ตกเป็นเป้าของผู้คน
จี้เทียนซิงติดตามหยุนเหยาออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
ทั้งสองเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้เรียงรายกลางภูเขา
เส้นทางนี้ลึกลงไปในร่มเงาของต้นไม้อันเงียบสงบและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
คนผ่านไปผ่านมานับว่าน้อยมาก
ทั้งสองเดินออกไปไกลร่วมสามไมล์
จากนั้นก็หยุดยืนและพูดคุยกันภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุร่วมร้อยปีต้นหนึ่ง
หยุนเหยาจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาสงบราบเรียบและถามว่า
“เจ้าอยู่ในนิกายมาได้ครึ่งเดือนแล้ว
ปรับตัวได้บ้างหรือยัง ?”
จี้เทียนซิงยิ้มบาง
เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นห่วง ข้าปรับตัวตามกฎของนิกายจนคุ้นชินกับชีวิตในที่นี้แล้ว”
หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวต่อไปว่า
“ข้าได้ยินศิษย์น้องซวนซวนพูดถึงเจ้า
นางเล่าให้ข้าฟังว่าเจ้าละเมิดกฎของนิกายจนถูกส่งตัวไปกวาดพื้นตำหนักไท่อันงั้นหรือ
?”
จี้เทียนซิงหน้าแดงเล็กน้อย
เขายิ้มเจื่อนๆและพยักหน้าตอบรับอย่างเก้กัง “ใช่...
ครูฝึกฮั่นสั่งให้ข้าไปกวาดพื้นที่นั่นหนึ่งเดือน
โชคดีที่มันก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว”
หยุนเหยาขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อยและกล่าวด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“สถานที่อย่างตำหนักไท่อัน
คนทั่วไปไม่อาจเข้าไปได้ เว้นเพียงศิษย์น้องซวนซวนที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ แม้กระทั่งตัวข้าเอง หากจะเข้าไปที่นั่น ข้าต้องได้รับการยอมรับจากท่านผู้เฒ่าเสียก่อน”
“ศิษย์น้องเทียนซิง
เจ้าต้องระวังให้มากเมื่ออยู่ในตำหนักไท่อัน อย่าได้ทำให้ท่านผู้เฒ่ามีโทสะเด็ดขาด
มิฉะนั้นต่อให้ข้าออกหน้าช่วยก็เกรงว่า....”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเหยา
จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มอันขมขื่น
“เหอๆ... ศิษย์พี่ใหญ่ สายไปแล้วกระมัง
ข้าทำให้ตาเฒ่านั่นทั้งโกรธกริ้วทั้งเปี่ยมไปด้วยโทสะ ครบเลย...”
“หืม ?”
หยุนเหยาเลิกคิ้วขึ้น
แววตาสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลใจ “เจ้าทำอะไรให้ท่านผู้เฒ่าโกรธ
?”
จี้เทียนซิงไม่กล้าจ้องตาอันสดใสของนางตรงๆ
เขาเบนหน้าไปอีกทางและมองไกลออกไปพลางกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ข้าพังหลังคาบ้านตาเฒ่าโดยบังเอิญ
ทำลายหญ้าวิญญาณมรกตและต้นไม้วิญญาณที่ตาเฒ่าเฝ้าปลูกมาเป็นเวลานานเสียเรียบเลย ...
”
“นี่เจ้า.... ” หยุนเหยาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
นางจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาซับซ้อน
จากนั้นก็นวดหว่างคิ้วและส่ายหัวพลางกล่าว “เฮ้อ...
เจ้าหาเรื่องอยู่ไม่เป็นสุขเข้าเสียแล้ว”
“หญ้าวิญญาณมรกตและต้นไม้วิญญาณมรกตมีท่านผู้เฒ่าเพียงผู้เดียวจากทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ครอบครองมัน
ท่านหวงหวนพวกมันยิ่งนัก
กระทั่งข้าอยากจะได้สักต้นยังต้องให้ท่านอาจารย์ออกหน้าขอร้องจากท่านผู้เฒ่า”
“ไม่ง่ายเลยนะที่เจ้ายังมีชีวิตรอดมายืนอยู่ตรงหน้าข้าได้”
จี้เทียนซิงฟังน้ำเสียงที่หวาดหวั่นและจ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของนาง
เขารู้สึกซาบซึ้งและหัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องห่วงข้า ข้ายังครบ 32 อีกทั้งตาเฒ่านั่น....ก็มิได้โหดร้ายอย่างที่ท่านกลัว”
ดวงตาคู่งามของหยุนเหยาเปลี่ยนไป
นางถลึงตาใส่เขาพลางกล่างด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้าเสียหน่อย !”
