุนเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะพยักหน้าตอบรับจี้เทียนซิง
“มิผิด”
“หึๆๆ เหอๆๆ
……”
ร่างกายของเขาสั่นเทา
ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงสีหน้าแปลกๆและแสยะยิ้ม ดวงตาพวยพุ่งไอสังหารออกมา
!
“ฮ่าๆๆๆๆๆ.... !!
บัดซบเอ้ย ! เจตจำนงแห่งสวรรค์สารเลว ช่างล้อเล่นกับข้านัก !”
จี้เทียนซิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เสียงหัวเราะของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ
ความไม่เต็มใจและแฝงไว้ด้วยการเสียดสีอย่างรุนแรง
หยุนเหยาเห็นท่าทางของจี้เทียนซิงกลายเป็นเหมือนคนบ้า
หัวคิ้วของนางขมวดจนแทบชนกัน หัวใจรู้สึกอึดอัดบีบรัดอย่างบอกไม่ถูก
เพราะนางสัมผัสได้ชัดแจ้งว่าเสียงหัวเราะของจี้เทียนซิงนั้นแฝงไปด้วยความโศกเศร้าอย่างสุดแสน...
หลังจากนั้นไม่นานเสียงหัวเราะก็หยุดลง
จี้เทียนซิงจ้องไปที่ดวงตาคู่งามของหยุนเหยาและถามว่า
“ศิษย์พี่ หากข้าบอกต่อท่านว่าสายเลือดกระบี่ลี้ลับเป็นพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของข้า
จี้หลิงวางแผนชั่วช้าลอบนำลูกปัดครองวิญญาณใส่ไว้ตันเถียนของข้าและช่วงชิงพวกมันทั้งหมดไป .... ท่านเชื่อคำข้าหรือไม่ ?”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าประโยคนี้น่าทึ่งแค่ไหนและไร้สาระเพียงใดหากเล่าให้ผู้อื่นฟัง เขาทราบดีกว่าหากผู้อื่นได้ยินเรื่องนี้คงมองว่าเขาเป็นคนบ้าวิกลจริตที่คิดริษยาผู้อื่น
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเผชิญหน้าวงหน้างามผุดผาดของหยุนเหยาและดวงตากลมโตที่กระจ่างแจ้งเหมือนเข้าถึงหัวใจได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดความจริงออกไป
ยิ่งไปกว่านั้นเขามีความคาดหวังเล็กๆในใจและต้องการดูปฏิกิริยาตอบสนองของนาง เขาอยากรู้ว่านางจะคิดอย่างไร
หยุนเหยาตกตะลึงในทันที
ร่างบางสั่นระริกเล็กน้อย ดวงตาคู่งามที่สดใสเบิกกว้างแต่ก็หายเป็นปกติหลังจากนั้นไม่นาน
วงหน้าที่งดงามของนางแสดงออกถึงความตกใจและเหลือเชื่อ
นางนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ๆโดยไม่มีคำตอบ
แต่ดวงตาของนางจดจ้องเพ่งมองไปที่ดวงตาของจี้เทียนซิงเป็นเวลานานและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
"ข้าเชื่อเจ้า !"
ร่างกายของจี้เทียนซิงสั่นสะท้าน
หัวใจเกิดความรู้สึกอันสลับซับซ้อนขึ้น เขารู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก
เขาเผยรอยยิ้มออกมา
มันเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และจริงใจอย่างสุดแสน
ในช่วงเวลาที่เขาทุกข์ร้อน ในช่วงเวลาที่เขากลัดกลุ้มอึดอัดด้วยความลับที่บอกใครไม่ได้ก็ยังมีคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา
!
ยิ่งไปกว่านั้นบุคคลผู้นี้ยังเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน, หยุนเหยาที่เป็นดั่งนางฟ้าของสวรรค์ชั้นเก้า
เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร
?
หยุนเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์น้องเทียนซิง
ถึงแม้ว่าเรื่องของเจ้าจะน่าตกใจ แต่สิ่งที่ท่านอาจารย์ต้องการก็มีเพียงผู้ที่ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับเท่านั้น ท่านอาจารย์มิได้สนใจวิถีชีวิตหรือวิธีการของจี้หลิง
ท่านมิได้สนใจว่าสายเลือดกระบี่ลี้ลับของเขามาจากไหน....
เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่ ?”
ทันใดนั้นรอยยิ้มของจี้เทียนซิงก็แข็งค้างและคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจ
ท่านหมายความว่าต่อให้ข้าบอกเรื่องนี้ต่อท่านประมุขก็ไม่ส่งผลใดๆต่ออนาคตและความสำคัญของจี้หลิงใช่ไหม ?”
“...........”
หยุนเหยาไม่ตอบคำถามนี้ แต่มันก็ถือเป็นคำตอบที่โหดร้ายสำหรับจี้เทียนซิง
“เอาล่ะ ข้าควรไปได้แล้ว” นางพยักหน้าให้จี้เทียนซิงและกล่าวย้ำว่า “อย่าได้หมดหวัง จงรอผลการสอบสวน”
หลังจากนั้นนางก็หันหลังเดินจากไป
จี้เทียนซิงเฝ้ามองร่างบอบบางที่ค่อยๆกลืนหายไปกับความมืดมิด
หลังจากลังเลเล็กน้อยเขาก็ตะโกนถามเสียงดังว่า “ศิษย์พี่
ข้ามีคำถามสุดท้ายจะถามท่าน”
“ก่อนนี้ข้าพูดอะไรไปไม่เคยมีผู้ใดเชื่อ .......
ทำไมท่านถึงเชื่อข้า ?”
หยุนเหยาชะงักฝีเท้าแต่ไม่ได้หันหลังกลับ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เพราะตั้งแต่ที่ข้าได้เห็นเจ้าหลายครั้งหลายคราในรัฐนภากระจ่าง
ความรู้สึกลึกลับบางอย่างพร่ำบอกข้าว่าเจ้าไม่เหมือนใคร”
“จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังคิดอยู่เสมอว่าเจ้าคือคนที่ข้ากำลังตามหา”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved