?
จี้เทียนซิงนั่งอยู่ข้างโลงหยกวิญญาณ จ้องมองไปที่จี้เค่ออย่างเงียบๆด้วยแววตาอ่อนโยน
หลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
ดาวทั้งเจ็ดในค่ายกลก็แตกออกเป็นลำแสงและโอบล้อมร่างของเขาไว้
"วู้ม !"
ด้วยลำแสงที่สว่างวูบจากดวงดาว
จี้เทียนซิงก็ถูกส่งออกไปจากยอดหอคอยเจ็ดดาว
นี่คือกฎของที่นี่ เมื่อถึงกำหนดเวลา
ทุกคนจะถูกส่งกลับออกไป
ส่วนจี้เค่อที่นอนอยู่ในโลงหยกวิญญาณและวางไว้ในค่ายกลเจ็ดดาวจะไม่ถูกส่งออกไป
ในเวลาต่อมา ร่างของจี้เทียนซิงก็ออกจากหอคอยเจ็ดดาวและมาปรากฏใต้พื้นที่เปิดโล่ง
“วูบ !”
ชายหนุ่มยืนอยู่กลางเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดวงตาจับจ้องไปยังเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ไม่ไกล
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเย็น แสงจากดวงอาทิตย์ในยามพลบค่ำได้ตกกระทบร่างของเขา
ทำให้เงาร่างของเขาเปล่งชั้นลำแสงสีทองจางๆออกมา
เต็มไปด้วกลิ่นอายอันแข็งแกร่งเหนือธรรมดา
ศิษย์สาวกหลายคนหันไปมองหน้ากันพลางกระซิบกระซาบทันทีที่ได้เห็นจี้เทียนซิงปรากฏตัว
ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นหัวหน้าศิษย์ของแต่ละนิกาย
พวกมันมีความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา
จึงสามารถสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ากลิ่นอายของจี้เทียนซิงตอนนี้แตกต่างออกไป เขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อวันก่อนและบรรยากาศรอบตัวของเขาก็ยิ่งดูลึกลับเหนือล้ำกว่าผู้ใด
การเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจนมาก ไม่เพียงแค่ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น
กลิ่นอายของเขาที่เคยเหมือนกระบี่อันคมกริบที่ซ่อนอยู่ในฝักได้เปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
มันทั้งลึกลับและเงียบสงบ แต่ก็มิอาจเข้าถึงได้และยากจะคาดเดา
เฟิงหมินและอู่อวี้เดินมาทักทายด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า
“ศิษย์น้องจี้
ยินดีด้วย”
“ข้าไม่ถึงเลยว่าเจ้าเพียงแค่เข้ามาครั้งแรกแต่กลับไปจนถึงชั้นสูงสุดของหอคอยเจ็ดดาวได้
มันช่างน่าเหลือเชื่อราวกับปาฏิหาริย์!”
จี้เทียนซิงป้องมือคารวะทั้งสองด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไร
จำเป็นต้องใช้คำพูดแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ? ไม่ เขาไม่ต้องการ !
หรือสมควรโอ้อวดแสดงความเย่อหยิ่ง ? ก็ไม่ใช่วิสัยของเขาอยู่ดี
เฟิงหมินและอู่อวี้เคยคลุกคลีกับอีกฝ่ายมาก่อนจึงรู้ดีว่าจี้เทียนซิงเป็นคนนิสัยอย่างไร
ดังนั้นพวกมันทั้งสองจึงไม่กล่าวให้ยืดยาวเพียงหันหลังเดินจากไปหลังจากแสดงความยินดี
นอกจากนี้ศิษย์ของนิกายอื่นๆก็ยังได้ทักทายและกล่าวอำลาจี้เทียนซิง
จากนั้นก็เดินจากไป
ในเวลาไม่นานก็มีเพียงสี่คนที่เหลืออยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง
คือ จี้เทียนซิง เฉียวซวนและศิษย์อีกสองคน
เฉียวซวนและพรรคพวกเดินเข้ามาหาจี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จี้เทียนซิง
เจ้าทำร้ายศิษย์พี่เหวินหยูตกจากหอคอยเจ็ดดาว
ความแค้นครั้งนี้นิกายกระบี่ฟ้าจะจดจำไว้ !”
"หึๆ
อีกไม่กี่วันพวกเราทุกคนจะได้พบกันอีก ถึงตอนนั้นข้าจะคอยดูจุดจบของเจ้า”
ศิษย์อีกสองคนกล่าวเสริมด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พวกเราทุกคนที่เข้าไปในหอคอยเจ็ดดาว
แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ก็ไม่เคยต่อสู้กันจนถึงขั้นบาดเจ็บเยี่ยงนี้”
"จี้เทียนซิง
เจ้ากระทำเกินกว่าเหตุ เจ้าบ้าคลั่งทำร้ายคน สร้างความบาดหมางกับนิกายกระบี่ฟ้าและละเมิดกฎที่บัญญัติไว้โดยแปดนิกาย !"
จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่คนทั้งสามด้วยสีหน้าเฉยชา
คนขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า "เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเจ้าต้องการออกหน้าให้ซื่อเหวินหยู
?”
ศิษย์ทั้งสองหน้าถอดสีและโต้เถียงอย่างรวดเร็ว
"ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซื่อเหวินหยู แต่พวกข้าก็ไม่คิดจะออกหน้าแทน
แน่นอน เรื่องบาดหมางของพวกเจ้า เขาจะเป็นคนจัดการเอง”
"พวกเราไม่ใช่ผู้ติดตามของเขา
เจตนาของเราคือต้องการเตือนเจ้า อย่าได้ทำตัวเยี่ยงนี้อีก มิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเรา!"
จี้เทียนซิงหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าวเสียงเย็นว่า
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่คิดออกหน้าแก้แค้นให้ซื่อเหวินหยู
แล้วจะมายืนตะโกนโหวกเหวกต่อหน้าข้าเพื่อ ?"
ศิษย์ทั้งสองแข็งทื่อไป
พวกมันมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าอึดอัดใจพลางตะโกนว่า
"จะ
เจ้า !"
"วิเศษมากจี้เทียนซิง
เจ้ามันคนบ้าที่จองหองนัก !”
ดวงตาของพวกมันทั้งสองจ้องไปที่จี้เทียนซิงอย่างดุดัน
จากนั้นก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าวและไม่พูดอะไรอีก
เหลือเพียงเฉียวซวนเท่านั้นที่ยังยืนนิ่ง ดวงตาของจี้เทียนซิงจึงตกไปที่มันอีกครั้งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า
“เฉียวซวน
ว่ากันว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซื่อเหวินหยูเหมือนพี่น้องมิใช่หรือ
ในฐานะพี่น้องเจ้าไม่คิดทวงถามความยุติธรรมให้มันหรือไง ?"
น้ำเสียงของจี้เทียนซิงราวกับพูดล้อเล่นหยอกเย้า
แต่แววตาที่คมกริบของเขาราวกับกระบี่เล่มหนึ่งที่แทงเข้าหัวใจของเฉียวซวน
ทำให้มันต้องรู้สึกตื่นตัวและหนังศีรษะชาด้าน
"จี้เทียนซิง
! อย่าได้อวดดีเกินไปนัก
!”
"ข้าพูดไปแล้วว่าอีกไม่กี่วันพวกเราได้เจอกันแน่”
“หือ
? ไม่กี่วันอะไร
?"
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจและกล่าวต่อไปว่า “หากเจ้าคิดจะล้างแค้นให้ซื่อเหวินหยูมากนักทำไมต้องรออีกไม่กี่วันด้วยเล่า
?”
"ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีแล้วนี่
อยากลองก็เข้ามาได้เลย !"
น้ำเสียงของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความยั่วยุ
สายตาที่มองอีกฝ่ายช่างเงียบสงบราวกับไม่แยแส
เฉียวซวนมีความเกลียดชังและไม่พอใจจี้เทียนซิงมานานแล้ว
ในเมื่อตอนนี้ถูกเยาะเย้ยถากถางครั้งแล้วครั้งเล่า
ใบหน้าของมันจึงขาวซีดพลางกัดฟันแน่น
ภายในพริบตา แรงกระตุ้นปะทุขึ้นในใจ
คนยื่นมือออกไปพยายามจะชักกระบี่ลงมือสั่งสอนจี้เทียนซิงอย่างหนักหน่วงให้จงได้
อย่างไรก็ตาม
ศิษย์ทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆต่างก็เอื้อมมือไปจับไหล่ของมันอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองรีบกล่าวโน้มน้าวเฉียวซวนว่า “พี่เฉียว อย่าได้หุนหันไปเลย
จี้เทียนซิงพยายามยั่วยุให้ท่านเหลืออดจนต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน
มันเพียงคิดจะหาโอกาสลงมือกับท่านโดยชอบธรรม”
"ใช่แล้วศิษย์พี่เฉียว
หากแม้กระทั่งซื่อเหวินหยูยังมิใช่คู่มือของมัน
ต่อให้พวกเราร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะทุบตีสั่งสอนมันได้ อดทนไว้เถอะ”
เฉียวซวนสูดหายใจลึกและสงบลงหลังจากได้ยินคำพูดโน้มน้าวของทั้งสอง
มันถลึงตาจ้องจี้เทียนซิงด้วยความเกลียดชังและตะโกนว่า
“จี้เทียนซิง
ข้าเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสากับเด็กสารเลวอย่าง......เจ.. ”
ก่อนที่เฉียวซวนจะพูดจบ
จี้เทียนซิงแทรกคำพูดเย้ยหยันขึ้นมาว่า “เฮอะ
ใจคิดจะอัดข้าอยู่แท้ๆแต่ไม่กล้า ใจปลาซิว”
"แก !"