“ข้าแค่คิดว่าเจ้าอายุยังน้อย
หากต้องถูกท่านผู้เฒ่าสังหารคงน่าสงสาร...”
“ ….… ”
จี้เทียนซิงใบ้กินเล็กน้อยและไม่รู้จะวางตัวกับนางอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกอยู่เสมอว่าหยุนเหยาเป็นดั่งนางฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่มีจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญ นางเยือกเย็นและหยิ่งทะนงอยู่ตลอดเวลา
ในบางครั้งหยุนเหยาก็วางสีหน้าไม่แยแสต่อเขาแต่บางครั้งนางก็ดีต่อเขาอย่างน่าใจหาย
เขาขบคิดในใจลับๆว่าตนเองมีอะไรพิเศษถึงได้รับการเหลียวแลจากนาง
?
ในขณะที่คลื่นความคิดอันบ้าคลั่งของชายหนุ่มกำลังวนเวียนอยู่ในหัว
ชายหนุ่มชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้นบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยแมกไม้อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มชุดขาวดูเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
และทันทีที่เห็นร่างของหยุนเหยา เขาก็เร่งฝีเท้าขึ้นทันที
“ศิษย์พี่หญิง
ท่านอยู่นี่เอง !”
ชายผู้นั้นก็คือศิษย์น้องของหยุนเหยา, ไป๋หวู่เฉินนั่นเอง
ท่าทางของเขาดูเหมือนจะรีบร้อนอย่างมาก
เขามาถึงเบื้องหน้าหยุนเหยาอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิงที่อยู่เคียงข้างนาง
คิ้วของเขาก็ขมวดเป็นปม
ดวงตาของไป๋หวู่เฉินจ้องเขม็งไปที่จี้เทียนซิงและแสดงสีหน้าไม่พึงประสงค์อย่างโจ่งแจ้ง
หยุนเหยาวางสีหน้าเป็นปกติและจ้องมองไป๋หวู่เฉินอย่างเฉยชาพลางถามว่า
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าตามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ ?”
ไป๋หวู่เฉินเพิกเฉยต่อจี้เทียนซิงและหันมายิ้มให้กับหยุนเหยาอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง
ท่านประมุขกลับมาแล้ว ท่านอยู่ที่ตำหนักฉิงเทียนและสั่งให้ข้าพาท่านไปพบ”
แววตาของหยุนเหยาดูนุ่มนวลขึ้น
นางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว ? เข้าใจแล้ว ข้าจะไปตำหนักฉิงเทียนเดี๋ยวนี้”
จากนั้นนางก็หันไปมองจี้เทียนซิงและกล่าวย้ำเตือนอีกครั้งว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง
เจ้าจดจำสิ่งที่ข้าพูดไว้ให้ดี”
“แน่นอน ข้ามิกล้าลืมเลือน” จี้เทียนซิงประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม
หยุนเหยาพยักหน้า
จากนั้นก็หันไปหาไป๋หวู่เฉินแล้วเดินจากไป
ก่อนจะกลับ
ไป๋หวู่เฉินหันมามองจี้เทียนซิงด้วยแววตาที่เยือกเย็น
จี้เทียนซิงดูสงบเสงี่ยมอยู่เสมอ
สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามสีหน้าท่าทางและแววตาของไป๋หวู่เฉินนั้นเขาประจักษ์อย่างชัดแจ้งและรู้สึกกังวลไม่น้อย
เขาขบคิดในใจว่า
“ไป๋หวู่เฉินผู้นี้แปลกมาก
นับตั้งแต่ที่เจอเขาครั้งแรกที่รัฐนภากระจ่างก็ดูเหมือนเขาจะต่อต้านและมีอคติต่อข้า
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด.... ”
หลังจากยืนอยู่ใต้ต้นไม้ซักพักชายหนุ่มก็เดินออกไป
ครึ่งชั่วโมงต่อมาจี้เทียนซิงก็กลับมาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
ศิษย์หลายคนยังไม่ได้กลับไปที่ห้อง
พวกเขายังคงอยู่ในลานกว้างและจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน
เมื่อเห็นว่าจี้เทียนซิงกลับมาแล้วพวกเขาก็หยุดสนทนา
แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซับซ้อน
ทุกคนเพียงมองชายหนุ่มเดินผ่านลานกว้างไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเขาเข้าไปในห้อง พวกเขาถึงคุยกันต่อไป สีหน้าดูตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
“เหอะ ! ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กสุนัขนั่นไปไหนกับศิษย์พี่หยุนเหยา มันรู้จักนางได้อย่างไรกัน ?”
“บ้าชัดๆ ! ศิษย์พี่หยุนเหยาผู้สูงส่งคบหาเป็นสหายกับคนอย่างมันได้อย่างไร
?”
ดวงตาของทั้งซื่อจิงเฉิงและอี้โม่ต่างก็เป็นสีแดงก่ำด้วยความแค้น
ความเกลียดชังที่คนทั้งสองมีต่อจี้เทียนซิงยิ่งลึกล้ำเข้าไปอีก
นอกจากนี้ยังมีศิษย์อีกสองคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้ารังเกียจและเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“ไม่ได้การแล้ว ! พวกเราต้องบอกศิษย์พี่หยุนเหยาว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่นขโมยผลวิญญาณของนิกาย
ศิษย์พี่จะได้ตัดสัมพันธ์กับหัวขโมยอย่างมัน !”
“แค่กๆ…
พูดน่ะมันง่าย ว่าแต่เจ้าเถอะ รู้จักศิษย์พี่หยุนเหยาเป็นการส่วนตัวหรือ ? เจ้าย่อมรู้ถึงศักดิ์ฐานะนาง
เจ้ากล้าเดินดุ่ยๆไปคุยกับนาง ?"
ศิษย์คนที่พูดก่อนหน้าอึ้งไปและพูดไม่ออก
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย
ไม่ไกลจากจุดที่บรรดาศิษย์กำลังเม้าส์กัน
จี้หลิงนั่งอยู่บนม้าหินใต้ต้นไม้ใหญ่
เขาถือตำราโบราณเล่มหนึ่งไว้ในมือและแสร้งทำเป็นอ่านตำรา
เมื่อได้ยินการสนทนาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของเหล่าศิษย์ร่วมหอเขาก็แสยะยิ้มและพูดลอยๆขึ้น
“เหอะ ตอนที่อยู่รัฐนภากระจ่าง
หากมิใช่เพราะศิษย์พี่หยุนเหยา ไอ้หนูนั่นก็ไม่มีคุณสมบัติพอได้เข้านิกายหรอก ! ”
เหล่าศิษย์คนอื่นๆที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปจ้องจี้หลิงทันทีพลางกล่าวว่า
“จี้หลิง
เมื่อครู่เจ้ากำลังพูดถึงจี้เทียนซิงงั้นหรือ ?”
"เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ว่ากล่าวออกมาให้ชัดๆซิ”
“บอกพวกเรามาให้หมด อย่าหลอกให้อยาก !”
จี้หลิงเป็นคนที่ดูเหมือนจะชอบการอยู่ท่ามกลางผู้คนที่รุมล้อม
มันให้ความรู้สึกดั่งดาวล้อมเดือนแก่ราชาอย่างเขา ซึ่งความรู้สึกนี้เขาไม่ได้สัมผัสมันเหมือนตอนอยู่ในเมืองจักรวรรดิ เพราะที่นี่ฐานะของเขาก็เท่าเทียมกับบรรดาศิษย์คนอื่นๆ
ใบหน้าของเขายิ่งดูเจ้าเล่ห์เข้าไปอีก
ดวงตาหรี่ลงมุมปากยกยิ้มอย่างเหยียดหยาม
เขาจ้องมองไปที่ห้องของจี้เทียนซิง จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ต้น
ศิษย์หลายคนล้อมรอบจี้หลิงเป็นวงกลม
พวกเขารับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจและหันไปพูดคุยกันเป็นครั้งคราว
นับจากวันนี้ไป
ด้วยการเสริมปั้นปันแต่งเรื่องราวของจี้หลิง
ศิษย์ทั้งหลายกลายเป็นเพิ่มพูนความเกลียดชังที่มีต่อจี้เทียนซิงยิ่งขึ้นไปอีกเป็นทบทวี...
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved