ตอนที่ 333 เจ้ามีความกล้าพอหรือเปล่า

?

จี้เทียนซิงนั่งอยู่ข้างโลงหยกวิญญาณ จ้องมองไปที่จี้เค่ออย่างเงียบๆด้วยแววตาอ่อนโยน

หลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

ดาวทั้งเจ็ดในค่ายกลก็แตกออกเป็นลำแสงและโอบล้อมร่างของเขาไว้

"วู้ม !"

ด้วยลำแสงที่สว่างวูบจากดวงดาว

จี้เทียนซิงก็ถูกส่งออกไปจากยอดหอคอยเจ็ดดาว

นี่คือกฎของที่นี่ เมื่อถึงกำหนดเวลา

ทุกคนจะถูกส่งกลับออกไป

ส่วนจี้เค่อที่นอนอยู่ในโลงหยกวิญญาณและวางไว้ในค่ายกลเจ็ดดาวจะไม่ถูกส่งออกไป

ในเวลาต่อมา ร่างของจี้เทียนซิงก็ออกจากหอคอยเจ็ดดาวและมาปรากฏใต้พื้นที่เปิดโล่ง

“วูบ !”

ชายหนุ่มยืนอยู่กลางเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ดวงตาจับจ้องไปยังเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ไม่ไกล

ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเย็น  แสงจากดวงอาทิตย์ในยามพลบค่ำได้ตกกระทบร่างของเขา

ทำให้เงาร่างของเขาเปล่งชั้นลำแสงสีทองจางๆออกมา

เต็มไปด้วกลิ่นอายอันแข็งแกร่งเหนือธรรมดา

ศิษย์สาวกหลายคนหันไปมองหน้ากันพลางกระซิบกระซาบทันทีที่ได้เห็นจี้เทียนซิงปรากฏตัว

ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นหัวหน้าศิษย์ของแต่ละนิกาย

พวกมันมีความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา

จึงสามารถสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ากลิ่นอายของจี้เทียนซิงตอนนี้แตกต่างออกไป เขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อวันก่อนและบรรยากาศรอบตัวของเขาก็ยิ่งดูลึกลับเหนือล้ำกว่าผู้ใด

การเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจนมาก ไม่เพียงแค่ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น

กลิ่นอายของเขาที่เคยเหมือนกระบี่อันคมกริบที่ซ่อนอยู่ในฝักได้เปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

มันทั้งลึกลับและเงียบสงบ แต่ก็มิอาจเข้าถึงได้และยากจะคาดเดา

เฟิงหมินและอู่อวี้เดินมาทักทายด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า

“ศิษย์น้องจี้

ยินดีด้วย”

“ข้าไม่ถึงเลยว่าเจ้าเพียงแค่เข้ามาครั้งแรกแต่กลับไปจนถึงชั้นสูงสุดของหอคอยเจ็ดดาวได้

มันช่างน่าเหลือเชื่อราวกับปาฏิหาริย์!”

จี้เทียนซิงป้องมือคารวะทั้งสองด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไร

จำเป็นต้องใช้คำพูดแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ? ไม่ เขาไม่ต้องการ !

หรือสมควรโอ้อวดแสดงความเย่อหยิ่ง ?  ก็ไม่ใช่วิสัยของเขาอยู่ดี

เฟิงหมินและอู่อวี้เคยคลุกคลีกับอีกฝ่ายมาก่อนจึงรู้ดีว่าจี้เทียนซิงเป็นคนนิสัยอย่างไร

ดังนั้นพวกมันทั้งสองจึงไม่กล่าวให้ยืดยาวเพียงหันหลังเดินจากไปหลังจากแสดงความยินดี

นอกจากนี้ศิษย์ของนิกายอื่นๆก็ยังได้ทักทายและกล่าวอำลาจี้เทียนซิง

จากนั้นก็เดินจากไป

ในเวลาไม่นานก็มีเพียงสี่คนที่เหลืออยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง

คือ จี้เทียนซิง เฉียวซวนและศิษย์อีกสองคน

เฉียวซวนและพรรคพวกเดินเข้ามาหาจี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“จี้เทียนซิง

เจ้าทำร้ายศิษย์พี่เหวินหยูตกจากหอคอยเจ็ดดาว

ความแค้นครั้งนี้นิกายกระบี่ฟ้าจะจดจำไว้ !”

"หึๆ

อีกไม่กี่วันพวกเราทุกคนจะได้พบกันอีก ถึงตอนนั้นข้าจะคอยดูจุดจบของเจ้า”

ศิษย์อีกสองคนกล่าวเสริมด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พวกเราทุกคนที่เข้าไปในหอคอยเจ็ดดาว

แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ก็ไม่เคยต่อสู้กันจนถึงขั้นบาดเจ็บเยี่ยงนี้”

"จี้เทียนซิง

เจ้ากระทำเกินกว่าเหตุ เจ้าบ้าคลั่งทำร้ายคน สร้างความบาดหมางกับนิกายกระบี่ฟ้าและละเมิดกฎที่บัญญัติไว้โดยแปดนิกาย !"

จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่คนทั้งสามด้วยสีหน้าเฉยชา

คนขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า "เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเจ้าต้องการออกหน้าให้ซื่อเหวินหยู

?”

ศิษย์ทั้งสองหน้าถอดสีและโต้เถียงอย่างรวดเร็ว

"ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซื่อเหวินหยู แต่พวกข้าก็ไม่คิดจะออกหน้าแทน

แน่นอน เรื่องบาดหมางของพวกเจ้า เขาจะเป็นคนจัดการเอง”

"พวกเราไม่ใช่ผู้ติดตามของเขา

เจตนาของเราคือต้องการเตือนเจ้า อย่าได้ทำตัวเยี่ยงนี้อีก มิฉะนั้นเจ้าจะกลายเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเรา!"

จี้เทียนซิงหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าวเสียงเย็นว่า

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่คิดออกหน้าแก้แค้นให้ซื่อเหวินหยู

แล้วจะมายืนตะโกนโหวกเหวกต่อหน้าข้าเพื่อ ?"

ศิษย์ทั้งสองแข็งทื่อไป

พวกมันมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าอึดอัดใจพลางตะโกนว่า

"จะ

เจ้า !"

"วิเศษมากจี้เทียนซิง

เจ้ามันคนบ้าที่จองหองนัก !”

ดวงตาของพวกมันทั้งสองจ้องไปที่จี้เทียนซิงอย่างดุดัน

จากนั้นก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าวและไม่พูดอะไรอีก

เหลือเพียงเฉียวซวนเท่านั้นที่ยังยืนนิ่ง  ดวงตาของจี้เทียนซิงจึงตกไปที่มันอีกครั้งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า

“เฉียวซวน

ว่ากันว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซื่อเหวินหยูเหมือนพี่น้องมิใช่หรือ

ในฐานะพี่น้องเจ้าไม่คิดทวงถามความยุติธรรมให้มันหรือไง ?"

น้ำเสียงของจี้เทียนซิงราวกับพูดล้อเล่นหยอกเย้า

แต่แววตาที่คมกริบของเขาราวกับกระบี่เล่มหนึ่งที่แทงเข้าหัวใจของเฉียวซวน

ทำให้มันต้องรู้สึกตื่นตัวและหนังศีรษะชาด้าน

"จี้เทียนซิง

! อย่าได้อวดดีเกินไปนัก

!”

"ข้าพูดไปแล้วว่าอีกไม่กี่วันพวกเราได้เจอกันแน่”

“หือ

? ไม่กี่วันอะไร

?"

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจและกล่าวต่อไปว่า “หากเจ้าคิดจะล้างแค้นให้ซื่อเหวินหยูมากนักทำไมต้องรออีกไม่กี่วันด้วยเล่า

?”

"ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีแล้วนี่

อยากลองก็เข้ามาได้เลย !"

น้ำเสียงของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความยั่วยุ

สายตาที่มองอีกฝ่ายช่างเงียบสงบราวกับไม่แยแส

เฉียวซวนมีความเกลียดชังและไม่พอใจจี้เทียนซิงมานานแล้ว

ในเมื่อตอนนี้ถูกเยาะเย้ยถากถางครั้งแล้วครั้งเล่า

ใบหน้าของมันจึงขาวซีดพลางกัดฟันแน่น

ภายในพริบตา แรงกระตุ้นปะทุขึ้นในใจ

คนยื่นมือออกไปพยายามจะชักกระบี่ลงมือสั่งสอนจี้เทียนซิงอย่างหนักหน่วงให้จงได้

อย่างไรก็ตาม

ศิษย์ทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆต่างก็เอื้อมมือไปจับไหล่ของมันอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองรีบกล่าวโน้มน้าวเฉียวซวนว่า “พี่เฉียว อย่าได้หุนหันไปเลย

จี้เทียนซิงพยายามยั่วยุให้ท่านเหลืออดจนต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน

มันเพียงคิดจะหาโอกาสลงมือกับท่านโดยชอบธรรม”

"ใช่แล้วศิษย์พี่เฉียว

หากแม้กระทั่งซื่อเหวินหยูยังมิใช่คู่มือของมัน

ต่อให้พวกเราร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะทุบตีสั่งสอนมันได้  อดทนไว้เถอะ”

เฉียวซวนสูดหายใจลึกและสงบลงหลังจากได้ยินคำพูดโน้มน้าวของทั้งสอง

มันถลึงตาจ้องจี้เทียนซิงด้วยความเกลียดชังและตะโกนว่า

“จี้เทียนซิง

ข้าเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสากับเด็กสารเลวอย่าง......เจ.. ”

ก่อนที่เฉียวซวนจะพูดจบ

จี้เทียนซิงแทรกคำพูดเย้ยหยันขึ้นมาว่า “เฮอะ

ใจคิดจะอัดข้าอยู่แท้ๆแต่ไม่กล้า ใจปลาซิว”

"แก !"

ปอดของเฉียวซวนแทบจะระเบิดและใบหน้าทั้งหมดกลายเป็นสีตับหมูและความโกรธกริ้วทั้งมวลทำให้เส้นเลือดฝอยในดวงตาแทบจะปริแตก

ตลอดชั่วชีวิตของมันไม่เคยต้องอับอายเหมือนวันนี้มาก่อน

มันถูกเยาะเย้ยถากถางและดูหมิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า

จนมันมิอาจกล้ำกลืนความอัปยศได้อีกต่อไป

มันสะบัดไหล่อย่างรุนแรงและปัดฝ่ามือของศิษย์ทั้งสองที่ห้ามไว้ออกไปพลันพุ่งทะยานเข้าใส่จี้เทียนซิง

"ตัวระยำจี้เทียนซิง

! เจ้ามันข่มเหงผู้คนเกินไปแล้ว

!”

เฉียวซวนเต็มไปด้วยความโกรธและกระหายเลือด

มันพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่สนใจสิ่งใด

ยกฝ่ามือขึ้นฟาดซัดออกไปเป็นปราณฝ่ามืออันเกรี้ยวกราดนับสิบสาย

เงาแต่ละฝ่ามือมีขนาดใหญ่เท่าถังน้ำซึ่งประกอบขึ้นจากปราณแท้ทองคำอันคมกริบและเปี่ยมไปด้วยพลังอันแข็งกร้าวที่สามารถบดทลายหินผาได้

ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่อาจเทียบกับซื่อเหวินหยูได้

แต่มันก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่แปดผู้หนึ่ง

โดยเฉพาะวิชาหัตถ์คลื่นคลั่งของมันที่ได้ฝึกฝนมานี้ทรงพลังและดุร้ายมาก

จี้เทียนซิงมองไปที่ฝ่ามือปราณสีทองนับสิบสายเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่แยแส

พลางยกมือซ้ายขึ้นฟาดออกไปเป็นหัตถ์เพลิงขนาดใหญ่

"บึ้ม บึ้ม บึ้ม !"

เปลวไฟที่รุนแรงและน่าหวาดกลัวบดขยี้ฝ่ามือปราณสีทองนับสิบสายในทันที

เฉียวซวนเห็นท่าไม่ดี ดวงตาของมันเบิกกว้างด้วยความตกใจ

แต่มันก็สายเกินกว่าจะหลีกเลี่ยง

“อ้ากกกก

!”

ด้วยเสียงกระแทกดัง “ปัง !”  คนถูกซัดกระเด็นไปข้างหลังด้วยหัตถ์เปลวอัคคี

กลิ้งตลบไปบนพื้นหลายสิบเมตร

เสื้อคลุมสีขาวของมันถูกเผาไหม้ด้วยปราณเพลิงแท้จริง

ผมยาวของมันไหม้เกรียมและหงิกงอ ทั่วทั้งร่างดำเมี่ยมเหมือนถ่านและมีสารรูปดูไม่จืด

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังได้รับบาดเจ็บภายในจากพลังอันน่าสะพรึงกลัวของหัตถ์เปลวอัคคี

ทันทีที่มันโซเซพยายามชันกายให้ลุกขึ้น มันก็ยกมือขึ้นปิดปากกระอักโลหิตสดออกมาเป็นน้ำพุ

มันรู้สึกว่าทั่วร่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมีอาการสาหัสในทันที

มันเต็มไปด้วยความตกใจและโกรธกริ้วแต่ก็มิกล้าบุ่มบ่ามโจมตีจี้เทียนซิงอีกครั้ง

เมื่อได้เห็นภาพนี้ ศิษย์ทั้งสองจากนิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็มีสีหน้าเหยเกและลอบทอดถอนใจอย่างเงียบๆ

"ความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงมาถึงระดับที่น่ากลัวยิ่ง

!  พี่เฉียวยังไม่อาจรับมือมันได้แม้แต่ฝ่ามือเดียว

!"

"ไอ๊ !  เฉียวซวนนี่ช่างบุ่มบ่ามนัก มันไม่ฟังคำเตือนของพวกเรา

ดันโกรธจนหน้ามืดลงมือกับจี้เทียนซิงจนถูกซัดหงายกลับมา  สมควรถูกสั่งสอนแล้ว"