ปอดของเฉียวซวนแทบจะระเบิดและใบหน้าทั้งหมดกลายเป็นสีตับหมูและความโกรธกริ้วทั้งมวลทำให้เส้นเลือดฝอยในดวงตาแทบจะปริแตก
ตลอดชั่วชีวิตของมันไม่เคยต้องอับอายเหมือนวันนี้มาก่อน
มันถูกเยาะเย้ยถากถางและดูหมิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า
จนมันมิอาจกล้ำกลืนความอัปยศได้อีกต่อไป
มันสะบัดไหล่อย่างรุนแรงและปัดฝ่ามือของศิษย์ทั้งสองที่ห้ามไว้ออกไปพลันพุ่งทะยานเข้าใส่จี้เทียนซิง
"ตัวระยำจี้เทียนซิง
! เจ้ามันข่มเหงผู้คนเกินไปแล้ว
!”
เฉียวซวนเต็มไปด้วยความโกรธและกระหายเลือด
มันพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่สนใจสิ่งใด
ยกฝ่ามือขึ้นฟาดซัดออกไปเป็นปราณฝ่ามืออันเกรี้ยวกราดนับสิบสาย
เงาแต่ละฝ่ามือมีขนาดใหญ่เท่าถังน้ำซึ่งประกอบขึ้นจากปราณแท้ทองคำอันคมกริบและเปี่ยมไปด้วยพลังอันแข็งกร้าวที่สามารถบดทลายหินผาได้
ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่อาจเทียบกับซื่อเหวินหยูได้
แต่มันก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่แปดผู้หนึ่ง
โดยเฉพาะวิชาหัตถ์คลื่นคลั่งของมันที่ได้ฝึกฝนมานี้ทรงพลังและดุร้ายมาก
จี้เทียนซิงมองไปที่ฝ่ามือปราณสีทองนับสิบสายเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่แยแส
พลางยกมือซ้ายขึ้นฟาดออกไปเป็นหัตถ์เพลิงขนาดใหญ่
"บึ้ม บึ้ม บึ้ม !"
เปลวไฟที่รุนแรงและน่าหวาดกลัวบดขยี้ฝ่ามือปราณสีทองนับสิบสายในทันที
เฉียวซวนเห็นท่าไม่ดี ดวงตาของมันเบิกกว้างด้วยความตกใจ
แต่มันก็สายเกินกว่าจะหลีกเลี่ยง
“อ้ากกกก
!”
ด้วยเสียงกระแทกดัง “ปัง !” คนถูกซัดกระเด็นไปข้างหลังด้วยหัตถ์เปลวอัคคี
กลิ้งตลบไปบนพื้นหลายสิบเมตร
เสื้อคลุมสีขาวของมันถูกเผาไหม้ด้วยปราณเพลิงแท้จริง
ผมยาวของมันไหม้เกรียมและหงิกงอ ทั่วทั้งร่างดำเมี่ยมเหมือนถ่านและมีสารรูปดูไม่จืด
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังได้รับบาดเจ็บภายในจากพลังอันน่าสะพรึงกลัวของหัตถ์เปลวอัคคี
ทันทีที่มันโซเซพยายามชันกายให้ลุกขึ้น มันก็ยกมือขึ้นปิดปากกระอักโลหิตสดออกมาเป็นน้ำพุ
มันรู้สึกว่าทั่วร่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมีอาการสาหัสในทันที
มันเต็มไปด้วยความตกใจและโกรธกริ้วแต่ก็มิกล้าบุ่มบ่ามโจมตีจี้เทียนซิงอีกครั้ง
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ศิษย์ทั้งสองจากนิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็มีสีหน้าเหยเกและลอบทอดถอนใจอย่างเงียบๆ
"ความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงมาถึงระดับที่น่ากลัวยิ่ง
! พี่เฉียวยังไม่อาจรับมือมันได้แม้แต่ฝ่ามือเดียว
!"
"ไอ๊ ! เฉียวซวนนี่ช่างบุ่มบ่ามนัก มันไม่ฟังคำเตือนของพวกเรา
ดันโกรธจนหน้ามืดลงมือกับจี้เทียนซิงจนถูกซัดหงายกลับมา สมควรถูกสั่งสอนแล้ว"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved